ผ่าประเด็นร้อน
สังเกตให้ดีจะพบว่าในช่วงนี้บรรดาแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ของบรรหาร ศิลปอาชา หลายคนต่างออกมาแสดงความเห็น-แสดงท่าที “แปร่งๆ” ขึ้นทุกวัน ทางหนึ่งอาจยอมรับว่าหากต้องการเป็นข่าวอยู่ในกระแสก็ต้อง “แรง” เข้าไว้ ก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มองเห็นการส่งสัญญาณใหม่ออกมาให้เห็น ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาได้รับรู้ถึงแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงผู้ถือ “อำนาจรัฐ” หลังการเลือกตั้งค่อนข้างชัดเจนแล้ว
ดังนั้น ด้วยสัญชาตญาณ “ปลาไหล” ที่พัฒนาในเรื่องของความ “ลื่น” ขั้นสุดยอด ทำให้ต้องแสดงอาการบางอย่างออกมาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ต้องการอยู่แบบ “อดอยากปากแห้ง” ในอนาคต ขณะเดียวกันนี่คือสัญญาณ “ชิ่ง” เอาตัวรอดอย่างแนบเนียน
การออกมาให้สัมภาษณ์ของ ชุมพล ศิลปอาชา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาเมื่อสามสี่วันก่อนแสดงอาการกราดเกรี้ยวกับข้อความในเฟซบุ๊กของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่าพรรคชาติไทยฯไม่อยากร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเพราะถูกบังคับจาก “อำนาจแฝง” ที่ปฏิเสธไม่ได้จึงต้องจำใจ
ถัดมาก็เป็นการยืนยันจาก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก็ออกมาย้ำตามมาอีกว่าพรรคชาติไทยฯจะไม่ไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีกแล้ว
มองดูเผินๆ ก็ไม่น่ามีอะไรแปลกประหลาด ตรงกันข้าม ดีเสียอีกเพราะเป็นการส่งเสริมบรรยากาศประชาธิปไตยที่ไม่สมควรมี “อำนาจนอกระบบ” อย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องหรือบีบบังคับ ให้ทุกอย่างเดินไปตามระบบซึ่งมันก็ไม่น่าจะผิดอะไร แต่สำหรับพรรคการเมืองนี้ความหมายย่อมออกมาอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในทางการเมืองไม่มีอะไรสร้างสรรค์นอกเหนือจากการดิ้นรนทำทุกทางเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น
ขณะที่เจ้าของพรรคก็เคยกล่าวเป็นอมตวาจาจนรับรู้กันไปทั่วว่า “เป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง” มันก็สะท้อนความหมายและตัวตนของคนพูดได้ดี คราวนี้ก็เช่นเดียวกันการออกมาพูดของพวกเขามันก็ย่อมมีความหมายที่หากติดตามมาอย่างต่อเนื่องก็ย่อมรู้ทันคาดเดาได้ไม่ยาก
หากพิจารณาจากระยะทางการหาเสียงเลือกตั้งที่เดินมาได้ครึ่งทางและเห็นแววออกมาแล้วว่าพรรคไหนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย หลังจากดูจากผลสำรวจ (โพล) จากทุกสำนักล้วนออกมาตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็น “รัฐบาลผสม” ค่อนข้างแน่ และนี่แหละคือสาเหตุของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนาดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นก็ต้องแยกความเคลื่อนไหวออกมาเป็นสองส่วน นั่นคือส่วนแรกที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนก็คือ ก่อนหน้านี้พรรคชาติไทยฯ ได้ลงนามในลักษณะบันทึกความเข้าใจผูกมัดกันหลวมๆ กับพรรคภูมิใจไทยของ เนวิน ชิดชอบ ต้องการผนึกกำลังเพื่อหวังจะเป็น “ขั้วที่ 3” เพื่อต่อรองกับขั้วที่ 1 และขั้วที่ 2 นั้นคือขั้วของประชาธิปัตย์และเพื่อไทย เนื่องจากในตอนนั้นคาดหวังทั้งสองพรรคคงจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นกอบเป็นกำ หรือไม่อย่างนั้นการ “กอดคอ” กันแบบนี้ในลักษณะไปไหนไปด้วยกันจะทำให้เพิ่มพลังต่อรองในการเข้าร่วมรัฐบาลกับขั้วใดขั้วหนึ่ง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะก็ตาม
แต่ทุกอย่างทำท่าพลิกผันเมื่อการหาเสียงผ่านไประยะหนึ่งกลับปรากฏว่าไม่ได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ เพราะกระแสไหลไปที่ “สองพรรคใหญ่” นั่นคือไม่ประชาธิปัตย์ก็พรรคเพื่อไทย ไม่ค่อยมีคนพูดถึงพรรคขนาดกลาง หรือขั้วที่ 3 ถูกกลืนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
นอกจากนี้ หลังจากผลสำรวจคะแนนนิยมออกมาจนมั่นใจแล้วทำให้พรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ออกแถลงการณ์ “เฉดหัว” ไม่ร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยหลังการเลือกตั้ง ซึ่งความหมายก็คือการ “เอาคืนงูเห่า” กลุ่มเนวิน ชิดชอบ ที่ก่อนหน้านี้ชิ่งไปกอดคอกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปร่วมตั้งรัฐบาลให้ไปเป็นฝ่ายค้านให้ได้ และเป้าหมายถัดไปก็คือเป็นการ “สลายเอ็มโอยู” โดยทอดไมตรีส่งสัญญาณแบบเฉพาะเจาะจงไปถึงพรรคชาติไทยฯก่อน ส่วนหลังจากนั้นหากไม่ชัวร์ก็ค่อยดึงพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินมาเป็นพรรคสำรองก็ยังไม่สาย
ด้วยเหตุผลด้วยตัวเลขและผลประโยชน์ทางการเมืองดังกล่าวนี่แหละทำให้พวกนักเลือกตั้ง นักลงทุนทางการเมืองในพรรคชาติไทยพัฒนาจึงได้ออกมาแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับฝ่ายขั้วประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การพูดตัดพ้อของ บรรหาร ศิลปอาชา ที่ทำท่าทางตัดพ้อก่อนหน้านี้ว่า อภิสิทธิ์ ทำตัวห่างเหิน หรือไม่ค่อยทำตามสัญญา ถัดมาก็เป็นชุมพล น้องชายที่แสดงอาการกราดเกรี้ยวทำนองว่าถูกเหยียดหยาม และล่าสุดตามมาด้วย พล.ต.สนั่น กล่าวยืนยันว่าจะไม่ไปร่วมตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีกต่อไป ความหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการ “สร้างความรู้สึกร่วม” ไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยให้รับรู้ว่าตัวเองพร้อมแล้วสำหรับการจับขั้วใหม่ทางการเมือง และยังส่งสัญญาณให้เห็นว่ากำลังปฏิเสธประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยอีกด้วย
หากพิจารณากันอย่างรู้ทันก็ยิ่งเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือการ “เอาตัวรอด” หรือหากกล่าวกันแบบตรงๆก็คือการ “เห็นแก่ตัว” ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีคำมั่นสัญญาอะไรก็ตาม ก็สามารถฉีกทิ้ง “หักหลัง” ได้ตลอดเวลา แต่อีกด้านหนึ่งมันก็สะท้อนความจริงให้เห็นว่านี่คือการเมืองน้ำเน่า ที่ไร้อุดมการณ์ วันนี้พูดอย่างพรุ่งนี้ก็อีกอย่าง เอาแน่นอนอะไรไม่ได้
ดังนั้น การเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทยพัฒนาเวลานี้จึงไม่น่าแปลกใจสำหรับคอการเมือง ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของนักเลือกตั้ง นักลงทุนทางการเมืองดังกล่าวมานาน เพราะรู้ดีว่าเป้าหมายของคนพวกนี้คืออะไร ซึ่งรับรองว่าไม่เกี่ยวกับชาวบ้านทั่วไปแน่นอน!!