xs
xsm
sm
md
lg

ทิพยฯในมือ"เสือ" ประกันภัยที่คนไทยบอกต่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สมพร สืบถวิลกุล(เสือ) กับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน) ภารกิจสำคัญในการนำ"ทิพยประกันภัย"ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของธุรกิจการประกันภัย ด้วยแนวคิดสินไหมนำ และการทำธุรกิจเพื่อการค้า และสังคม ซึ่งเป็นคู่ขนานบนเป้าหมายเดียวกันที่ท้าทายและรอการพิสูจน์ในอนาคต...

คู่ขนานบนเป้าหมายเดียวกัน

สมพร บอกถึงการเข้ามาดูแลบริษัทประกันภัยแถวหน้าอย่างทิพยประกันภัยว่า หลังจากนี้การดำเนินธุรกิจของบริษัทจะต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ 1.คอมเมอร์เชียลอินชัวรันส์ หรือการทำธุรกิจประกันภัยโดยมุ่งหวังหรือคาดหวังที่จะสร้างผลกำไรทางธุรกิจ ซึ่งเป็นหลักธรรมดาทั่วไป 2.พลับบริคเซอร์วิสอินชัวรันส์ เป็นการประกันภัยเพื่อสังคมโดยไม่มุ่งหวังกำไร

ทำไมต้องทำเมื่อไม่มีกำไร?..

การประกันภัยเพื่อสังคมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาชนสร้างโอกาสในการมีความคุ้มครองให้กับสังคมส่วนใหญ่ เสมือนเป็นการสร้างโอกาสให้กับประชาชนทุกคนเข้าสู่ระบบประกันภัยได้ง่ายขึ้น ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่าจะทำไปเพื่ออะไร โดยความจริงแล้ว สมพร บอกว่า คนเหล่านี้เป็นฐานลูกค้าที่กว้างมากและยังไม่ได้รับการดูแล ซึ่งถ้าเราเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้เข้ามาสู่ระบบประกันภัยได้ในอนาคตเมื่อเขาต้องการประกันภัยที่สูงกว่าเขาก็จะหันมาหาเราและมาเป็นลูกค้าเราได้

"รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ผมเอามาจากประสบการณ์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เบี้ยประกันแค่ 300 บาทสำหรับจักรยานยนต์รวมกันมาเป็นหลายพันล้าน แล้วเมื่อเป็นแมสจริงๆ โอกาสที่จะบริหารให้เกิดความคุ้มค่าหรือคุ้มทุนมันมี คนเหล่านี้เมื่อต้องการซื้อประกันภัยที่สูงกว่าก็จะหันมาเป็นลูกค้ากับเราและนึกถึงเรา"

ส่วนที่ว่าบริษัทเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะขัดกันในเรื่องของการสร้างผลกำไรหรือไม่? ...คงจะไม่ขัดแย้งเพราะแนวทางดังกล่าวไม่ได้บริหารแบบขาดทุนแต่จะมีกำไรน้อย หรือไม่มีกำไรก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น การประกันภัยข้าวรัฐบาลมีนโยบายหรือมีแนวทางความคิดที่อยากจะทำประกันภัยข้าวให้กับชาวนาแต่ทุกวันนี้ธุระกิจประกันภัยไม่มีใครกล้ารับเพราะมองว่าทำไปก็ขาดทุนหรือทำไปแล้วก็เหนื่อยเปล่าๆ แต่ทิพยฯ อ้าแขนรับเลยเรายินที่จะคุ้มครองเท่าจากความสูญเสียจริงถึงแม้จะเท่าทุนก็ไม่เป็นไร

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยและไม่สามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้ ทั้งหาบเร่ แผงลอย มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วคนเหล่านี้มีชีวิตและทรัพย์สินที่ต้องการความคุ้มครองเช่นกัน ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะทำเป็นกรมธรรม์ขนาดย่อม(ไมโครอินชัวรันส์) ที่ครอบคลุมทั้งสุขภาพ อุบัติเหตุ รถยนต์ อัคคีภัยให้แก่กลุ่มคนเหล่านี้ด้วย

ประกันภัยที่คนไทยบอกต่อ

นอกจากการทำเพื่อสังคมแล้วการปรับภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันภัยเป็นโจทย์หนึ่งที่สำคัญ ซึ่ง สมพร บอกว่า ในอดีตที่ผ่านมาปัญหาของธุรกิจประเภทนี้คือคนส่วนใหญ่ยังมองธุรกิจประกันภัยเป็นภาพลบ ซึ่งการที่จะแก้ภาพลักษณ์ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ทำได้อยาก ฉนั้นสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ก็คือการฉายภาพลักษณ์ที่เป็นสิ่งดีๆ ของบริษัทให้สังคมได้เห็น และหลังจากนี้ทิพยฯเองมีแผนที่จะนำนโยบายสินไหมนำหน้ามาเป็นตัวแทนในการฉายภาพดังกล่าวสู่สายตาคนไทย

"คนโดยธรรมชาติประกันภัยมันเปรียบเสมือนถังดับเพลิงอะไรที่เราไปติดอยู่ที่บ้านตอนที่ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือไม่เกิดเพลิงไหม้เราจะไม่เห็นคุณค่าของมันเลยแต่พอมันมีอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ที่ไหนเนี้ยะเราก็จะมองหาถังดับเพลิงมันก็จะคล้ายๆกันหรือไม่ก็ยางอะไหล่ที่เราไปแขวนอยู่ท้ายรถคนก็ยังไม่เห็นคุณค่าของมันแต่เมื่อเกิดวินาศภัยเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายเกิดขึ้มมาถึงอยากจะได้รับความคุ้มครอง"

ซึ่งการใช้สินไหมนำในการสร้างภาพลักษณ์ที่ว่า ยกตัวอย่างเช่น กรณีน้ำท่วมที่ผ่านมาผู้ประสบภัยยังไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร แต่บริษัทได้ส่งทีมงานลงไปสำรวจความเสียหายเบื้อต้น เพราะบริษัทมีข้อมูลอยู่แล้วว่าบ้านหลังไหนรถคันไหนมีประกันกับบริษัท โดยเมื่อประเมินเสร็จบริษัทจะทำการจ่ายสินไหมให้ลูกค้าก่อนทันทีครึ่งหนึ่งแม้จะยังไม่ทราบมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงก็ตาม และสิ่งเหล่านี้เองจะทำให้ลูกค้าเข้าใจและมีการบอกต่อกันเท่ากับเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่เป็นจริงให้ได้ทราบว่าการประกันภัยจะคุ้มครองพวกเขาอย่างไรบ้าง เป็นประโยชน์อย่างไร

ทั้งหมดเป็นแนวคิดที่สร้างภาพลักษณ์และการับรู้ของคนไทยต่อการประกันภัยและทิพยฯ แต่การจะก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ เพราะผู้นำเองย่อมหาทางทิ้งห่างผู้ตามเช่นกัน

เบอร์หนึ่งธุรกิจประกัน

สมพร บอกว่า ธุรกิจประกันภัยในบ้านเรามีอนาคตที่สดใส ซึ่งภาพรวมธุรกิจประกันภัยปี2554 เป็นต้นไปมีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากธุรกิจประกันภัยต่างจากธุรกิจอื่้นๆ พอสมควรในคราวที่มีวิกฤตหรือเกิดภัยภิบัติใหญ่ๆ อย่างที่ญุี่ปุ่นและน้ำท่วมภาคใต้จะทำให้คนและเจ้าของทรัพย์สินมีความตระหนักในเรื่องของการประกันภัย และหันมาซื้อประกันภัยเพื่อปกป้องธุรกิจของตนเองมากขึ้น ขณะที่ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีจะเป็นปัจจัยหนุนให้กับธุรกิจประเภทนี้อีกทางหนึ่งด้วย

โดย 3 เดือนที่ผ่านมาทิพยฯ เองมีการเติบโตถึง 25% จากที่ตั้งเป้าไว้สิ้นปีโต 30-35% และนับเป็นสัญญาณดีที่จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งหลังจากนี้บริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก หลังจากที่ เดิมเป็นที่รู้จักแค่หน่วยราชาการและโครงการขนาดใหญ่ โดยจะมีกาสื่อสารกับประชาชนและสังคมมากขึ้น

ทั้งนี่้ การจะทำแบบนั้นได้บริษัทจำเป็นจะต้องเพิ่มจำนวตัวแทน ซึ่งตอนนี้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะเพิ่มให้ได้ถึง 2,000 รายกระจายทุกภูมิภาค โดยตัวแทน 20% จะเป็นตัวแทนที่จะเปิดสำนักงานตัวแทนของทิพยฯ ทั่วประเทศ จากเดิมที่มีเพียงแค่ 20 รายที่เปิดสำนักงานฯ จากตัวแทนประมาณ 300 ราย

"การมีตัวแทนนายหน้าน้อยทำให้สื่อให้เห็นว่าในอดีตเราไม่ได้เน้นลูกค้ารายย่อย ตอนนี้ทิพยมีความแข็งแกร่งในลูกค้ารายใหญ่ อยู่แล้วเรายังรักษาลูกค้าเหล่านี้อยู่แต่ในเวลาเดียวกันเราก็จะเปิดตลาดลูกค้ารายย่อยด้วย โดยเราจะเป็นทางออกของลูกค้ารายใหญ่ในขณะที่กลายเป็นทางเลือกของลูกค้ารายย่อยในการประกันภัย"

สมพร บอกอีกว่า แน่นอนว่าการเจาะตลาดลูกค้ารายย่อย และการขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจย่อมมีการแข่งข้น แต่แนวคิดในการแข่งขันของเขาดูจะแตกต่างไปจากคนอื่น เพราะเขายืนยันว่า"เขาจะไม่แย่งแชร์ลูกค้าเดิมที่มี แต่จะสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่มากกว่า"

"เราจะไม่ลงไปแย่งลูกค้ารายเดิมที่มีอยู่ในตลาด แต่แนวความคิดของเราคือการสสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ จริงๆ แล้วจำนวนคนไทยที่ทำประกันวินาศภัยที่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ถ้าเปรียบเทียบต่อกรมธรรม์ มีไม่ถึง 12% ถ้าเราแข่งกับ 12 % นั้นทุกคนก็เหนื่อยแต่แนวคิดเราคือไม่ได้ไปแย่งส่วนแบ่งตรงนั้น แต่เราจะสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่จาก 12% เป็น 20% เป็น 25% ซึ่งกลุ่มนั้นยังไม่มีใครเข้าไป ส่วนจะแซงที่ 1 อย่างวิริยะได้ไหมคงต้องบอกว่า เขาเป็นผู้นำที่แกร่งเรื่องประกันภัยรถยนต์เป็นหลัก แต่ทิพยฯจะไปขยายส่วนอื่นแทน เพราะกลุ่ม อัคคีภัย สุขภาพ เองยังขยายตัวอีกมากและผมเชื่อว่าเราทำได้เพราะถ้าเขาโตปีละ 10% แต่ผมจะโตเกือบ 2 เท่าทุกปีเพื่อที่จะแซงเขา"

เห็นถึงวิสัยทัศน์และภาพรวมในการบริหารงานของ"สมพร สืบถวิลกุล"กันไปแล้ว หลังจากนี้คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่า"ทิพยประกันภัยในมือ"เสือ"จะเป็นอย่างไร จะเป็นเสือติดปีหรือไม่?

ที่แน่ๆ รับรองไม่ธรรมดาเพราะคนๆ นี้บอกกับผู้เขียนเองว่า"อย่าหาว่าโม้ แต่วิธีจะแซงเบอร์ 1 ได้จริงๆ"
กำลังโหลดความคิดเห็น