ผู้ว่าการ ธปท.ชี้ เงินบาทอ่อนค่าช่วง 1-2 วันนี้ เกิดจากนักลงทุนขายหุ้นเพื่อทำกำไร เพื่อลดความเสี่ยงช่วงวันหยุดยาว ไม่ได้เกิดจาก ธปท. เข้าไปแทรกแซงตลาด ยันน้ำท่วมภาคใต้ไม่กระทบ “จีดพี” ส่วนวิกฤตนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ยังประเมินผลกระทบไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ยังไม่จบ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจากเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) พยายามมปรับอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับปกติ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมจึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทในสัปดาห์ก่อน ยังมีปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ราคาทองคำสูงที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก จึงมีการขายทองคำออกมาเก็งกำไร เพื่อให้ได้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และมาแลกเงินบาท ประกอบกับมีเงินลงทุนไหลเข้ามาในเอเชียในประเทศไทย จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับในช่วง 1-2 วันนี้ เงินบาทอ่อนได้ค่าลง เนื่องจากในสัปดาห์นี้มีวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ จึงทำให้นักลงทุนมีการเทขายทำกำไรในตลาดหุ้นเพื่อชะลอความเสี่ยง ไม่ได้มาจากการที่ ธปท.เข้าแทรกแซงแต่อย่างใด
โดยวานนี้ ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 30.00-30.06 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดของวัน โดยระหว่างวัน เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 30.07 บาทต่อดอลลาร์ และปิดตลาดที่ระดับ 30.12 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนเช้าวันนี้ เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 30.17-30.19 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าขึ้นมาจากเย็นวานนี้ ที่ปิดตลาดที่ระดับ 30.07-30.10 บาทต่อดอลลาร์ สำหรับทิศทางเงินบาทวันนี้ คาดว่า จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.10-30.20 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ผู้ว่าการ ธปท.ยอมรับว่า มีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนในระยะสั้น แต่ไม่กระทบอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยยืนยันว่า ธปท.ยังคาดการณ์อัตราการขยายตัวไว้ที่ร้อยละ 3-5 เพราะผลกระทบจากน้ำท่วมอยู่ในวงจำกัด แต่รัฐบาลควรหามาตรการวางแผนรองรับ เพราะสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นถึง 2 ปีซ้อน หากเกิดน้ำท่วมขึ้นทุกปี จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน
ส่วนการประเมินผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่นต่อเศรษฐกิจไทย ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ครบถ้วน เพราะเหตุการณ์ยังไม่ยุติ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และยังเกิดเหตุอาฟเตอร์ช็อก ตามมาอีกหลายครั้ง จึงทำให้ปริมาณการจ่ายไฟฟ้าไม่เต็มที่ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังถูกจำกัด แต่หากสถานการณ์โรงไฟฟ้าคลี่คลายคงจะมีการลงทุนเพื่อฟื้นฟูบ้านเรือนและเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยวันสุดท้าย ก่อนหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดัชนีปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,069.62 จุด ลดลง 6.71 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.62% มูลค่าการซื้อขาย 11,999.56 ล้านบาท โดยการปรับตัวลงวันนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค นักวิเคราะห์คาดว่าเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังดัชนีปรับตัวขึ้นแรงในช่วงหลายวันทำการที่ผ่านมา ประกอบกับเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ ทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอลงทุน และขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง ส่วนมูลค่าการซื้อขายก็เป็นไปอย่างเบาบาง
โดยวานนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 1,076.33 จุด ลดลง 6.36 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.59% มูลค่าการซื้อขาย 25,805.84 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิในตลาดต่อเนื่องอีก 715.71 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 751.94 ล้านบาท ด้านสถาบัน บัญชีบริษัหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 785.37 ล้านบาท และ 682.28 ล้านบาท ตามลำดับ
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดก่อนหยุดยาวช่วงสงกรานต์ที่ระดับ 1084.91 จุด เพิ่มขึ้น 8.58 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.80% มูลค่าการซื้อขาย 26,350.60 ล้านบาท โดยพบว่า นักลงทุนรายย่อยไล่ซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ดัชนีพลิกกลับไปอยู่ในแดนบวก ขณะที่นักลงทุนสถาบันและต่างชาติ เทขายรวมกว่า 3 พันล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยง และโยกเงินเข้าไปพักในตลาดตราสารหนี้เพื่อเก็นกำไรในตลาดการเงิน