การประกาศของประชาธิปัตย์ที่เชิญชวนให้ประชาชนเลือกประชาธิปัตย์ เพื่อแสดงพลัง “ถอนพิษทักษิณ” เป็นกลยุทธ์ที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และประชาธิปัตย์ต้องการให้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวฝ่ายตรงข้าม คือทักษิณ ชินวัตร-พรรคเพื่อไทย
วิธีแบบนี้ประชาธิปัตย์ถนัดมานานในการลงสู้ศึกสนามเลือกตั้ง ด้วยการกล่าวหาทำลายฝ่ายตรงข้าม สร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง ทั้งที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเพื่อไทย
หากประชาธิปัตย์คิดจะชนะการเลือกตั้งที่ทำให้ผู้คนยอมรับ ก็ควรต้องสู้กันด้วยการทำให้ประชาชนเห็นว่า อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยอย่างไร
ไม่ใช่การเล่นการเมืองกันแบบโจมตีคู่แข่งขันว่าชั่วร้ายเลวทราม ยกก้นตัวเองว่าดีเลิศ
แถมยังข่มขู่ประชาชนด้วยการทำให้เกิดความเข้าใจกันไปว่า ทักษิณคือระเบิดปรมาณูที่หากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณกลับเข้ามาเมื่อไร ปรมาณูทักษิณจะระเบิดทำลายล้างประเทศชาติ
ทั้งที่ข้อเท็จจริง ตัวทักษิณ ชินวัตร หมดสภาพทางการเมืองไปนานแล้ว ไม่ได้มีพิษสงรุนแรงอะไรที่คนไทยต้องหวาดกลัวจนต้อง “ถอนพิษ”
ทักษิณวันนี้ถูกถอนพิษไปหมดแล้ว ตั้งแต่ สนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำประชาชนออกมาขับไล่ตั้งแต่ปี 2548 จนทักษิณและระบอบเผด็จการของเขาถูกทำลายย่อยยับ อันเป็นสิ่งที่คนไทยได้รับรู้ถึงความชั่วร้ายของคนๆนี้และบริวาร จนหมายหัวคนเหล่านี้เป็น “ศัตรูสาธารณะ” ตลอดไป หากดอดเข้าแผ่นดินไทยมาเมื่อไร ถ้าไม่ยอมติดคุกก็ได้เจอประชาชนรุมประชาฑัณท์แน่
ดังนั้น ใครก็รู้ว่าทักษิณยากที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีกแล้ว และยากอย่างยิ่งหากเพื่อไทยและยิ่งลักษณ์คิดจะเอาทักษิณกลับไทยโดยไม่ต้องรับผิด ก็ต้องเจอกับแรงต้านของคนทั้งประเทศที่จะลุกฮือขึ้นมาไม่ให้เพื่อไทยคิดชั่ว-นิรโทษกรรมให้ทักษิณ
ไม่ว่าจะทำแบบไหน จะออกพระราชกำหนด-พระราชบัญญัติ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันจะต้องเจอกับการรวมตัวกันของประชาชนที่จะไปล้อมทำเนียบรัฐบาล-หน้ารัฐสภา ไม่ให้พวกนักการเมือง-รัฐมนตรีของเพื่อไทย เดินหรือเข้า ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาได้ แม้จะต้องตาย ก็มีประชาชนจำนวนมากพร้อมยอมสละ
ไม่ใช่แค่คดีอาญาโทษจำคุกสองปี ที่ทักษิณหนีไปอยู่ต่างประเทศ ยังมีเรื่องที่ทักษิณ มันจาบจ้วง ละเมิดสถาบัน ไม่รู้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ทั้งวิดีโอลิงก์-โฟนอิน-ให้สัมภาษณ์พาดพิงสถาบันครั้งแล้วครั้งเล่า ความชั่วเรื่องนี้ก็มีผู้คนรอคิดบัญชีทักษิณทั่วประเทศ
ทักษิณมันหมดสภาพ เป็น “ผีตายซาก” ไปนานแล้ว
ขอย้ำว่า การถอนพิษทักษิณ คนที่ทำและทำมานานแล้วก็คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 48 และทำกันอยู่ถึงทุกวันี้ มีการลากไส้ ถลกหนังระบอบทักษิณจนหมดเปลือก ความเลวร้ายของระบอบทักษิณ ผู้คนรับรู้ และร่วมกันขับไล่มานานแล้ว ประชาธิปัตย์ไม่ต้องมาตอกย้ำ
การชูแคมเปญถอนพิษทักษิณของอภิสิทธิ์ นอกจากล่าช้า-คิดช้ากว่าประชาชนหลายปีแล้ว ยังเป็นการฉกฉวยโอกาสทางการเมืองในยามที่กำลังจะแพ้การเลือกตั้ง และอาจไม่ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งเท่านั้น เลยต้องสร้าง “ผีทักษิณ” ให้ผู้คนหวาดกลัว อภิสิทธิ์หาได้มีความจริงใจในการต่อสู้กับความเลวร้ายของระบอบทักษิณแต่อย่างใด
หากอภิสิทธิ์ต้องการถอนพิษทักษิณ ต้องทำตั้งแต่วันแรกที่ตั้งรัฐบาลแล้ว เอาแค่เรื่องเอาตัวทักษิณกลับมารับโทษอาญาตามคำตัดสินของศาลฎีกาฯ อย่างเดียว เป็นรัฐบาลกุมอำนาจรัฐแท้ๆ ยังทำอะไรไม่ได้
แถมยังโดนเย้ย ทักษิณเล่นวิดีโอลิงก์-โฟนอิน มาป่วนทำลายประเทศกลางสี่แยกราชประสงค์-สะพานผ่านฟ้าฯ ตอนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่รวมถึงอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศเช่น เชียงใหม่ และอีกหลายแห่งที่ทักษิณส่งเสียงและเงามาปลุกปั่นมวลชนจนคนในชนบทเห็นอกเห็นใจเขา
