ผ่าประเด็นร้อน
ไม่ธรรมดาเสียทีเดียวสำหรับการออกมาทำนายผลการเลือกตั้งล่วงหน้า รวมไปถึงอนาคตทางการเมืองหลังจากวันที่ 3 กรกฎาคม โดยเฉพาะการฟันธงของ เนวิน ชิดชอบ ผู้อุปถัมภ์พรรคภูมิใจไทย ว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ทักษิณ ชินวัตร แม้จะชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่อาจฝืนกระแสต่อต้านได้
พร้อมทั้งสวมบทโหรทำนายอนาคตอีกว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้รับเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก ขณะที่อีกฟากหนึ่งอย่างประชาธิปัตย์จะแพ้ได้ ส.ส.ไม่เกิน 160 เสียง หมายความว่าอาจน้อยกว่านั้น ทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในที่สุด
คำทำนายดังกล่าวของ เนวิน ชิดชอบ ย่อมทำให้หลายคนในวงการต้องหันมามองทันที เพราะนอกจากเจ้าตัวถือว่า “คร่ำหวอด” ทางการเมืองมาโชกโชน ใกล้ชิดกับ “กลุ่มอำนาจ” มาทุกยุคสมัย รวมไปถึง “รู้ใจ” ทักษิณ ชินวัตร มากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ต้องมาวิเคราะห์ถึงคำพูดของเขาว่ามีนัยทางการเมืองอย่างไรบ้าง
เริ่มจากประเด็นหลักก่อนที่บอกว่า แม้พรรคเพื่อไทยชนะแต่ไม่ได้เสียงข้างมาก และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มันหมายความว่าอย่างไร เพราะหากให้เดาก็พอเข้าใจได้ว่า เนวินเชื่อว่าความนิยมของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ ไม่ใช่ออกมาในลักษณะ “ฟีเวอร์” เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในยุคทักษิณ และกระแสที่ออกมาในปัจจุบัน ก็คง “เต็มที่อยู่แค่นี้” เนื่องจากคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็ล้วนเป็นคนเสื้อแดง และกลุ่มสนับสนุนที่ได้ตัดสินใจล่วงหน้ามานานแล้ว และ “ฝังหัว” ว่าไม่ว่าเป็นใคร ส่งใครลงมาก็ต้องเลือก ไม่สนใจ
ขณะที่ตัวเลขตามโพลที่บอกว่ายังมีอีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจ ในเบื้องต้นก็น่าจะแบ่งออกได้เป็น 2-3 ประเภท คือ หนึ่งไม่บอกว่าจะเลือกใครทั้งที่ตัดสินใจเอาไว้แล้ว สองยังลังเลจริงๆ รอตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนระหว่างประชาธิปัตย์กับ “โหวตโน” เชื่อว่ากลุ่มหลังไม่น่าจะเทมาทางเพื่อไทย เพราะอย่างที่บอกว่ากลุ่มที่สนับสนุน ทักษิณ และเพื่อไทยคนพวกนี้ได้ตัดสินใจเอาไว้ล่วงหน้า และมักแสดงออกอย่างร้อนแรงกันมาตลอดอยู่แล้ว
ถ้าให้สรุปความหมายอีกทีก็คือ กระแสของยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยก็จะไม่พุ่งไปกว่านี้อีกแล้ว นั่นคือชนะ แต่ไม่ขาดแบบถล่มทลายเหมือนหลายปีก่อน อันเนื่องจากมีคนรู้ทัน มีอารมณ์ “เกลียดตระกูลชินวัตร” เข้ากระดูกดำก็ไม่น้อย พฤติกรรมของแกนนำคนเสื้อแดง ที่ก่อการจลาจลเผาเมืองถึงสองปีซ้อน รวมไปถึงมีพวกขบวนการ “ล้มเจ้า” แฝงตัวอยู่จำนวนมาก ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว ชาวบ้านเขารับรู้ ทำให้มีกระแสต่อต้านอยู่ภายใน ซึ่งมีอีกไม่น้อยที่เป็นคนสูงอายุที่เตรียมแสดงออกในเวลาหย่อนบัตรเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ภาพของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังสื่อออกมาเป็นลักษณะ “โคลนนิ่ง” ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยยังเป็นที่รวมของตระกูลชินวัตร ภาพจึงออกมาไม่ต่างจาก “บริษัทส่วนตัว” มีภารกิจหลักสำหรับนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้พี่ชายเท่านั้น ลักษณะจึงเป็นแบบเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่น และที่ผ่านมาก็เคยเป็นบทเรียนให้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี “หุ่นเชิด” จนถูกสหบาทาจนปั่นป่วนวุ่นวาย
เมื่อหันมาทางฟากประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นาทีนี้ต้องยอมรับว่าเป็นรอง แม้ว่าจะปากแข็งอย่างไรก็ตาม แต่อาจโชคดีตรงที่ว่าในบรรดา 50 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจเชื่อว่ายังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่มีโอกาสโหวตลงคะแนนให้
สำหรับตัวเลขที่มีการระบุออกมาว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะได้กว่า 200 ที่นั่ง ไม่ถึงครึ่ง ขณะที่ประชาธิปัตย์ได้ไม่เกิน 160 ที่นั่ง นั่นก็หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นรัฐบาลผสม-ดึงพรรคการเมืองอื่นเข้าร่วม ความหมายก็คือ ต้องมีพรรค “ตัวแปร” สวิงไปข้างไหนก็ได้เป็นรัฐบาล นี่แหละคือ “ความหมาย” ที่ต้องการสื่อไปถึง
ดังนั้น ถ้าให้สรุปแบบรวบยอดจากคำทำนายของเนวินถึงแนวโน้มการเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะอีกมุมหนึ่งถือว่านี่คือการวิเคราะห์จากสถานการณ์จริงที่เป็นอยู่ แต่สิ่งที่เขาต้องการสื่อไปถึงทั้งสองขั้วก็คือ ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ชักใยอยู่ข้างหลังอภิสิทธิ์ หรือว่าทักษิณที่เป็นทุกสิ่งของยิ่งลักษณ์ ว่าไม่มีทางเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ต้องมี “ตัวแปร” ซึ่งขาดไม่ได้ และตัวแปรที่ว่านั้นก็คือพรรคขนาดกลางอย่าง “ภูมิใจไทย” ที่เซ็นเอ็มโอยูผนึกกับชาติไทยพัฒนาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นใคร เป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ หากพรรคเพื่อไทย ได้เป็นรัฐบาลนั้นถือว่าเป็นเรื่องรองลงมา เพราะยังมีเวลา และรอประเมินสถานการณ์และบรรยากาศหลังการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง และหากจำเป็นจริงๆ ก็อาจมีชื่อของนักปรองดอง อย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ โผล่มาหรือไม่ นาทีนี้ยังไม่สมควรกล่าวถึง!!