“ไพโรจน์” ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ห้าว แจ้งความกลับโฆษกกองทัพบก กล่าวหากลั่นแกล้ง แจ้งความดำเนินคดีข่มขู่เจ้าหน้าที่ และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วย 315 อ้างแค่ไปตรวจสอบหลังแก๊งเสื้อแดงที่ซุกอยู่หมู่บ้านทรัพย์เจริญ กล้วถูกยัดยาบ้า “ปลอด” เย้ย “มาร์ค” ทำงานมา 2 ปี แก้ปัญหาไม่ได้ยังมีหน้ามาขอโอกาสเป็นรัฐบาล ส่วน “ไอ้เต้น” เหน็บ บันทึกจากใจอภิสิทธิ์ ผ่านเฟซบุ๊ก เป็น “บันทึุกลากไส้อภิสิทธิ์”
นายไพโรจน์ อิสรเสรีพงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 19 หนองจอก เปิดเผยถึงกรณีที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ระบุว่า เจ้าหน้าที่ 315 แจ้งความดำเนินคดีฐานข่มขู่เจ้าพนักงานและพกพาอาวุธระหว่างเข้าตรวจค้นยาเสพติดนั้น ยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริงตามที่เป็นข่าว เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยตนเองได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่า พบรถฮัมวี่ของทหารเข้ามาในหมู่บ้านทรัพย์เจริญ และกลุ่มคนเสื้อแดงในหมู่บ้านเกรงว่าจะถูกยัดข้อหา ตนจึงได้เข้าไปตรวจสอบ และพบว่า ทหารกลุ่มดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษหน่วยปราบปรามยาเสพติด 315 จึงขอดูเอกสารในการลงพื้นที่ แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงทำได้แค่ถ่ายเอกสารเก็บไว้ และเดินทางไปพบหัวหน้าชุดปฏิบัติ เนื่องจากเกรงว่าการเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวของทหารชุดนี้จะเป็นการทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง
แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวกลับปรากฏว่า ถูกโฆษกกองทัพบกแจ้งความดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าว ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงการไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อแจ้งข้อมูลว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อตรวจหายาเสพติดเท่านั้น
ทั้งนี้ นายไพโรจน์ ได้เรียกร้องให้กองทัพยุติการกระทำดังกล่าว เนื่องจากประชาชนเกิดความวิตกกังวล และส่งผลต่อคะแนนนิยมต่อตนเอง และพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง นายไพโรจน์ ยังระบุว่า ตนเองจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับโฆษกกองทัพบกทั้งทางแพ่ง และทางอาญารวมทั้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ด้วย
ด้าน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตมีนบุรี พรรคเพื่อไทย ระบุว่า หากโฆษกกองทัพบกมีหลักฐานจริงก็ให้แสดงออกมา เพราะเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้บัญชาการกองทัพบก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ กกต.ดำเนินการพิจารณาหนังสือที่เคยเรียกร้องให้ยกเลิกการส่งกำลังดังกล่าวลงพื้นที่ อย่าปล่อยให้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการลงพื้นที่หาเสียงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุกับประชาชนว่า จะขอโอกาสกลับมาบริหารประเทศ และหากได้เป็นรัฐบาลต่อจะสามารถทำงานได้ทันที ตนขอถามถึงการทำงานของนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า จะมีการหยุดการก่อการร้ายได้ทันทีหรือไม่ รวมถึงปัญหาการเสียชีวิต 91 ศพ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งวันนี้ยังไม่คืบหน้าถึงสาเหตุการเสียชีวิต และไม่สามารถจับผู้ที่กระทำผิดได้ ที่ทำให้ครอบครัวผู้ที่สูญเสียยังไม่ได้รับความยุติธรรมจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่
นอกจากนี้ ยังทวงถามถึงการแก้ปัญหายาเสพติด ที่พบว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้เพิกเฉยต่อการปราบปราม แต่เมื่อประกาศให้มีการเลือกตั้งกับส่งกองกำลังพิเศษจาก กอ.รมน.ชุด 315 เข้าสำรวจยาเสพติดแบบปูพรมไปทั่วทุกเขตการเลือกตั้ง ซึ่งผลก็ไม่ปรากฏถึงการจับกุมยาเสพติดได้แต่อย่างใด ซึ่งพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการปราบปรามเฉพาะการเลือกตั้งอย่างเดียวหรือไม่ ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยจึงอยากเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ตอบคำถามด้วยว่าหากได้กลับมาเป็นรัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามที่ระบุไว้ได้หรือไม่และปัญหาที่เคยสัญญาว่าจะแก้ไขจะมีความชัดเจนเมื่อใด
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวตอบโต้กรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำบันทึกจากใจอภิสิทธิ์ ผ่านทางเฟซบุ๊กที่ระบุว่า การเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่พร้อมขาดทุนทางการเมือง เพื่อให้ประเทศได้กำไรนั้น เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้กำไรจากความเสียหายของระบอบประชาธิปไตย เพราะได้แพ้การเลือกในครั้งที่ผ่านมา แต่มีอำนาจพิเศษเข้ามาช่วยเหลือให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนเรื่องการทุจริตคอรัปชันที่ผ่านมารัฐบาลได้รับชิดชอบด้วยการปลดรัฐมนตรีที่ดูแลในเรื่องนั้นๆ แต่ตนเห็นว่า หากรัฐบาลมีความจริงใจคงจะไม่มีการคอร์รัปชันมากเท่าขณะนี้ จึงขอเรียกบันทึกนี้ว่า “บันทึกลากไส้อภิสิทธิ์” ที่จะชี้ให้เห็นถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์มากขึ้น
ส่วนการยื่นหนังสือให้ดำเนินคดีให้การเท็จต่อศาล และ ก.ล.ต.กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสสแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.ตนเชื่อว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังต่อการกระทำดังกล่าว และอยากให้ประชาชนดูว่าพรรคใดจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม การตอบรับจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะขอเข้าพบในเวลาที่เหมาะสมนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ถือเป็นการทำหน้าที่ของผู้นำกองทัพที่สนับสนุนการพูดคุยกันระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง