นับจากตอนนี้ (วันที่ 2 กรกฎาคม) ก็ถือว่าเหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงวันเปิดหีบหย่อนบัตรเลือกตั้งในเช้าวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม เริ่มนับถอยหลังกันแล้ว ซึ่งการเลือกตั้งคราวนี้ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทัศนคติ การับรู้ข้อมูล การติดตาม และการตื่นตัวทางการเมืองนั้นมีความเข้าใจ และมีแนวโน้มพัฒนาไปในทางใด
ที่ผ่านมาสามารถเรียนรู้และเข้าใจพฤติกรรมของพวกนักเลือกตั้งจากทุกพรรคที่ “เสนอหน้า” เข้ามาให้เลือกเข้าไปเป็นตัวแทนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน รู้เท่าทันแค่ไหน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรู้กัน
อย่างไรก็ดี เมื่อมาถึงนาทีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรให้เยิ่นเย้อ เพราะหากใครที่ติดตามสถานการณ์มาอย่างใกล้ชิดก็น่าจะรับรู้กันบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็ต้องทราบดีว่าการเลือกตั้งคราวนี้เป็นการแย่งชิงอำนาจผ่านทาง “หุ่นเชิด” หรือ “ตัวแทน” ของทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายแรกเริ่มจากฝ่ายท้าชิงอำนาจรัฐ จากพรรคเพื่อไทยที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็น “โคลนนิ่ง” ของ ทักษิณ ชินวัตร เป้าหมายที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องการนิรโทษกรรมลบล้างความผิด และ “ทวงเงิน” ที่ถูกยึดไป 4.6 หมื่นล้านบาทจากคดีคอร์รัปชัน แล้วก้าวสู่อำนาจอีกครั้ง
ความต้องการคือสิ่งนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีการเปิดเผย เคยนำมาใช้รณรงค์หาเสียง เช่น หากต้องการให้ ทักษิณ กลับบ้านก็ต้องเลือกเพื่อไทยเข้ามามากๆ หรือ หากจะให้มีการนิรโทษกรรมให้ ทักษิณ ก็ต้องเลือกเพื่อไทย อะไรประมาณนั้น ซึ่ง คนที่เคยออกมารณรงค์หาเสียงอย่างแข็งขันก่อนหน้านี้ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รวมถึง “หัวโจก” คนเสื้อแดงหลายคน ก็ทำแบบนี้ แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริง กลายเป็น “กระแสพลิกกลับ” ชาวบ้านเริ่มไม่เอาด้วย จึงต้องปรับเกมใหม่ ตอนแรกก็บอกว่าหากมีการนิรโทษก็จะตั้ง “คณะกรรมการกลาง” ขึ้นมาพิจารณา รวมทั้งพูดถึงเรื่องการทำประชามติ
อย่างไรก็ดี กระแสในเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่ดีขึ้น มิหนำซ้ำยังทำท่า “ติดลบ” ลงทุกวัน ก็ต้องรีบกลับหลังหัน ไม่พูดถึงเรื่องนี้ และล่าสุดกลายเป็นว่า ออกมาแถลงปฏิเสธว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรม และไม่มีเรื่องคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการแถลงออกมาจากปากของ ยิ่งลักษณ์ ด้วยตัวเอง นอกเหนือจากแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่พรรคเพื่อไทยและลิ่วล้อของทักษิณ กำลังนำมากลบเกลื่อนไม่ยอมพูดถึงเรื่องอื่น นอกจากความพยายามเปิดตัว “วิสัยทัศน์ 2020” ในโค้งสุดท้ายสร้างฝันในอนาคตอีก 9 ปีข้างหน้า
อีกขั้วหนึ่งก็ย่อมหมายถึง ฝ่ายประชาธิปัตย์นำโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “เชิด” โดยสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เคยได้ประโยชน์เต็มๆ จากการเป็นรัฐบาลผสมมานานกว่า สองปีหกเดือนที่ล้มเหลวในทุกเรื่อง เพราะมีทั้งเรื่องคอร์รัปชัน ไร้ผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน เสียดินแดน ข้าวยากหมากแพง แต่กลายเป็นว่าพวกเขากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีกระแส “โหวตโน” หรือ “ไม่เลือกใคร” โผล่พรวดเข้ามา โดยเป็นกระแสตื่นตัวของชาวบ้านที่เห็นว่านักการเมืองที่เสนอเข้ามาให้เลือกนั้นล้วน “น่าสะอิดสะเอียน” และไร้ค่า เห็นว่าคนพวกนี้ล้วนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือไม่ก็ใช้การเลือกตั้งเป็นบันใดเพื่อ “ฟอกตัว” สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การโหวตโนยังมีผลทางกฎหมายโดยตรงและโดยอ้อม โดยตรงก็คือ มีการกำหนดเอาไว้ทั้งในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจน รวมทั้งมีการชี้ให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของ “พลัง” โหวตโน ว่ามีคุณค่าและมีผลต่อการเลือกตั้งเพียงใด เพราะถ้าคะแนนเสียงโหวตโนชนะกว่า 26 เขตขึ้นไปทำให้การเปิดสภาไม่ได้ เพราะมีจำนวน ส.ส.ไม่ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เกิดเป็นพลังต่อรองกับนักการเมืองชั่วได้อย่างมหาศาล
ขณะที่อีกด้านหนึ่งแม้ว่าอาจไม่ชนะแบบนั้นก็ตาม แต่ถ้ามีจำนวนมากเป็นกอบเป็นกำมันก็แสดงให้เห็นถึง “พลัง” ที่น่ากลัว เพราะคนที่ไปโหวตโนนั้นไม่ใช่ไปอย่างเลื่อนลอย หรือเหมือนกับพวก “ไม่ไปเลือกตั้ง” แบบนอนหลับทับสิทธิ์ซึ่งยังแยกไม่ออกว่าสาเหตุที่ไม่ไปนั้นเป็นเพราะไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซื่อบื้อ เรื่อยเปื่อย หรือประท้วงยังมองไม่ชัด
แต่การโหวตโนคือความ “ตั้งใจ” ประกาศให้รู้ในความหมายดิบๆทำนองว่า “พวกกูชาวบ้านไม่เอานักการเมืองกระจอกอย่างพวกมึง” เพราะ “พวกมึงเลว ชาวบ้านอย่างพวกกูได้ตื่นตัวจะไม่ยอมให้โอกาสอีกต่อไปแล้ว” อะไรประมาณนี้แหละ มันถึงสร้างความหวั่นไหวจึงต้องหาทางทำลายความชอบธรรมของพลังโหวตโนทุกวิถีทาง
ยิ่งพวกนักการเมืองและเครือข่ายทั้งหลายที่มาในหลายรูปแบบทั้งนักวิชาการรับใช้ สื่อมวลชนที่รับงานรับเงิน ข้าราชการที่คิดเพียงแค่ประโยชน์เฉพาะหน้าก็ออกมาขานรับ แต่ในทางตรงกันข้ามยิ่งต่อต้านมากเท่าใด นั่นก็แสดงให้เห็นว่า โหวตโน ย่อมมีพลังเกินความคาดหมายแล้ว
เพราะการตื่นตัวร่วมกันรณรงค์ทั่วประเทศของภาคประชาชน ที่ประกาศไม่ยอมรับการเมืองน้ำเน่า เอาแต่ต่อรองผลประโยชน์กันอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าฝ่ายไหนมาประเทศชาติก็เดือดร้อน ถ้าเพื่อไทยมาก็ต้องนิรโทษกรรมคืนเงินให้ ทักษิณ ทำลายย่ำยีศาลยุติธรรม ขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์เข้ามาบรรยากาศก็ไม่ต่างจากสองปีหกเดือนที่ผ่านมาและยังมีแนวโน้มหนักกว่าเดิม เผาหนักกว่าเดิม
ที่สำคัญพวกเราคนไทยจะยอมรับคนชั่วไม่ว่าจะเป็น “พวกเผาเมือง” และ “พวกที่ปล่อยให้เผาเมือง” ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมัน “เลวพอกัน” เล่นเกมการเมืองสร้างความกดดันให้ประเทศชาติฉิบหายวายป่วงมาตลอดเวลา แต่คนพวกนี้ยังสะเออะคิดเสนอหน้าเข้ามาให้รำคาญใจอีก
ดังนั้น ทางออกมีทางเดียวก็คือ “โหวตโน” สั่งสอนพวก “กระจอก” ให้รู้สำนึก สร้างพลังต่อรองของประชาชนให้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าใดยิ่งดี และเพียงแค่ “4 วินาที” ก็พลิกโฉมหน้าประเทศชาติได้แล้ว!!