xs
xsm
sm
md
lg

อย่าสน “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” เพราะ ถ้า “เขา” มาก็ต้องเจอดี!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

แทบไม่น่าเชื่อว่ากระแส “โหวตโน” ที่ตอนแรกมีการพูดถึงกัน “หร็อมแหร็ม” ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คงไม่มีใครเอาด้วย และคงจะหลงไปกับกระแส “ยุบสภา” เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งตามที่ “คนมีอำนาจ” ในพรรคประชาธิปัตย์พยายามขีดเส้นให้เดิน และก็เช่นเดียวกันว่าจะมีการยุบสภาภายในวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคมนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ “คนชี้นำ” ในรัฐบาล คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกมาส่งสัญญาณปิดท้าย แทนนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้นับจากนี้ไปก็เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มขั้น

ตอนแรกมีการพูดถึงในวงจำกัดว่าทำไมต้องโหวตโน รวมไปถึงถกเถียงกันอยู่ว่าเหมือนกับ “โนโหวต” หรือไม่ หลายคนยังเข้าใจว่าการโหวตโนเป็นการสวนทางกับระบอบประชาธิปไตยหรือไม่

อย่างไรก็ดี การโหวตโนก็คือ การไม่เลือกใคร โดยกาในบัตรเลือกตั้งช่อง “ไม่เลือกใคร” เป็นการใช้สิทธิ์ที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ ไม่ผิดหลักการประชาธิปไตย มิหนำซ้ำยังเป็นการป้องกันการแอบอ้างให้พวกนักการเมือง “พันธุ์เลว” ทั้งหลายนำสิทธิ์อันชอบธรรมไปใช้ในทางที่ผิด

ดังนั้น นี่คือการใช้สิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางการเมืองขั้นสูงขึ้นไปอีก เพราะหากมีการโหวตแบบนี้จำนวนยิ่งมาก นั่นก็หมายความว่าชาวบ้านยิ่งพัฒนา เรียนรู้ความล้มเหลวจากเหตุการณ์ในอดีต

สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ หลังจากที่มีการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ เอ็มเอสเอ็น ประเทศไทย ที่มีความแพร่หลายมากที่สุด โดยใช้หัวข้อในการสอบถามว่า “ถ้าเลือกตั้งวันนี้คุณจะเลือกใคร” ผลปรากฏว่า ล่าสุด (11.36 น.เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม) คะแนน “โหวตโน” พุ่งสูง “ถึงร้อยละ 51” ส่วน “พรรคเพื่อไทย” ร้อยละ 28 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ร้อยละ 20

นั่นเป็นคำตอบที่สะท้อนที่ออกมาอย่างชัดเจนที่สุดว่าชาวบ้านต้องการแบบไหน รวมไปถึงได้เห็น “ประเด็นบางอย่าง”ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งหากพิจารณากันให้ละเอียดก็ต้องทำความเข้าใจกันที่ละเรื่อง อย่างแรกก็ต้องเริ่มจากเรื่องการโนโหวต หรือ “ไม่เลือกใคร” นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เข้าใจว่า “อาการรังเกียจ” นักการเมืองที่เสนอหน้าเข้ามาเป็นตัวแทนอำนาจ “อธิปไตย” ของปวงชนนั้นมันบกพร่องเพียงใด

เพราะไม่น่าเชื่อว่าตอนแรกที่เริ่มโหวตคะแนนยังห่างคะแนนโหวตพรรคการเมือง ทั้งพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ไม่กี่ชั่วโมง กระแสก็เริ่มไต่ขึ้นมา จนกระทั่งไม่เลือกใคร สูงขึ้นจนเกินร้อยละห้าสิบอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ดี ก็ต้องเห็นจริงตามนั้นเพราะไล่เรียงพิจารณาหน้าตา และปูมหลังของนักการเมือง และพรรคการเมืองที่เสนอหน้าเข้ามาล้วนแล้วแต่ชวนให้สะอิดสะเอียนจริงๆ ดังนั้น เมื่อรับไม่ได้กับคนพวกนี้ก็ต้องขัดขวางอย่าให้เข้ามาอีก พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดการปฏิรูปขนานใหญ่ เพราะถ้าในการเลือกตั้งจริงแล้วมีชาวบ้านไปกาในช่อง “ไม่เลือกใคร” สูงมากกว่าคะแนนเลือกพรรคการเมือง มันก็ย่อมทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดขาดความชอบธรรม ไม่สมควร “หน้าด้าน” เข้ามาใช้อำนาจรัฐอีกต่อไป

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากอารมณ์ความรู้สึกของบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายที่เสนอหน้าเข้ามาในคราวนี้ มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดกระแสต่อต้าน ต้องการทำทุกทางเพื่อให้ชาวบ้านเปลี่ยนกระแสโหวตโน หรือไม่เลือกใครให้ได้ โดยบางพรรคถึงกับใช้กระบวนการใส่ร้ายว่าการทำแบบนี้เหมือนกับพวกที่ทำร้ายประชาธิปไตย เหมือนกับไม่เคารพความเห็นของคนอื่น ซึ่งนักการเมืองพวกนี้มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง เหมารวมเอาเองว่า “การเลือกตั้งคือทุกสิ่ง” เพราะ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีความผิดในคดีทุจริตคอรัปชั่น เป็นคดีอาญาถูกศาลตัดสินจำคุก และมีอีกหลายคดีค้างคาอยู่ในศาล ก็คิดจะใช้การเลือกตั้ง “ฟอกความผิด” ให้กับตัวเอง หลอกลวงชาวบ้านว่าถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยของตัวเองเข้ามามากๆ นั่นคือฉันทานุมัติของเสียงส่วนใหญ่หมายความว่า “ตัวเองไม่ผิด” ถือเป็นตรรกะที่น่าเกลียดและเอาเปรียบอย่างที่สุด แต่เขาก็ยังเดินหน้าใช้วิธีการแบบนี้ เพราะเชื่อว่าวิธีการจะสามารถเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล แล้วนิรโทษกรรมลบล้างความผิดทั้งหมด

ถ้าออกมาแบบนี้นั่นคือใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการกลับเข้ามามีอำนาจและลบล้างความผิดอาญาที่เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุด รับรองว่าจะต้องเจอกับการต่อต้านครั้งใหญ่อีกครั้งแน่นอน เพราะคงไม่มีใครยอมให้มีการละเมิดอำนาจศาลอย่างที่มีการวางแผนกันไว้อย่างแน่นอน

“เมื่อหันมาทางฝั่งประชาธิปัตย์กันบ้าง นาทีนี้เมื่อพิจารณาจาผลโหวตที่ออกมาดังกล่าวข้างต้น มันก็สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาได้รับผลกระทบไปเต็มๆ โอกาสที่จะกลับแทบมีน้อยกว่าน้อย ดังนั้นในเมื่อสู้กันตรงๆ ไม่ได้ผลก็ต้องใช้วิชามาร ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยใช้วิธีการแบบนี้มาแล้วหลายครั้งสำหรับกำจัดคู่แข่ง คราวนี้ก็ยังใช้วาทะข่มขู่ เช่น “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ความหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ถ้าไม่เลือกมาร์คแล้ว แม้วกลับมาแน่” แต่ถ้าพิจารณาอีกด้านในเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วความเลวของรัฐบาลไม่ได้ต่างกัน บางครั้งหากมองบางคนยุคนี้ยังเลวร้ายมากกว่าเสียอีก”

ดังนั้นจะไปสนใจทำไม และถ้าเขาคนนั้นคือ ทักษิณ แล้วใช้วิธี “ฟอกตัว” ผ่านการเลือกตั้งจริงๆ มันก็คงต้องเจอกับแรงตอบโต้กันขนานใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาอย่างรู้ทันแบบนี้มันคงไม่มีความหมายอีกต่อไปอย่างแน่นอนเนื่องจากชาวบ้านได้ข้อสรุปในใจแล้วว่า ยุคมาร์ค กับแม้ว พอกัน และถึงเวลาแล้วที่ต้องสั่งสอนนักการเมืองห่วยแตกพวกนี้เสียที!!

กำลังโหลดความคิดเห็น