อภิสิทธิ์ปล่อยให้นักโทษชายทักษิณเย้ยกระบวนการยุติธรรมไทย ทั้งปลุกระดมและสั่งการคนเสื้อแดงให้เผาบ้านเผาเมืองอย่างสะใจ ส่วนรัฐบาลก็มืดบอด ทำอะไรทักษิณไม่ได้
เป็นรัฐบาลมาสองปีกว่า ปิดหูปิดตาปล่อยให้โจรเสื้อแดงเติบโตไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนก็เตือนแล้วว่า ต้องควบคุม ถอนรากถอนโคน แต่ก็ไม่ฟัง เพราะมัวแต่กำลังเห่อและกระหายอำนาจ หลังเป็นฝ่ายค้านมา 8 ปี จนคนเสื้อแดงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยกพวกมายึดเมืองหลวงตั้งแต่มีนาคมถึงพฤษภาคม 53 บ้านเมืองฉิบหายหมด กว่าอภิสิทธิ์จะจัดการได้กินเวลาไปสามเดือน
ตอนที่แกนนำเสื้อแดงยื่นขอประกันตัว จนต่อมาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จนแกนนำ นปช.อย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหวง โตจิราการ ได้ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย ทั้งอภิสิทธิ์-สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ทำเป็นโวยวายว่าเพื่อไทยเอาคนพวกนี้ที่ก่อความรุนแรงลงเลือกตั้ง
แล้วทำไมตอนพวกนี้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ไม่บอกดีเอสไอว่าขอไปเป็นพยานจะเข้าไปเบิกความคัดค้านการประกันตัว ซึ่งหากคนอย่างนายกรัฐมนตรี-รองนายกรัฐมนตรี เบิกความพร้อมแสดงหลักฐานต่างๆ เช่นคลิปวิดีโอต่างๆ แบบที่เปิดที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อ 23 มิ.ย. ย่อมเป็นพยานที่มีน้ำหนักจนอาจทำให้แกนนำ นปช.ไม่ได้รับการปล่อยตัวแบบทุกวันนี้ก็ได้
ทำไมตอนนั้น “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ไม่คิดจะทำ
ต้องรอให้ถึงวันนี้ที่ประชาธิปัตย์กำลังหวั่นใจจะแพ้เลือกตั้ง “อภิสิทธิ์-สุเทพ” เลยออกมาแฉถึงขั้นกรีดน้ำตาแสดงความอ่อนแอออกมาเหมือนเด็กอยากได้ของเล่น
อภิสิทธิ์มายอมรับว่าสะอื้นไห้หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน 53 แต่ขอแรงใจจากประชาชนให้เลือกเบอร์ 10 ปชป. แต่ทีประชาชนไปหา ขอให้รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าไปดูแลเรื่อง สำคัญๆ ที่จะมีผลกระทบต่ออธิปไตยของแผ่นดินอย่างเรื่อง ปัญหาเขตแดนเขาพระวิหาร ที่ต้องการให้ยับยั้งสิ่งที่จะทำให้ประเทศเสียดินแดน เช่น การทำข้อตกลงเจบีซี มีการไปยื่นข้อเรียกร้องให้อภิสิทธิ์หน้ารัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล อภิสิทธิ์ก็ไม่เคยสนใจในยามที่มีอำนาจ แค่เพียงออกมารับหนังสือข้อเรียกร้องของประชาชนก็ทำไม่ได้
ส่วนอีกคนหนึ่งที่น่าผิดหวังเช่นกัน ก็คือ นายชวน หลีกภัย ที่เที่ยวเล่าตำนานการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งปี 39 เนื้อหาโดยสรุปจับความได้ว่า ไม่จำเป็นที่พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.อันดับหนึ่งจะต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
นี่คือการเปลือยตัวตนของชวน หลีกภัย กลางสี่แยกราชประสงค์ ที่น่าผิดหวังอย่างมาก เพราะแทนที่ชวน จะต้องยึดถือประเพณีการเมืองที่ว่าเมื่อประชาชนเลือก ส.ส.พรรคไหนมาอันดับหนึ่งก็หมายความว่าเป็นพรรคที่ประชาชนไว้ใจมากที่สุด ก็ควรให้พรรคดังกล่าวได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน หากไม่สำเร็จค่อยมาพรรคอันดับสอง
แต่ ชวน หลีกภัย ผู้เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา กลับทิ้งหลักการอันนี้ไป ซึ่งแม้เรื่องนี้จะไม่ได้มีกฎหมายเขียนไว้ แต่เมื่อเป็นประเพณีการเมืองที่ควรต้องปฏิบัติ หลายคนก็เห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องยึดถือ
ก็ควรที่นายชวน ในฐานะนักการเมืองอาวุโสของประชาธิปัตย์จะต้องบอกให้คนของ ประชาธิปัตย์ให้ยึดเอาไว้ แต่ ชวน กลับเก็บหลักการนี้เอาไว้ในลิ้นชัก
เพียงเพราะจะเชียร์อภิสิทธิ์อย่างเดียว อยากให้สุเทพน้องรักเป็นผู้จัดการรัฐบาลอีกสมัย พี่ชวนของมาร์คและเทือก เลยเลยแก้ผ้าล่อนจ้อนกลางสี่แยกราชประสงค์
ดังนั้น ถ้าจะให้ดี อภิสิทธิ์ไม่ต้องมาบอกให้คนไทยถอนพิษทักษิณหรอก ถอนพิษร้ายในตัวนักการเมืองชั่วก่อน โดยเฉพาะหัวดำ-หัวหงอกในพรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