xs
xsm
sm
md
lg

วันที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ นี่เป็นวันที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของผม” รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เจ้าของนิวส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ นิวส์ คอร์ป อาณาจักรสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวในตอนหนึ่งของการให้การต่อคณะกรรมาธิการด้านวัฒนธรรม สื่อ และการกีฬา ของสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ เมื่อวันอังคารที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา กรณีการลักลอบดักฟังโทรศัพท์บุคคลต่างๆ เกือบ 4,000 คน ของนักข่าวหนังสือพิมพ์ นิวส์ ออฟเดอะ เวิลด์ ในเครือนิวส์ คอร์ป ซึ่งประกาศปิดตัวเองเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้

ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่เมอร์ด็อก และเจมส์ บุตรชายของเขา ที่เป็นผู้บริหารของนิวส์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทลงทุนด้านสื่อในอังกฤษของนิวส์ คอร์ป ถูกสมาชิกคณะกรรมาธิการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคแรงงาน และพรรคเสรีนิยม ตั้งคำถามซักไซ้อย่างหนัก เพื่อเค้นหาคำตอบว่า พ่อลูกเมอร์ด็อก มีส่วนรู้ห็นหรือไฟเขียวให้นักข่าวของ นิวส์ออฟเดอะ เวิลด์ดักฟังโทรศัพท์หรือไม่

ในฐานะเจ้าพ่อสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในโลก และหากเขาให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งพรรคใดของอังกฤษ คือ พรรคแรงงาน หรือ พรรคอนุรักษ์นิยม รับประกันได้ว่าพรรคนั้นจะได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง เมื่อถูกนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านจับขึ้นเขียงถ่ายทอดออกทีวีไปทั่วโลก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมอร์ด็อกผู้ยิ่งใหญ่ต้องมีความรู้สึกเช่นนั้น หนำซ้ำระหว่างการให้การยังมีผู้พยายามปาครีมใส่หน้าเขา แม้จะพลาดเป้า แต่ก็ทำให้เขาตกอกตกใจ และรู้สึกเสียหน้าพอสมควร

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งเมอร์ด็อกผู้พ่อและลูก จะเอ่ยคำขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดการให้การ แต่ทั้งคู่ก็ยืนยันว่าไม่รู้ ไม่เห็นกับพฤติกรรมดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย เป็นเรื่องของผู้บริหารนิวส์ ออฟเดอะเวิลด์ ทำไปเอง ซึ่งทำให้พวกเขาผิดหวังมากที่เสียแรงไว้วางใจ

รูเพิร์ต เมอร์ด็อกอ้างว่า กิจการนิวส์ ออฟเดอะ เวิล์ด เป็นแค่ 1% ของกิจการทั้งหมดของนิวส์ คอร์ป ที่มีพนักงานในเครือทั้งหมด 53,000 คน เขาไม่มีทางรู้ได้หรอกว่า ใครทำอะไร

เมอร์ด็อกตอบ ส.ส.หญิงจากพรรคเรงงานคนหนึ่งว่า เขาจะไม่ลาออกจากนิวส์ คอร์ป เพราะมีแต่เขาเท่านั้น ที่จะชำระสะสางเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุด


เมื่อการให้การต่อคณะกรรมาธิการสิ้นสุดลง ดูเหมือนว่า สถานการณ์ของนิวส์ คอร์ป และเมอร์ด็อกจะดีขึ้น ดูจากราคาหุ้นของนิวส์ คอร์ป ในตลาดหุ้นนิวยอร์คที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะนักวิเคราะห์เห็นว่า ทั้งรูเพิร์ตและเจมส์ เอาตัวรอดได้ คณะกรรมาธิการไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เขาและนิวส์คอร์ป มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดักฟัง

นอกจากนั้น การกล่าวคำขอโทษในความผิดที่เกิดขึ้นของนิวส์ ออฟเดอะ เวิลด์ ก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกโกรธของสังคมลงได้มาก

แม้ว่า เรื่องการดักฟังโทรศัพท์ครั้งนี้จะทำให้นิวส์ คอร์ปต้องระงับแผนการเทคโอเวอร์ บี สกายบี สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ มีสมาชิก 10 ล้านคนออกไปก่อน แต่เมอร์ด็อกนั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่รู้จักการรอคอย หากจังหวะไม่ดี โอกาสไม่เป็นใจ เขาก็ไม่ฝืน แต่ก็ไม่เคยทิ้งความตั้งใจ ละความพยายาม

ดังเช่นการเทกโอเวอร์หนังสือพิมพ์ ดิ วอลสตรีท เจอร์นัล ซึงทรงอิทธิพลในตลาดการเงินสหรัฐ ฯ และถือว่า เป็นเพชรยอดมงกุฎของวงาการสื่ออเมริกัน เมอร์ด็อกทาบทามขอซื้อหุ้นบริษัทดาวโจนส์ เจ้าของวอลสตรีทเจอร์นัล จากตระกูลแบนครอฟท์มานาน แต่ไม่สำเร็จ เพราะพวกแบนครอฟท์ไม่ชอบเมอร์ด็อก ซึ่งเป็นคนออสเตรเลีย และถือว่าเป็นคนนอก ที่ใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมอร์ด็อกไม่ท้อถอย ยังมุ่งมันที่จะเป็นเจ้าของวอลสตรีทเจอร์นัลให้ได้ และมาประสบคสวามสำเร็จเมื่อปี 2007 ในช่วงที่หุ้นดาวน์โจน์ มีราคาลดต่ำลงมาตลอด เมอร์ด็อก ทุ่มเงิน 5 พันล้านเหรียญ ขอซื้อหุ้นดาวโจนส์ ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด 30 % ทำให้ตระกูลแบนครอฟท์ เสียงแตก แกล้งลืมศักดิ์ศรีเกียรติยศของผู้ดีอเมริกันไปชั่วคราว เพราะเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจมาก สุดท้ายสมาชิกในตระกูลก็หารือกัน และตกลงขายหุ้นให้กับเมอร์ด็อกไป

เรื่องการเทกโอเวอร์บีสกายบี ซึ่งนิวส์คอร์ปถือหุ้นอยุ่ 39 % ก็เหมือนกัน ที่วันนี้ยังซื้อไม่ได้ก็รอวันข้างหน้า แต่อย่างไรก็ต้องเอาให้ได้ เพราะบีสกายบี เป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับอนาคตของนิวส์ คอร์ป ในการเป็น “ช่องทาง” การขาย “เนื้อหา”ที่นิวส์ คอร์ป มีอยู่พร้อมแล้วทุกรูปแบบ ให้กับผู้ชมที่ต้องจ่ายค่าสมาชิก


รูเพิร์ต เมอร์ด็อก มีอายุครบ 80 ปีแล้ว เขาเกิดที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย แต่ได้โอนสัญชาติเป็นอเมริกัน

เมอร์ด็อก เป็นบุตรชายของเซอร์คีท เมอร์ด็อก ผู้สื่อข่าวสงครามที่มีชื่อเสียง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์รายใหญ่ของออสเตรเลีย เมอร์ด็อกเรียนหนังสือที่ Worchester College มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด จนจบปริญญาโทในปี 2496 และเคยทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับเดลีเอกซ์เพรส ในกรุงลอนดอนอยู่พักหนึ่ง กระทั่งบิดาถึงแก่กรรม เขาจึงกลับไปออสเตรเลีย เพื่อดูแลกิจการด้านสิ่งพิมพ์ ของบิดา ขณะมีอายุเพียง 23 ปี

ด้วยประสบการณ์การทำหนังสือแบบหวือหวาสมัยที่อยู่อังกฤษ ทำให้รูเพิร์ต เมอร์ด็อกนำมาปรับใช้กับหนังสือพิมพ์ที่เขาได้รับมรดกมาจากบิดา คือ“ ซันเดย์ เมล์” และ “ เดอะนิวส์” ซึ่งออกในอาดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ด้วยการเสนอข่าวประเภทอื้อฉาวคาวโลกีย์ โดยที่บ่อยครั้งเจ้าตัวลงมาพาดหัวเอง จนทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด

หลังจากนั้น เมอร์ด็อกก็ได้ปรับหนังสือพิมพ์อื่นๆ ที่เขาไปซื้อไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่ซิดนีย์ เพิร์ธ เมลเบิร์น หรือบริสเบน ให้ออกมาในแนวเดียวกันนี้ ในปี 2512 เมอร์ด็อกเริ่มขยายอาณาจักรด้วยการไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ แทบล็อยด์ “นิวส์ ออฟเดอะเวิลด์” ซึ่งออกในลอนดอน โดยเน้นการเสนอข่าวอาชญากรรม ข่าวอื้อฉาวคาวโลกีย์ และข่าวที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน อีกทั้งเน้นพาดหัวด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็อัดข่าวกีฬาซึ่งคนอังกฤษสนใจเข้าไป ส่วนบทบรรณาธิการ หนังสือของเมอร์ด็อกยึดแนวทางอนุรักษ์นิยม แนวทางดังกล่าวสร้างความสำเร็จให้ทั้งกับนิวส์ออฟเดอะเวิลด์ และเดอะซัน ซึ่งเมอร์ด็อกซื้อในเวลาต่อมา

พอถึงปี 2516 เมอร์ด็อกก็ขยับไปยังสหรัฐอเมริกา ด้วยการซื้อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ ซึ่งเป็นแนวแทบล็อยด์ช่นกัน หลังจากนั้นเริ่มแตกแขนงไปทำธุรกิจด้านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ที่ฮือฮาก็คือเมื่อเขาซื้อกิจการ ทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งเป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์ในปี 2528 รวมถึงซื้อสถานีโทรทัศน์อิสระอีกหลายสถานีด้วยกัน และรวมกิจการกันเข้าเป็น Fox, Inc เป็นเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ระดับชาติ แห่งที่ 4 ขึ้นมาท้าทาย “บิ๊กทรี” คือ เอบีซี เอ็นบีซี และซีบีเอส ที่ผูกขาดวงการทีวีระดับชาติมานานหลายทศวรรษ

เมอร์ด็อกไม่ได้ทำแต่เฉพาะหนังสือประเภทหัวสีขายข่าวหวือหวาเท่านั้น แต่เขาก็ยังมีหนังสือพิมพ์ประเภทเน้นคุณภาพอยู่ในเครือด้วย อาทิ “ เดอะ ไทมส์ ออฟลอนดอน” และ “ซันเดย์ ไทมส์” ในอังกฤษ และ “ออสเตรเลี่ยน” ในออสเตรเลีย

แต่การขยายการลงทุนทื่ถือว่า เป็นก้าวสำคัญ และเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของเมอร์ด็กก็คือ การซื้อกิจการของบริษัทดาวโจนส์ ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล ได้เป็นผลสำเร็จเมื่อฤดูร้อนปี 2007

อีกเรืองหนึ่งทื่ถือว่า เป็นการลงทุนที่สำคัญ และสะท้อนว่า เมอร์ด็อกมีวิสัยทัศน์ที่แหลมคมในธุรกิจสื่อ คือการออกหนังสือพิมพ์รายวันดิจิตัลชื่อ “ เดอะ เดลี่” บนไอแพด ซึ่งผู้ที่ต้องการอ่านจะต้องจ่ายราคา 99 เซ็นต์ต่อสัปดาห์ หรือ ปีละ 40 เหรียญ ถือว่า เป็นอภิสิทธิ์ที่นิวส์คอร์ป ได้รับจากแอปเปิ้ล ในการใช้ระบบบอกรับเป็นสมาชิกรายสัปดาห์หรือรายปี เพราะสิ่งพิมพ์อื่นๆ ส่วนใหญผู้อ่านจะซื้อได้ทีละฉบับเท่านั้น

กำลังโหลดความคิดเห็น