โฆษกพันธมิตรฯ เผย “สนธิ” บุก กกต.ยื่นยุบเพื่อไทยบ่าย 3 วันนี้ ซัดใช้ “นช.แม้ว” หาเสียงผิดกฎหมายชัด ยันโหวตโน 26 เขต ทำเลือกตั้งโมฆะ สามารถต่อรองปฏิรูปการเมือง ไม่เอานิรโทษกรรมได้ แย้มเล็งยื่นยุบแทบทุกพรรคให้โฆษณาเกินจริง ค้านแถลงการณ์องค์กรสื่อ ย้ำเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกชาติ ซ้ำทำแตกแยกรุนแรง แถมฉ้อฉลมากสุด
วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาก่อการร้าย มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า จากกรณีที่พรรคเพื่อไทยได้ติดป้าย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อยู่ในโปสเตอร์หาเสียงหลายแห่ง มีทั้งภาพถ่าย วิดีโอ ประกอบกับการปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอยู่ในฐานะนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน และผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้ง ดังนั้น จากกรณีดังกล่าวถือว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้ง ทำให้ในวันนี้ เวลา 15.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และตน จะยื่นหนังสือไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ กกต.พิจารณาดำเนินการยุบพรรคเพื่อไทย กรณีการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ทรงอิทธิพล และพรรคเพื่อไทยอยู่ภายใต้การครอบงำของ พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทยก็สมควรที่จะต้องถูกพิจารณาในการยุบพรรคต่อไป
สำหรับกรณีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน กรณีที่มีข่าวว่าพันธมิตรฯ มีการตั้งเป้าหมายว่าจะให้คะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน ชนะผู้สมัคร ส.ส.ให้ได้ 26 เขตนั้น นายปานเทพกล่าวยืนยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะได้เสียงโหวตโนให้ได้ 26 เขต แต่จากการที่นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ได้แสดงความเห็นนั้น ทำให้เราต้องการให้ประชาชนได้รับทราบว่าการโหวตโนมีผลทางกฎหมาย และมีความหมายว่า ถ้าประชาชนสามารถดำเนินการนำคะแนนโหวตโนชนะเหนือทุกพรรคการเมืองในเขตนั้นๆ การเลือกตั้งเขตนั้นเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ถ้าการเลือกตั้งในเขตนั้นมีมากถึง 26 เขตขึ้นไปก็จะทำให้รัฐสภาเปิดประชุมไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 93 วรรค 7 และมาตรา 127 ที่ต้องเปิดประชุมสภาภายใน 30 วัน ซึ่งจะทำให้อำนาจต่อรองกลับมาอยู่ที่ภาคประชาชนใน 26 เขตขึ้นไป ที่จะต่อรองในเรื่องของการปฏิรูปการเมือง หรือว่าการไม่ยอมรับการนิรโทษกรรม หรือให้รัฐบาลนั้นมีนโยบายชัดเจนเพื่อยุติความขัดแย้งทั้งปวง ไม่ว่าฝ่ายใดที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลต่อไปในอนาคต
โฆษกพันธมิตรฯ ยังกล่าวอีกด้วยว่า ได้คุยกับนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ว่าลำดับถัดไปคงไม่ใช่เสนอเรื่องการยุบพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่เนื่องจากการหาเสียงช่วงหลัง แทบทุกพรรคการเมืองนั้นมีการเสนอนโยบายในการลดแลกแจกแถม สัญญาว่าจะให้อามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์อื่นใดให้กับผู้ที่จะลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองเหล่านั้น ทั้งนี้ เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการกระทำที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะที่เป็นการจูงใจด้วยผลตอบแทนเป็นการส่วนตัว ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นแทบทุกพรรคการเมือง ซึ่งต้องใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล บางพรรคการเมืองนั้นเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ จึงเห็นว่าลำดับถัดไปคงจะต้องมีการเพื่อขอให้ทาง กกต.