xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ชำแหละ “มาร์ค” ยันจ้อเฟซบุ๊กเอาแต่ได้ ไร้น้ำยาบริหารประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“ปานเทพ” สับ “มาร์ค” หวังเรียกเรตติ้งสร้างคะแนนเพิ่ม โพสต์เฟซบุ๊กสร้างภาพเอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น ถามถนนไร้ฝุ่น รถเมล์เอ็นจีวี ย้ายสนามบิน ใช่พายเรือให้โจรนั่งหรือไม่ ซัดอย่าโอดครวญเป็นนายกฯ สร้างความปลอดภัยให้ ปชช.ไม่ได้ก็ไม่ควรเป็น เย้ยเอาให้แน่กฎเหล็ก 9 ข้อ หรือกฎเด็ก 9 ข้อ


วันที่ 6 มิ.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวโต้แย้งคำพูดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กในหัวข้อ “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ว่า เป็นแค่การพูดสร้างภาพ ปัดความรับปิดชอบเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด หวังเรียกร้องคะแนนสงสาร จากคนเสื้อแดง คนกลางๆ รวมถึงคนโหวตโนอาจลงคะแนนให้บ้าง

ทั้งนี้ย่อหน้าแรก นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “ยอมรับมีกระบวนการใช้เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมาย ล้างความผิดตัวเองและทำอะไรก็ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ เป็นเสียงข้างน้อยนั้น” นายปานเทพกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์กำลังบอกบ้านเมืองไม่ปกติ คงหมายความถึงขัดแย้งเพราะพันธมิตรฯ มาชุมนุม ที่พันธมิตรฯ มาชุมนุมเป็นเพราะการเมืองในสภาเป็นแบบพวกมากลากไป โดยที่นายอภิสิทธิ์ ก็ไร้น้ำยาแก้ไขอะไรไม่ได้ในระบบ ส่วนที่นายอภิสิทธิ์บอก “เป็นการสั่นคลอนความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นอย่างยิ่ง” นั้น ตนอยากถามว่า ถ้าพวกเราไม่ออกมาชุมนุมรัฐบาลทำอะไรได้บ้าง ในการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “พรรคประชาธิปัตย์สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ผมระมัดระวังที่จะแยกแยะบทบาทของพรรคการเมืองกับภาคประชาชนที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ผมไม่ไปขึ้นเวทีแต่ปกป้องสิทธิของพวกเขา เมื่อใดที่มีการทำผิดกฎหมาย เช่น การยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน หรือขัดขวางการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี ผมแสดงจุดยืนชัดเจนทุกครั้งว่า ผมไม่เห็นด้วย” นั้น นายอภิสิทธิ์อยู่ในสภาไม่สามารถปกป้องสิทธิของพันธมิตรได้ ปล่อยให้มีการยิงแก๊สน้ำตา ระเบิด M79 จนมีคนเจ็บตาย ที่พันธมิตรฯจำเป็นต้องปกป้องชีวิตตัวเอง เคลื่อนย้ายการชุมนุมไปสนามบิน เพราะฝ่ายค้านในสภาไร้น้ำยา ไม่สามารถคุ้มครองชีวิตทรัพย์สินของประชาชนได้ อีกอย่างช่วงชุมนุมในทำเนียบฯ มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาหลังเวทีเต็มไปหมด วันนี้ทำเป็นเกลียดพันธมิตรฯ แค่หวังสร้างภาพให้ตัวเองดูดีที่สุด เพื่อจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น เลือกเฉพาะประโยชน์ที่ได้จากพันธมิตรฯ อะไรที่เป็นโทษก็ปฎิเสธอย่างเดียวไม่เกี่ยว เอาตัวรอดขอให้ได้เข้าสู่อำนาจเป็นพอ

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “เมื่อสถานการณ์ลุกลาม การบริหารบ้านเมืองแทบเดินไม่ได้ ประเทศชาติเสียหายยับเยินขาดความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ” นั้น อยากถามว่า วันนี้ประเทศไทยภายใต้การบริหารของ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่เสียหายในสายตานานาชาติหรือ ปล่อยให้เผาบ้านเผาเมือง ใช้อาวุธสงครามใจกลางกรุง ล้มเวทีประชุมอาเซียน จาบจ้วงสถาบัน

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “ในช่วงวิกฤตนั้นผมในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นคนเสนอนายกสมัครกลางสภาให้แก้ปัญหาด้วยการยุบสภา ทั้งๆ ที่รู้ว่ายุบสภาในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้ง แต่ผมต้องการให้ประเทศมีทางออกตามระบบ ผมไม่เคยเสนอให้นายกสมัคร ลาออกจากตำแหน่ง เพราะนั่นเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม การลาออกจะกลายเป็นการยอมจำนนต่อการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวต่อการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคจะแพ้การเลือกตั้ง เพราะการแก้ปัญหาเพื่อชาติต้องอยู่เหนือประโยชน์ของพรรคตัวเอง” นั้น นายปานเทพกล่าวว่า ประเทศในตอนนั้นมีเลือกตั้งอยู่แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มีเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์พูดถึงจริยธรรมทางการเมือง ซึ่งนายกฯ ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก ทีกรณีคนเสื้อแดงเรียกร้องให้ลาออก ทำนายอภิสิทธิ์ไมไม่ลาออก ที่สำคัญตอนนี้นายอภิสิทธิ์ใช้คำว่ามวลชนกดดกัน ไม่อยากให้ทำตามมวลชนกดดัน ขณะที่ช่วงเป็นฝ่ายค้าน พูดว่า ประชาชนจะหนึ่งคนหรือแสนคน เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเอง.. ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนใหญ่เขาไม่รอให้กฎหมายจัดการ คนที่เป็นนักการเมืองต้องมีจริยธรมที่ต้องสูงกว่ากว่ากฎหมาย

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความตึงเครียดให้กับประเทศไทยมากขึ้น คดีของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการยุบพรรคเพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค ทุจริตเลือกตั้ง กกต.ให้ใบแดงนายยงยุทธ จากนั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษายืนให้ใบแดงกับนายยงยุทธ ซึ่งกติกาที่ทุกพรรคก็รับทราบมาตั้งแต่ต้น คือ หากผู้บริหารพรรคได้ใบแดงพรรคการเมืองนั้นต้องถูกยุบ ดังนั้นคดีนี้จึงชัดเจนอย่างยิ่งชนิดที่เรียกว่าปิดไว้ข้างฝาได้เลยว่า จะมีปัญหาแน่สำหรับรัฐบาลคุณสมัครกับคุณสมชาย แต่ผมไม่เคยคิดและไม่เคยดิ้นรนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจะเป็นโอกาสของผม” นั้น นายปานเทพกล่าวว่า คดีทุจริต และยุบพรรค ก็พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่หรือ ที่ยื่นหวังมีการยุบพรรคพลังประชาชนแล้วตัวเองจะได้เข้าสวมอำนาจแทน ตอนนั้นเขาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยากถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะมีน้ำยาอะไรไปยับยั้ง ถ้าไม่ใช่ภาคประชาชนอย่างพันธมิตรฯ

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “การจัดตั้งรัฐบาลที่วิจารณ์กันมากว่ายอมทุกอย่างให้คุณเนวินขี่คอได้กระทรวงหลักไปดูแล ความจริงก็คือ ในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุด คือ ใครเคยดูแลกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด หลักสำคัญคือพูดกันชัดเจนว่าเรามาแก้วิกฤตให้มันจบ ไม่เคยมีสัญญาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ตามที่คุณบรรหารกล่าวอ้าง และวันที่คุณเนวินคุยกับผมก็พูดเรื่องรัฐธรรมนูญผมพูดชัดสามเรื่อง คือ เรื่องไหนที่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคของรัฐธรรมนูญผมยินดีแก้ เพราะผมเป็นคนแรกที่พูดตอนการทำประชามติว่ารัฐธรรมนูญบางมาตราอาจต้องแก้ไข แต่เรื่องประเภทนิรโทษกรรมไม่เอานะ เพราะบ้านเมืองมันวุ่นมามากแล้ว และคุณเนวินก็บอกกับผมว่า เรื่องนิรโทษกรรมไม่ต้องพูดถึงเขาไม่สนใจเขาไม่เอา เขาขอเรื่องเขตเล็ก ผมก็บอกคุณเนวินว่า เรื่องเขตเล็กผมเป็นคนเสนอเขตใหญ่ เพราะฉะนั้นการปรับปรุงตรงนี้พักไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ พูดเหมือนกับว่า ไม่ได้ยอมนายเนวิน แต่สุดท้ายก็แก้ไขเขตเล็ก โชคดีที่ยุคนี้เป็นยุคอินเทอร์เน็ต ใครพูดอะไรถูกบันทึกไว้หมด เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าต้องทำประชามติ ทั้งก่อนและหลังการแก้ไข ตกลงเป็นเรื่องโกหกตอแหลตระบัตสัตว์ทั้งที่เป็นสิ่งที่ตัวพูด

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “เมื่อสภาให้โอกาสผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่อยู่ครบวาระ ถ้าคลี่คลายวิกฤติได้ก็จะยุบสภา เพราะตอนนั้นเกิดวิกฤติเศรษกิจโลกและวิกฤติการเมือง เรียกว่า เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติบนสถานการณ์ที่ประเทศชาติไม่อยู่ในภาวะปกติ มีคนบอกผมด้วยซ้ำว่า อย่าไปเป็นนายกรัฐมนตรีเลยเพราะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง และจะเปลืองตัว ความดีจะถูกทำลายโดยองค์ประกอบรอบข้าง เพราะต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่เคยอยู่กับพรรคพลังประชาชน ก็จะทำให้ผมได้รับแรงเสียดทานไปด้วยว่า “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และเดี๋ยวนี้ข้อหาพัฒนาไปไกลถึงขั้นหาว่า “ผมพายเรือให้โจรนั่ง” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า วันที่ 7ม.ค.2552 โครงการถนนไร้ฝุ่นเข้า ครม. ของบฯ 34,000 ล้าน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่เห็นด้วย แต่ 5 เดือนผ่านไปอนุมัติเรียบร้อย, วันที่ 11 มี.ค. 2552 ย้ายสนามบินดินเมืองไปสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ออกมาโต้แย้งอย่างรุนแรงไม่เห็นด้วยอย่ายิ่ง ผ่านไป 18 วัน ย้ายการบินไทยไปสุวรณณภูมิ, วันที่ 19 พ.ค.2552 รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน นายอภิสิทธิ์ก็ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง ในที่สุดครม.ก็เห็นชอบภายใน 4 เดือนหลังจากนั้น นี่ยังไม่นับ การต่อสัญญาช่อง 3 รถไฟสายสีม่วง อีกเยอะแยะ ดังนั้นจะพายเรือให้โจรนั่งหรือไม่ โจรไม่โจรอย่างไรประชาชนก็เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่คุณเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดผม ผมมองอย่างให้ความเป็นธรรมกับคุณเนวินว่า การตัดสินใจย้ายขั้วทิ้งคุณทักษิณ ที่คุณเนวินเรียกว่า “นาย” ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากไม่น้อย คำพูดที่คุณเนวินฝากไปถึงคุณทักษิณที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” ด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้าคงจะยังเป็นบาดแผลในใจคุณเนวินมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าคนจะมองคุณเนวินในภาพอย่างไร แต่ในวันนั้นผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า คุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ถ้าคิดในทางกลับกันผมไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับคุณเนวินและพรรคอื่นๆ เพียงเพราะกลัวเปลืองตัว ปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายเดินหน้าไม่ได้ ผมก็ลอยตัวไม่ต้องมาอยู่ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตก็ไม่ต้องเสี่ยงจากความรุนแรงที่เริ่มปรากฏให้เห็นในการแข่งขันทางการเมือง แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในฐานะนักการเมืองที่ต้องแก้ปัญหาให้ประชาชน” นายปานเทพกล่าวว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กอดนายเนวิน แต่จุดสำคัญอยู่ที่นายอภิสิทธิ์ ยืนหยัดในการหยุดยั้งปัญหาธุจริตคอร์รัปชั่นได้จริงหรือไม่ อยากถามนายอภิสิทธิ์ ว่า ประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาทุจริต จาบจ้วง ใช้ความรุนแรงที่วันนี้ยังไม่จบสิ้น ไม่ปฎิรูปประเทศ เขตแดนไทย-กัมพูชายังไม่จบ แต่ดันยุบสภาทิ้ง อย่างนี้เรียกว่าหนีปัญหาหรือไม่

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “วันนั้นผมอาจจะคิดผิดก็ได้เพราะผมคิดว่าถ้าเราซื่อสัตย์ทำงานด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่ทำตัวเป็นชนวนหรือเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามรับฟังทุกฝ่ายทุกสิ่งทุกอย่างจะเดินไปได้ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่วันแรกที่ผมชนะในสภาก็มีการใช้มวลชนเสื้อแดงพยายามทำร้าย ส.ส.ที่สนับสนุนผม แม้แต่ผมเองก็ยังต้องอาศัยรถตู้ของคุณเทพไท เสนพงศ์ ออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงการผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง ผมบอกกับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่า ชีวิตผมกำลังเปลี่ยนแปลงและอาจสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะมีชีวิตสั้นกว่าวัยอันควร เพราะมีคนใช้ความรุนแรงข่มขู่ทางการเมือง แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำหน้าที่เดินหน้าประเทศไทยเพื่อรักษาสัญญาที่ให้กับพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสผมเป็น ส.ส.คนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพมหานครว่า “ถ้ามีโอกาสผมจะสร้างรากฐานเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต” และผมก็ดำเนินการทันทีท่ามกลางวิกฤติซ้อนวิกฤติ ผมยังเดินหน้าสร้างระบบสวัสดิการให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นประชายั่งยืน และไม่ได้เสียสมาธิกับปัญหาทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า ความสุ่มเสียงไม่ได้เกิดขึ้นเพาะตัวนายอภิสิทธิ์ ที่จะต้องมาอ้อนวอนว่าน่าสงสารแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯต้องบอกได้ว่า การปล่อยให้อาเซียนถูกทำลาย ปล่อยให้ประชาชนถูกคุกคามตามท้องถนนเป็นเวลานาน ปล่อยให้มีการขนอาวุธยิงใส่ทหาร เผาบ้านเผาเมือง สุดท้ายจับุมได้แต่ไปประกันให้เขาออกมาสมัครลงเลือกตั้ง อย่างนี้แล้วชีวิตประชาชนอย่างพันธมิตรฯ ที่โดนระเบิด ไม่สำคัญเท่าชีวิตของพวกท่านหรือ นายอภิสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้ เพราะคนที่เป็นนายกต้องให้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนได้ ถ้าทำไม่ได้ควรลาออกไปเสีย

นายอภิสิทธิ์เขียนว่า “ผมยืนยันได้ครับว่า ตลอดการทำงานการเมืองเกือบ 20 ปี อุดมการณ์ในการเข้าสู่การเมืองเป็นอย่างไรไม่เคยเปลี่ยนแปลง และทุกการตัดสินใจล้วนแต่ยึดประโยชน์ประชาชนทั้งสิ้น ผมทราบว่าหลายคนได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อปั่นกระแสให้ไม่เชื่อมั่นในตัวผม แต่ผมหวังว่าความจริงที่ผมเล่าให้ฟังนี้ จะทำให้ประชาชนได้เห็นว่า ยังเชื่อมั่นผมได้เพราะผมไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์ และพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกับคนไทยเพื่อเดินหน้าประเทศต่อไป ผมมาทบทวนดูว่า การเข้าสู่ตำแหน่งและการดำรงตำแหน่งของผม ขัดกับหลักประชาธิปไตยไหม ผมว่ามันไม่ใช่ ผมได้รับการยืนยัน การสนับสนุนจากสภาตลอด 2 ปี แม้แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการชุมนุม จนเวลาผ่านไปเป็นปีถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียว คือ ผมเป็นนายกฯ ในระบบสภาคนแรกหลังปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้” นายปานเทพกล่าวว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ ยืนยันเรื่องเขตแดนที่สนามกีฬาญี่ปุ่น-ไทยดินแดน ว่าหากรักษาแผ่นดินไทยไม่ได้จะไม่อยู่ในประเทศ ในเรื่องปัญหาไทย -กัมพูชา ในตอนแรก นายอภิสิทธิ์ ไม่พูดถึงเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะช่วย นายวีระ และ นางสาวราตรี ตามลำดับอยู่แล้วไม่ต้องห่วง การช่วยของนายอภิสิทธิ์ช่วยให้เขาขออภัยโทษ แล้วไม่ช่วยเขาในท้ายที่สุดใช่หรือไม่

นายปานเทพกล่าวถึงกฎเหหล็ก 9 ข้อ กลายเป็นกฎเด็ก 9 ข้อ ดังนี้

ข้อ 1 ให้ ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติงานให้เกิดความเรียบร้อยและเกิดความสุขในหมู่ประชาชน ข้อนี้พรรคประชาธิปัตย์ทำได้หรือไม่ปรากฎชัดอยู่แล้ว พี่น้องตัดสินใจได้เลย

ข้อ 2 ให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด แต่ล่าสุด หอการค้าออกมาบอกว่า รัฐบาลชุดนี้โกงหนักที่สุด มากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว

ข้อ 3 นโยบายที่ ครม.อนุมัติถือเป็นเป้าหมายหรือทิศทางร่วมกันเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ แต่ภาพที่เห็น เป็นเอกภาพแบบพวกมากลากไป คนที่ประชาชนไว้วางใจน้อยที่สุด กลับได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในสภา

ข้อ 4 ในภาวะวิกฤตการทำงานของรัฐบาลต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นรัฐบาลที่แบ่งพรรค ข้อนี้ต้องไปถามพี่น้องชาวตรัง ในยามน้ำท่วมภาคใต้ คนใต้รู้สึกอย่างไรกับการช่วยเหลือของรัฐบาล ส่วนคำว่า “ประสิทธิภาพ” ตนนึกถึงทันทีไข่ไก่ชั่งกิโลขาย

ข้อ 5 รัฐมนตรีทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมสภาอย่างสม่ำเสมอ ต้องไปรับฟังความคิดเห็นของส.ส.และตอบกระทู้นั้น เข้าสม่ำเสอมแน่ ถ้าเป็นการอนุมัติงบแสนล้านวันเดียวก็ทำได้

ข้อ 6 ให้รัฐมนตรีทุกคนปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน พฤติกรรมใดๆ ซึ่งนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่น ขอให้ระวังเป็นพิเศษ ข้อนี้ จากโพลสำรวจบอกไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนของ ส.ส.-ส.ว. ปรากฏว่าก็ยังขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองอย่างหน้าตาเฉย

ข้อ 7 ในรัฐบาลที่เชื่อมั่นวิถีทางประชาธิปไตยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม สำหรับข้อนี้อยากถามว่า ที่ไปประชุมศาลโลก ไปประชุมอาเซียน ก่อนหน้าเคยให้ประชาชนมีส่วนร่วมไหม อยู่ดีๆไปมุ๊บมิบตกให้ประเทศอินโดนีเซียมาเป็นผู้สังเกตการณ์

ข้อ 8 รัฐบาลชุดนี้ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งในเชิงนโยบายและเรื่องอื่นๆ นั้น ทีเราจะตรวจสอบเรื่องมาตรการและนโยบายเรื่องไทย-กัมพูชา พวกเราไม่มีสิทธิออกฟรีทีวี แล้วไหนละพร้อมรับการตรวจสอบ

ข้อ 9 รัฐมนตรีทุกคนไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่นในแง่การปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ใช้ได้หรือไม่ พี่น้องน่าจะรู้ดี
กำลังโหลดความคิดเห็น