เชื่อว่านับจากนี้ไป ไม่ว่าทางพรรคเพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ จะพยายามกลบเกลื่อน จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม แต่รับรองว่า สังคมจะไม่มีทางเชื่อถือ โดยเฉพาะจำนวนคนไทยที่รวมอยู่ในผลสำรวจที่มีจำนวนถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร หรือ “ไม่บอก” ว่าจะเลือกใคร ตามที่มีการระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีการประเมินกันว่าบรรยากาศจะเริ่มตึงเครียด และหวาดระแวงมากขึ้นหาก ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
ถึงจะรู้ว่าการวิเคราะห์การเมืองของ เนวิน ชิดชอบ ผู้อุปถัมภ์รายสำคัญของพรรคภูมิใจไทยจะมี “วาระซ่อนเร้น” ปะปนอยู่ไม่น้อย แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนจริงอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าหาก ทักษิณ ชินวัตร ดันก้นน้องสาวของตัวเอง คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ก็จะเกิดความ “ปั่นป่วนวุ่นวาย” ขึ้นมาในบ้านเมืองทันที
เพราะภาพของ ยิ่งลักษณ์ ไม่ต่างจากภาพของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เป็น “หุ่นเชิด” หรือ “โคลนนิ่ง” ซึ่งความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกัน นั่นคือเป็นคนใช้อำนาจแทนทักษิณ ภาพของครอบครัวที่เข้ามาครอบครองประเทศ กลายเป็น “รัฐชินวัตร” ไปโดยปริยาย ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก แค่หลับตาก็มองออก
แม้นาทีนี้ตามโพลที่ออกมาล้วนตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ก็คงไม่ขาดลอยถล่มทลาย “ไม่ฟีเวอร์” เหมือนเดิม สรุปก็คือไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ต้องเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งการออกมาสวมบท “โหรปากห้อย” ของ เนวิน เที่ยวนี้ก็คือต้องการส่งสัญญาณให้เห็นว่า มันต้องมี “พรรคตัวแปร” ซึ่งเวลานี้ก็มีเพียงภูมิใจไทยกับชาติไทยพัฒนาเท่านั้น และที่ผ่านมาก็ได้ทำข้อตกลงร่วมงานทางการเมืองเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนจะ “หักหลัง” เอาตัวรอดหรือไม่ต้องคอยจับตาดูอีกทีหนึ่ง
เพราะสวิงไปข้างไหนฝ่ายนั้นก็ได้เป็นรัฐบาล แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่แพ้การเลือกตั้งได้ 160 เสียง แต่ถ้าพึ่งพาบริการของ ภูมิใจไทยกับชาติไทยพัฒนาก็ชนะได้เป็นรัฐบาล ซึ่งก็ต้องวงเล็บไว้ด้วยว่าสองพรรคตัวแปรดังกล่าวต้องมีตัวเลข ส.ส.รวมกันไม่ห่างจากเป้าหมายมากนัก เพราะถ้าผิดเพี้ยนไปจากนี้ก็ตัวใครตัวมัน
อย่างไรก็ดีหากมาพิจารณาเน้นเฉพาะบรรยากาศการเมืองนับจากนี้ไปต่อเนื่องจนถึงหลังเลือกตั้ง ในช่วงที่ต้องฟอร์มรัฐบาลใหม่ เชื่อว่าบรรยากาศจะต้องตึงเครียด และเพิ่มดีกรีมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหวาดระแวง ความกลัว และความเกลียด ผสมปนเปกันไป ซึ่งแน่นอนว่าคนพวกนี้อาจจะมีน้อยกว่าคนที่เลือกพรรคเพื่อไทย และยิ่งลักษณ์ เพราะกระจัดกระจายออกไปหลายส่วน ทั้งที่ออกมาในแบบประเภทที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จงใจทำให้บัตรเสีย รวมไปถึง “โหวตโน” ซึ่งรวมๆกันแล้วคนพวกนี้มีปริมาณมาก แต่ก็ทำให้การบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยสั่นสะเทือน และอาจล้มครืนลงได้ทุกเมื่อ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคพลังประชาชน
ย้อนกลับไปดูบรรยากาศที่เพิ่งผ่านไปไม่นานตัดตอนเอาเฉพาะยุคที่ สมัคร สุนทรเวช เป็น “หุ่นเชิด” เข้ามาเพื่อผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ “นิรโทษกรรม” รวมไปถึงการโยกย้ายข้าราชการเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด มันก็ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที ทั้งที่พรรคพลังประชาชนในตอนนั้นก็ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายทิ้งพรรคประชาธิปัตย์แบบไม่เห็นฝุ่น
ถัดมาเมื่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกส่งมารับช่วงต่อมา แต่กลายเป็นว่าบรรยากาศผิดเพี้ยนไปจากเดิม นั่นคือดุเดือดรุนแรงมากกว่าหลายเท่า เพราะสังคมเชื่อว่าสมชาย คือ “หุ่นเชิดสายตรง” ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำทุกอย่างเพื่อทักษิณ และครอบครัวชินวัตร เท่านั้น และกำลังจะ “ยึดประเทศ” นี้ไปเป็นของพวกเขา ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมของสังคมเมื่อสองสามปีก่อนมีความรู้สึกร่วมแบบนั้นจริงๆ แรงต่อต้านจึงผนึกกำลังกันโถมเข้าใส่อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งถูกบีบให้ล้มลงไปในที่สุด
มาจนถึงวันนี้บรรยากาศเก่าๆทำท่าจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ ทักษิณ ผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนเล็ก ให้ละทิ้งธุรกิจครอบครัวชั่วคราวเพื่อมาเป็นตัวแทนชิงอำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมืออีกครั้งให้ได้ ขณะเดียวกันภาพอีกด้านหนึ่งที่ติดตัว ยิ่งลักษณ์เข้ามาพร้อมกันก็คือ ภาพของตัวแทนครอบครัว เป็นการรับมอบภารกิจเร่งด่วนส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการ นิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิด และทวงเงินที่ถูกยึดไปจำนวน 46,000 ล้านบาทกลับคืนมา ส่วนเรื่องของชาวบ้านนั้นเป็นเรื่องรอง และถูกใช้บังหน้าเท่านั้น
เชื่อว่านับจากนี้ไป ไม่ว่าทางพรรคเพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ จะพยายามกลบเกลื่อน จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม แต่รับรองว่า สังคมจะไม่มีทางเชื่อถือ โดยเฉพาะจำนวนคนไทยที่รวมอยู่ในผลสำรวจที่มีจำนวนถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร หรือ “ไม่บอก” ว่าจะเลือกใคร ตามที่มีการระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีการประเมินกันว่าบรรยากาศจะเริ่มตึงเครียด และหวาดระแวงมากขึ้นหาก ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
ดังนั้นการที่ เนวิน ออกมาวิเคราะห์การเมืองในอนาคต ว่าหากให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเกิดความวุ่นวาย เกิดกระแสต่อต้านสูง หากไม่เปลี่ยนตัวใหม่ในนาทีสุดท้าย เป็นการทำนายที่มีวาระซ่อนเร้น หวังต่อรองในเรื่องของ “พรรคตัวแปร” โหนตัวเองเข้าสู่อำนาจ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้า ยิ่งลักษณ์ ขึ้นมานั่นก็ย่อมหมายความว่า ภาพของ ทักษิณ ซ้อนทับเข้ามาชัดเจนขึ้น ซึ่งมันก็ต้องป่วนแน่นอน !!
ถึงจะรู้ว่าการวิเคราะห์การเมืองของ เนวิน ชิดชอบ ผู้อุปถัมภ์รายสำคัญของพรรคภูมิใจไทยจะมี “วาระซ่อนเร้น” ปะปนอยู่ไม่น้อย แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนจริงอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าหาก ทักษิณ ชินวัตร ดันก้นน้องสาวของตัวเอง คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ก็จะเกิดความ “ปั่นป่วนวุ่นวาย” ขึ้นมาในบ้านเมืองทันที
เพราะภาพของ ยิ่งลักษณ์ ไม่ต่างจากภาพของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เป็น “หุ่นเชิด” หรือ “โคลนนิ่ง” ซึ่งความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกัน นั่นคือเป็นคนใช้อำนาจแทนทักษิณ ภาพของครอบครัวที่เข้ามาครอบครองประเทศ กลายเป็น “รัฐชินวัตร” ไปโดยปริยาย ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก แค่หลับตาก็มองออก
แม้นาทีนี้ตามโพลที่ออกมาล้วนตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ก็คงไม่ขาดลอยถล่มทลาย “ไม่ฟีเวอร์” เหมือนเดิม สรุปก็คือไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ต้องเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งการออกมาสวมบท “โหรปากห้อย” ของ เนวิน เที่ยวนี้ก็คือต้องการส่งสัญญาณให้เห็นว่า มันต้องมี “พรรคตัวแปร” ซึ่งเวลานี้ก็มีเพียงภูมิใจไทยกับชาติไทยพัฒนาเท่านั้น และที่ผ่านมาก็ได้ทำข้อตกลงร่วมงานทางการเมืองเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนจะ “หักหลัง” เอาตัวรอดหรือไม่ต้องคอยจับตาดูอีกทีหนึ่ง
เพราะสวิงไปข้างไหนฝ่ายนั้นก็ได้เป็นรัฐบาล แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่แพ้การเลือกตั้งได้ 160 เสียง แต่ถ้าพึ่งพาบริการของ ภูมิใจไทยกับชาติไทยพัฒนาก็ชนะได้เป็นรัฐบาล ซึ่งก็ต้องวงเล็บไว้ด้วยว่าสองพรรคตัวแปรดังกล่าวต้องมีตัวเลข ส.ส.รวมกันไม่ห่างจากเป้าหมายมากนัก เพราะถ้าผิดเพี้ยนไปจากนี้ก็ตัวใครตัวมัน
อย่างไรก็ดีหากมาพิจารณาเน้นเฉพาะบรรยากาศการเมืองนับจากนี้ไปต่อเนื่องจนถึงหลังเลือกตั้ง ในช่วงที่ต้องฟอร์มรัฐบาลใหม่ เชื่อว่าบรรยากาศจะต้องตึงเครียด และเพิ่มดีกรีมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหวาดระแวง ความกลัว และความเกลียด ผสมปนเปกันไป ซึ่งแน่นอนว่าคนพวกนี้อาจจะมีน้อยกว่าคนที่เลือกพรรคเพื่อไทย และยิ่งลักษณ์ เพราะกระจัดกระจายออกไปหลายส่วน ทั้งที่ออกมาในแบบประเภทที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จงใจทำให้บัตรเสีย รวมไปถึง “โหวตโน” ซึ่งรวมๆกันแล้วคนพวกนี้มีปริมาณมาก แต่ก็ทำให้การบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยสั่นสะเทือน และอาจล้มครืนลงได้ทุกเมื่อ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคพลังประชาชน
ย้อนกลับไปดูบรรยากาศที่เพิ่งผ่านไปไม่นานตัดตอนเอาเฉพาะยุคที่ สมัคร สุนทรเวช เป็น “หุ่นเชิด” เข้ามาเพื่อผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ “นิรโทษกรรม” รวมไปถึงการโยกย้ายข้าราชการเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด มันก็ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที ทั้งที่พรรคพลังประชาชนในตอนนั้นก็ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายทิ้งพรรคประชาธิปัตย์แบบไม่เห็นฝุ่น
ถัดมาเมื่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกส่งมารับช่วงต่อมา แต่กลายเป็นว่าบรรยากาศผิดเพี้ยนไปจากเดิม นั่นคือดุเดือดรุนแรงมากกว่าหลายเท่า เพราะสังคมเชื่อว่าสมชาย คือ “หุ่นเชิดสายตรง” ของ ทักษิณ ชินวัตร ทำทุกอย่างเพื่อทักษิณ และครอบครัวชินวัตร เท่านั้น และกำลังจะ “ยึดประเทศ” นี้ไปเป็นของพวกเขา ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมของสังคมเมื่อสองสามปีก่อนมีความรู้สึกร่วมแบบนั้นจริงๆ แรงต่อต้านจึงผนึกกำลังกันโถมเข้าใส่อย่างหนักหน่วง จนกระทั่งถูกบีบให้ล้มลงไปในที่สุด
มาจนถึงวันนี้บรรยากาศเก่าๆทำท่าจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ ทักษิณ ผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนเล็ก ให้ละทิ้งธุรกิจครอบครัวชั่วคราวเพื่อมาเป็นตัวแทนชิงอำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมืออีกครั้งให้ได้ ขณะเดียวกันภาพอีกด้านหนึ่งที่ติดตัว ยิ่งลักษณ์เข้ามาพร้อมกันก็คือ ภาพของตัวแทนครอบครัว เป็นการรับมอบภารกิจเร่งด่วนส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการ นิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิด และทวงเงินที่ถูกยึดไปจำนวน 46,000 ล้านบาทกลับคืนมา ส่วนเรื่องของชาวบ้านนั้นเป็นเรื่องรอง และถูกใช้บังหน้าเท่านั้น
เชื่อว่านับจากนี้ไป ไม่ว่าทางพรรคเพื่อไทย และ ยิ่งลักษณ์ จะพยายามกลบเกลื่อน จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม แต่รับรองว่า สังคมจะไม่มีทางเชื่อถือ โดยเฉพาะจำนวนคนไทยที่รวมอยู่ในผลสำรวจที่มีจำนวนถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร หรือ “ไม่บอก” ว่าจะเลือกใคร ตามที่มีการระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีการประเมินกันว่าบรรยากาศจะเริ่มตึงเครียด และหวาดระแวงมากขึ้นหาก ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
ดังนั้นการที่ เนวิน ออกมาวิเคราะห์การเมืองในอนาคต ว่าหากให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเกิดความวุ่นวาย เกิดกระแสต่อต้านสูง หากไม่เปลี่ยนตัวใหม่ในนาทีสุดท้าย เป็นการทำนายที่มีวาระซ่อนเร้น หวังต่อรองในเรื่องของ “พรรคตัวแปร” โหนตัวเองเข้าสู่อำนาจ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้า ยิ่งลักษณ์ ขึ้นมานั่นก็ย่อมหมายความว่า ภาพของ ทักษิณ ซ้อนทับเข้ามาชัดเจนขึ้น ซึ่งมันก็ต้องป่วนแน่นอน !!