ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที่สำหรับข่าวคราวเรื่อง “ปฏิญญาบรูไน” ที่ระบุว่า ทักษิณ ชินวัตร “เศรษฐีขี้โกง” กำลังส่ง “ลิ่วล้อ” คนสนิทที่ชื่อ วัฒนา เมืองสุข อะไรนั่นไปนั่งจับเข่าเคลียร์กับ “บิ๊กกองทัพ” คนหนึ่ง มีการเอ่ยชื่อขึ้นมาก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือที่รู้กันว่าทำตัวเป็น “พี่ใหญ่” ในกองทัพเวลานี้เนื่องจากสามารถผลักดันน้องๆ “บูรพาพยัคฆ์” เข้ามากุมอำนาจกันเป็นแผง โดยเฉพาะในกองทัพบกที่หากพิจารณาจากเส้นทางการเติบโตของผู้บัญชาการทหารบกคนก่อนต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันนั่นคือ ตั้งแต่ยุค พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา มาจนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ล้วนมาจากเส้นทางเดียวกันทั้งสิ้น
แม้จะมีการปฏิเสธออกมาทั้งคนที่ตกเป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นวัฒนา เมืองสุข หรือแม้แต่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “โคลนนิ่ง” ของทักษิณ ก็ตาม แต่ถ้าพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และเทียบเคียงกับความเคลื่อไหวในอดีตมันก็เป็นเรื่องที่ต้องชวนติดตามแน่นอน
ที่สำคัญสำหรับการเมือง สิ่งไหนจริงคือ ไม่จริง สิ่งไหนไม่จริงก็คือจริง เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้พอกันทั้งสองทาง ควบคู่กันเสมอ !!
อย่างที่เคยระบุเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่า เวลานี้ ทักษิณ ชินวัตร กำลังมองข้ามช็อตไปถึงการจัดตั้งรัฐบาล กลับมากุมอำนาจรัฐอีกรอบผ่านทาง “โคลนนิ่ง” สายตรงอย่าง ยิ่งลักษณ์ และที่ผ่านมาเริ่มมีการต่อสายทาบทามพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กกันไปบ้าง อย่างน้อยก็มีการพูดถึงพรรคชาติไทยพัฒนาของ บรรหาร ศิลปอาชาการันตีกันแล้ว
ขณะเดียวกันยังมีการเดินสายเปิดตัวกับสื่อต่างประเทศอย่างถี่ยิบ รวมไปถึงการเปิดการหารือกับบรรดาทูตต่างประเทศที่เน้นเฉพาะประเทศมหาอำนาจที่มีความหมาย เริ่มจากกลุ่มสหภาพยุโรป และล่าสุดได้ “จงใจสร้างภาพ” ให้เห็นถึงการพบปะกันกับ ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยของ ยิ่งลักษณ์ แม้ว่าจะไม่ได้เปิดเผยถึงเนื้อหาการสนทนา แต่อย่างที่บอกนั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งที่ต้องการก็คือ ต้องการให้ “เป็นข่าว” ปรากฎออกไปมากกว่า และในกรณียิ่งออกมาแบบ “คลุมเครือ” ยิ่งดี เพราะสามารถนำไปตีความต่างๆนานา
เพราะหลังจากนั้น ยิ่งลักษณ์ ก็จงใจให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ทางการสหรัฐเป็นห่วงเรื่องการเลือกตั้ง และพูดถึงการก่อรัฐประหาร เหมือนกับส่งสัญญาณบล็อก “อำนาจพิเศษ” ที่อาจขัดขวางการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย หลังจากชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชู อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
ดังนั้นสิ่งที่ยังเป็นประเด็นอ่อนไหวและหวาดผวาอย่างหนักของ ทักษิณ ก็คือ กองทัพ หรือ “พรรคสีเขียว” นั่นแหละที่เป็น “ตัวแปร” สำคัญ ว่าสามารถตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ หรือเมื่อเป็นแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยได้นานแค่ไหน เพราะหากจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเคยสร้างภาพ “ออดอ้อน” ขอเข้าพบกับผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแล้ว ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวหลายฝ่ายมองว่านั่นเป็นเรื่อง “หน้าฉาก” ถูกสั่งให้แสดงแบบนั้น แต่ข้าง “หลังฉาก” อันเร้นลับ ได้มีการ “เคลียร์” กันไปแล้ว
