xs
xsm
sm
md
lg

“สมณะโพธิรักษ์” ให้สติ การเมืองคืองานอาสา ไม่ใช่มากอบโกย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 สมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก
“สมณะโพธิรักษ์” ติงนักการเมืองยึดหลักผิด มัวเมาแก่งแย่งอำนาจ เตือนสติงานการเมืองคืองานอาสา ระบุ “สันติอโศก” มีแนวทางอยู่กับสังคมไม่ใช่หนีสังคม จึงไม่แปลกที่ออกมาชุมนุม ยันหากหาก รบ.มุ่งทำเพื่อตัวเอง กองทัพธรรมจะออกไปต่อต้านอีกแน่ พร้อมให้แง่คิด พัฒนาประเทศด้วยระบบทุนนิยม สังคมจะบรรลัยไม่มีความเจริญได้ในสังคมโลก


เมื่อวันที่ 17 ก.ค. รายการ “ก่อนจะถึงจันทร์” ออกอากาศทางสถานีเอเอสทีวี ทีวีเพื่อประชาชน ดำเนินรายการโดยนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ สนทนาธรรมกับสมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก

สมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า ช่วงการชุมนุมชาวกองทัพธรรมอาจมีเหนื่อยบ้าง แต่คำว่าเหนื่อยถือเป็นเรื่องปกติสามัญของพวกเรา เพราะถือว่าชีวิตต้องทำงาน ถ้าเหนื่อยได้พักสักครู่เดี๋ยวก็หาย เป็นธรรมดาที่กองทัพธรรมไปชุมนุม 170 วัน อยู่ตรงนั้นไม่ใช่วิถีชีวิตปกติ จากที่เคยอยู่แต่ในชนบท ย่อมลำบากเป็นธรรมดา แต่ด้วยความเชื่อว่าที่ทำมาเดินถูกทางแล้ว ถึงได้ทุ่มเททำอย่างเต็มใจ ไม่ย่อท้อ แม้จะโดนโจมตีว่าเป็นพระมายุ่งเกี่ยวการเมืองตั้งแต่แรกก็ตามที ที่ต้องมาชุมนุม เพราะพวกเรามีความเข้าใจในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่ทำงานร่วมกันกับสังคมมนุษยชาติ ปกติสำนักสันติอโศกก็ทำเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ออกมาชุมนุม

“หากจะพูดว่าพุทธศาสนามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้อย่างไร เพราะเรารู้อยู่ว่าเป็นการเข้าใจผิด เราถึงได้มาเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ ด้วยการลงมือทำจริง แล้วมาดูผลทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ หรือทำเพื่อประชาชน” สมณะโพธิรักษ์กล่าว

สมณะโพธิรักษ์กล่าวต่อว่า งานการเมืองคืองานอาสา เสียสละ ช่วยเหลือประชาชนด้วยจิตสาธารณะอย่างแท้จริง ดังนั้น ไม่ว่าใครจะช่วยเหลือประชาชนด้วยวิธีการใดถือเป็นงานการเมืองทั้งนั้น สันติอโศกช่วยให้สังคมมีความรู้เลี้ยงตัวเองได้ มีชีวิตอยู่ในสังคมดีขึ้นมา เราก็ทำเหมือนกับหน้าที่ของกระทรวงต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบอย่างไม่ตกบกพร่อง เพียงแต่เราไม่มีงบประมาณ ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีวิตของตัวเอง เราไม่ได้สัญญากับประชาชนว่าเป็นหน้าที่ต้องไปดูแล ส่วนผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาต้องทำให้เต็มที่ ไม่ต้องไปห่วงการทำมาหากินเพราะเขาให้เงินเดือนไว้แล้ว ดังนั้น การช่วยสังคมประเทศชาติ คือ นิยามคำว่าการเมือง ช่วงชุมนุมก็พยายามอธิบายหลัก 10 ข้อ ว่าการเมืองคืออะไร ก็ยังยากที่นักการเมืองจะเข้าใจ เพราะไปปลูกฝังความหมายคำว่าการเมืองผิดๆ โดยเข้าใจไปว่าการเมืองคือการสร้างอำนาจ แย่งกันเป็นใหญ่ เข้าไปกอบโกยผลประโยชน์

นางจินดารัตน์กล่าวว่า ไหนจะพูดถึงเรื่องการเมืองแล้ว มีพี่น้องโทร.มาบอกเครียด ชุมนุมทุ่มเทให้ความรู้แก่ประชาชนเต็มที่ แต่เสียงตอบรับคะแนนโหวตโนได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่บัตรเสียมากขึ้น สมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า ตามปกติโหวตโนก็น่าจะได้รับการตอบรับมาก เพราะประชาชนตื่นตัวคนมาลงคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น สังเกตดูคะแนนเสียงของ ส.ส.แบบรายชื่อ หรือพรรค ไม่ได้มากกว่าปีที่แล้ว เมื่อมีคนมาลงคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น แล้วทำไมคะแนนโหวตโนมันหาย แต่ไปอยู่ที่บัตรเสียมากขึ้น อย่างไรก็ดี เราต้องเข้าใจความเป็นจริง คิดเสียว่าที่ไม่ได้คะแนนตามเป้า เป็นเพราะเราไปตั้งความหวังไว้สูงเกินไป อีกอย่างเป็นที่รู้กันดีว่า เลือกตั้งมีการแข่งขันสูง เต็มไปด้วยการทุจริต กลั่นแกล้ง ดังนั้นสาเหตุที่คะแนนโหวตโนน้อยลงน่าจะมีสาเหตุมาจากคนมีอำนาจทางการเมืองแฝงเข้ามาทำลาย

“หากรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศแล้วทำเพื่อตัวเอง กองทัพธรรมจะออกไปต่อต้านอีกแน่ แต่จะแค่ไหนอย่างไรก็ต้องประเมินกำลังตัวเอง เพราะเราต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง และต้องทำงานกับภาคประชาชนวงแคบด้วย เช่น ช่วยสร้างเยาวชน ตั้งโรงเรียนสอนฟรีซึ่งทำมา10 กว่าปีแล้ว แนะนำอบรมให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เลิกอยายมุข ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานการเมืองเหมือนกัน” สมณะโพธิรักษ์กล่าว

สมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า แนวทางสันติอโศกมีเป้าหมายอยู่กับสังคม ไม่ใช่หนีสังคมไม่ใช่เห็นแก่ตัว หลักศาสนาช่วยล้างความเห็นแก่ตัว ศีลล้างกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสเราจึงทำงานเพื่อสร้างสรรค์ แค่อาศัยกินใช้ หากเหลือแบ่งปันให้ผู้อื่น ไม่ใช่ทำตามระบบทุนนิยมที่สร้างผลผลิตอะไรขึ้นมาแล้วไปขูดรีดคนอื่นต่อ คิดอย่างนี้สังคมถึงได้บรรลัย เราถึงได้มีหลักเกณฑ์การขาย 4 ระดับ 1.ขายให้ต่ำกว่าราคาตลาด 2.ขายเท่าทุน 3.ขายต่ำกว่าทุน 4.แจกฟรี

หากถามว่า ขายต่ำกว่าทุนจะอยู่ได้อย่างไร ตรงนี้อย่าลืมว่า การคิดต้นทุนของผู้ค้า ปกติย่อมบวกต้นทุนจีปาถะทุกอย่าง บวกเผื่อแล้วเผื่ออีก ดังนั้นเพียงแค่เอากำไรให้น้อยลง จากส่วนที่คิดเผื่อแล้วเผื่ออีกนี้แหละนี้ก็ขายต่ำกว่าทุนได้แล้ว ส่วนแจกฟรี หากแจกไม่ได้ก็เอาคืนมาบ้างให้น้อยที่สุด ขายต่ำกว่าทุนเท่ากับเสียสละให้คนอื่นแล้ว ถือได้ว่าเป็นคนเจริญ

“เกิดมาเป็นคน เป็นคนให้คือคนเจริญ หากเป็นคนเอาเปรียบจะเป็นคนชั่วคนไม่เจริญ สังคมที่เอาเปรียบทำสินค้าส่งออกแล้วขูดรีดเอาจากเพื่อนบ้านมาให้ประเทศตัวเอง เป็นวิธีคิดที่เลวร้าย บาปจะกินหัวทั้งสิ้น การพัฒนาประเทศชาติด้วยวิธีอย่างนี้ไม่มีความเจริญได้ในสังคมโลก” สมณะโพธิรักษ์กล่าว



จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ
กำลังโหลดความคิดเห็น