พิจารณายุบพรรคการเมืองเหล่านี้ทั้งหมดด้วย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการจูงใจหาเสียง ในการซื้อเสียงผ่านนโยบายของพรรคการเมืองเหล่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีองค์กรสื่อและภาคเอกชนร่วมกันออกแถลงการณ์โดยมีข้อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง ให้ทุกพรรคแสดงเจตจำนงยุติความขัดแย้ง และให้องค์กรอิสระเป็นตัวกลางในการสร้างความปรองดองนั้น พันธมิตรฯ มีความเห็นอย่างไร นายปานเทพกล่าวว่า สำหรับพันธมิตรฯ เราไม่เคยเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นทางออกเลย กลับเห็นว่าการเลือกตั้งจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่ร้ายแรง รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต ทั้งนี้ ขอย้ำว่าสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร มีการซื้อสิทธิขายเสียงจำนวนมาก กว้างขวางทั่วประเทศ ตั้งแต่ 1,000-3,000 บาทต่อหัว ในการซื้อเสียง ที่สำคัญการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องเงินอย่างเดียว ยังมีการใช้อาวุธสงคราม กระสุนปืน ยิงใส่หัวคะแนน กระทั่งมีผู้เสียชีวิตและถูกข่มขู่ จนกระทั่งต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตาม ส.ส.และหัวคะแนนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีการทำลายป้ายหาเสียง ข่มขู่คุกคามประชาชนจำนวนมาก
“สิ่งเหล่านี้ไม่เรียกว่าเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย เป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินและอิทธิพลเป็นหลัก ไม่ใช่เจตนารมณ์ของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจะเห็นด้วยได้ และก็ไม่เห็นด้วยกับการที่รณรงค์ให้มีการยอมรับผลการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งเหล่านี้ไม่มีใครเอาผิดได้ในการทุจริตการเลือกตั้งเลย เราเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ล้มเหลวที่สุด จะสร้างความแตกแยกร้าวฉานรุนแรงมากขึ้นไปกว่าเดิม” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกด้วยว่า เราจึงเห็นว่าวิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตครั้งนี้ได้ก็คือการเชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งและกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้มากที่สุด และมากกว่า 26 เขต และจะยุติความล้มเหลวทางการเมืองได้ ถ้าเกิดการประชุมสภาไม่ได้ นักการเมืองเหล่านั้นก็เริ่มเข้าสู่อำนาจไม่ได้ ก็หมายความว่าอำนาจต่อรองจะกลับมาสู่ประชาชน โดยที่ประชาชนจะสามารถเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก่อนที่จะตัดสินใจในครั้งต่อไป ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คะแนนโหวตโนเกิน 26 เขตเมื่อไร อำนาจต่อรองกลับมาสู่ประชาชนโดยทันที เพราะสภาเปิดไม่ได้ จนกว่าประชาชนจะมีความพึงพอใจที่มั่นใจได้ว่า ความขัดแย้งทั้งหลายจะถูกคลี่คลายก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลหรือว่า ส.ส.จะเข้าสภาไป เพราะฉะนั้นพันธมิตรฯ จึงไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ดังกล่าว และขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับการใช้การเลือกตั้งครั้งนี้เข้ามาฟอกย้อมและให้ความชอบธรรมกับนักการเมือง เพราะเราเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลที่สุด ทุจริตมากที่สุด และ กกต.ก็ไม่สามารถเอาความผิดกับใครได้
ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า กรณีพรรคการเมืองที่หาเสียงโดยสัญญาว่าจะให้ ทุกพรรคเข้าข่ายกระทำความผิดพระราชบัญญัติเลือกตั้งทั้งหมด ทั้งสัญญาว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้ จะเพิ่มค่าแรงให้ จะแจกโฉนดที่ดิน จะให้สินเชื่อโดยปลอดภาษีสำหรับการทำมาหากิน ทุกพรรคโดยเฉพาะพรรคใหญ่สองพรรคเข้าข่ายเป็นการให้และสัญญาว่าจะให้ อันเป็นการหาเสียงโดยกระทำผิดพระราชบัญญัติการเลือกตั้งทั้งนั้น นอกจากจะต้องดำเนินการกับพรรคการเมืองเหล่านี้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกดำเนินการให้พิจารณาเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งว่าเข้าข่ายเป็นการผิดพระราชบัญญัติเลือกตั้ง อันเข้าข่ายกำหนดให้ยุบพรรคเช่นกัน ซึ่งยินยันว่าจุดยืนของพี่น้องพันธมิตรฯ เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง