สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ตั้ง 5 กรรมการตรวจสอบสินบนนักข่าว "หมอวิชัย-ดร.สมเกียรติ" ร่วมสอบ พร้อมให้เวลา 15 วัน รายงานข้อเท็จจริงให้ทราบ ยันไม่อาจยอมรับพฤติกรรมเรียกรับสินบน แนะสื่อรักษาระยะห่างกับแหล่งข่าว
วันนี้(5 ก.ค.) สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้เผยแพร่เอกสาร ระบุว่า ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มีข้อความระบุถึงการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหลายสำนัก เพื่อให้นำเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทย โดยมีการระบุชื่อของผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น ในการประชุมคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ประจำเดือนกรกฎาคม 2554 ได้มีการหยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นมาหารือ และมีมติให้รับเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ข้อ 19 (2) เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญหรือมีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับข้อความหรือภาพที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ที่เป็นสมาชิก หรือจากพฤติกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่สังกัดสมาชิก ขัดต่อข้อบังคับของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพ พร้อมทั้งมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องขึ้นมาตรวจสอบกรณีนี้ จำนวน 5 คน ประกอบด้วย น.พ.วิชัย โชควิวัฒน์ รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ ศ.สิทธิโชค ศรีเจริญ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และนางบัญญัติ ทัศนียะเวช โดยให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงแก่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติทราบภายในเวลา 15 วัน และจะมีการแจ้งผลการสอบสวนให้สาธารณชนทราบต่อไป
คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีความเห็นว่าสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ไม่อาจยอมรับกับการที่มีผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนไปเรียกรับหรือยอมรับเงินหรือผลประโยชน์จากแหล่งข่าว เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ข้อที่ 22 ผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ต้องละเว้นการรับอามิสสินจ้างอันมีค่า หรือผลประโยชน์ใด ๆ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด อันจะขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้องรอบด้าน
นอกจากนี้ยังเห็นว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเองต้องระมัดระวังมิให้มีผู้ไม่หวังดีนำชื่อไปอ้างในทางที่เสียหาย อีกทั้งควรรักษาระยะห่างกับแหล่งข่าว หลีกเลี่ยงการเป็นกระบอกเสียงให้กับนักการเมือง และองค์กรสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติควรกวดขันการทำหน้าที่ของบุคลากรในสังกัด เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพหนังสือพิมพ์เป็นอย่างมาก