ซึ่งเนื้อหาการหารือมีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินในทำนองว่า ต่างฝ่ายอย่า “รุกล้ำกินแดน” เข้ามา และเพื่อ “ประกันความชัวร์” ก็เปิดทางให้ฝ่ายกองทัพเสนอตัวบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ตอนนั้นยังไม่ถึงขั้นระบุเป็นตัวบุคคลออกมาชัดเจนนัก แต่เมื่อข่าวล่าสุดถึงขั้นอ้างว่าเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมามันก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาถือว่าเขาเป็น “ทหารการเมือง” ดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคสีเขียว” ไม่ต่างจากนักการเมืองคนหนึ่ง ที่สามารถพลิ้วไปข้างไหนก็ได้ คราวที่แล้วโอบอุ้ม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาคราวนี้ทำไมจะอุ้มชู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บ้างไม่ได้ ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์และอำนาจที่จะได้รับ ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก
ในทางการเมืองและอำนาจถือว่านี่คือการแลกเปลี่ยนที่ “วินวิน” มีแต่ได้กันทั้งคู่ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ และที่ผ่านมาจากการล้มครืนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ถือว่ามีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ยังตกเก้าอี้และต้องลี้ภัยในต่างประเทศจนถึงบัดนี้ก็มาจากกองทัพที่ออกมา “ต่อยอด” เก็บเกี่ยวเอาในขั้นสุดท้ายนี่แหละ
ขณะเดียวกันสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “เจ้าของ” ทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมา เวลากว่า 5 ปีที่ต้องอยู่ในต่างแดน แม้ว่าจะสุขสบายด้วยเงินทองไม่ทุกข์ร้อน แต่การกลับเข้ามามีอำนาจในประเทศไทยอีกรอบก็ต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง คงไม่อาจใช้วิธีหักหาญแบบน่าเกลียด เหมือนเมื่อครั้งที่เคยทำสมัยรัฐบาลหุ่นเชิด สมัคร สุนทรเวช หลายฝ่ายมองว่าเขาน่า “สรุปบทเรียน” มากกว่าเดิม
แม้ว่าจะชนะเลือกตั้ง แต่นั่นไม่ใช่หมายความว่าเขาและพรรคเพื่อไทยจะอยู่อย่างเป็นสุข เพราะเวลานี้ หากสังเกตให้ดีจะพบว่า “กระแสต่อต้าน” เริ่มแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคิดที่จะนิรโทษกรรมให้ตัวเองทั้งที่มาแบบเห็นแก่ตัวคนเดียวโดดๆ หรือว่าจะมาแบบอำพรางมั่ว แบบ “เหมาเข่ง” นั่นคือเสนอนิรโทษฯร่วมไปกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกสีไหนก็ตาม รวมไปถึงพวกที่ติดอยู่ในบ้านเลขที่ 111+109 เพื่อหาแนวร่วมก็ตาม แต่คนก็รู้ทัน และเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันแล้ว เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาหากจะดำเนินการกันจริงๆ ก็จะเกิดแรงต้านขนานใหญ่แน่ ซึ่งเชื่อว่าเขาน่าจะรับรู้สัญญาณดังกล่าวได้ดี
และนี่อาจทำให้ข่าวเรื่อง “ปฏิญญาบรูไน” ที่มีการต่อรองเงื่อนไขกับบิ๊กกองทัพ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือใครก็ตาม เป็นจริงมากขึ้น สอดคล้องกับข่าวความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่คือการเจรจาเพื่อ “เอาตัวรอด” กันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง !!