xs
xsm
sm
md
lg

พธม.นัดเดินรณรงค์โหวตโนศุกร์นี้-ยื่นยูเนสโกขวางขึ้นทะเบียนพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พธม.เดินหน้ารณรงค์โหวตโน นัดปล่อยแถวดาวกระจายทั่วกรุงศุกร์นี้ ย้ำ ป้ายปล่อยสัตว์เข้าสภาถูกต้องตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง หากใครฝ่าฝืนปลด หรือทำลายป้ายมีความผิดทางอาญา ด้านโฆษก คกก.ปกป้องราชอาณาจักรไทย เตรียมเคลื่อนไหว ส่งสัญญาณให้ยูเนสโกทราบถึงจุดยืนของภาคประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และขอเพิกถอนออกจากบัญชีมรดกโลก 17 มิ.ย.ก่อนส่ง “เทพมนตรี” บุกเมืองน้ำหอม 19-29 มิ.ย.มอบหมาย “มาลีรัตน์” จัดแถวมวลชนหญิงทวงถามทหารอกสามศอกให้ทำหน้าที่


วันนี้ (6 มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ และ นางมาลีรัตน์ แก้วก่า เป็นต้น ซึ่งมีหัวข้อการประชุมว่าด้วยการรณรงค์โหวตโน และท่าทีต่อการพิจารณาอนุมัติแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารของคณะกรรมการมรดกโลก ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-29 มิ.ย.นี้ ที่ประเทศฝรั่งเศส

โดยภายหลังการประชุม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดย ร.ต.แซมดิน ได้กล่าวถึงกรณีที่มีความพยายามปลดและทุบทำลายป้ายรณรงค์โหวตโน ซึ่งพรรคเพื่อฟ้าดินจัดทำร่วมกับภาคประชาชน รวมไปถึงกรณีล่าสุดที่ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุว่า ป้ายดังกล่าวไม่เหมาะสม เพราะไม่ใช่ป้ายหาเสียงนั้น ว่า ขอยืนยันว่า ป้ายรณรงค์โหวตโนทั้งหมดเป็นของพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้รณรงค์หาเสียงให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้ง แต่กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือ โหวตโน โดยทุกป้ายมีตราสัญลักษณ์ของพรรคชัดเจน ซึ่งตามกฎหมายทางพรรคได้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งในแบบบัญชีรายชื่อ และระบบเขต จึงมีสิทธิ์ในการปักป้ายเช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดไว้ โดยก่อนหน้านี้ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ก็เคยออกมารับรองว่า มีสิทธิที่จะติดตั้งป้ายในลักษณะนี้

ร.ต.แซมดิน กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อฟ้าดินมีแนวนโยบายที่ชัดเจนในการรณรงค์ให้ประชาชนเลือกคนดีเข้าไปทำหน้าที่ในสภาอย่างเต็มที่ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หากในบางพื้นที่ไม่มีคนดีจริงๆ ประชาชนก็ควรที่จะออกมาใช้สิทธิ์แล้วลงคะแนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน เพื่อไม่ให้เสียสิทธิตามกฎหมายกำหนดไว้ โดยช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนนี้ก็มีระบุอยู่ในบัตรเลือกตั้งชัดเจน ดังนั้นการที่พรรครณรงค์ครั้งนี้จึงไม่ถือว่ามีความผิด เพราะหากกรณีนี้มีความผิดก็ต้องเป็นความผิดที่เกิดมาตั้งแต่ขั้นตอนของ กกต.ที่กำหนดให้มีช่องดังกล่าวในบัตรเลือกตั้ง

“หากใครปลดป้ายดังกล่าวจะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเต็มที่ เพราะเป็นการร่วมรณรงค์โหวตโน ถือเป็นการหาเสียงตามวิถีทางของพรรค ผู้ใดขัดขวางจึงถือว่าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย” ร.ต.แซมดิน กล่าว

ร.ต.แซมดิน ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่าหญิงที่สวมเสื้อแดงที่ไปชูป้าย “ไร้ฝีมือ ข้าวยากหมากแพง” ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลงพื้นที่หาเสียง บริเวณตลาดวงศกร ย่านสายไหม เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการจัดฉากให้มีทีท่าอ่อนลงหลังจากนายอภิสิทธิ์ พูดคุยด้วยนั้นเป็นคนของสันติอโศก เพราะเคยนิมนต์นักบวชของสันติอโศกไปเทศน์ที่บ้าน ว่า คงไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปตรวจสอบว่าเป็นคนสันติอโศกปรือไม่ เนื่องจากเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่น่าจะเป็นเพียงเกมการเมืองของ 2 พรรคการเมืองใหญ่มากกว่า ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นคนสีใดก็สามารถนิมนต์นักบวชในสันติอโศกไปเทศน์ได้ โดยไม่แบ่งแยก

ขณะที่ นายปานเทพ กล่าวเสริมว่า ล่าสุด มีขบวนการในการกลั่นแกล้ง ทุบทำลาย และพ่นสีบนป้ายโหวตโน เพื่อไม่ต้องการให้สามารถสื่อสารไปถึงประชาชนได้ ทั้งยังมีการใช้เจ้าหน้าที่รัฐในการข่มขู่ไม่ให้ติดตั้งป้ายดังกล่าว รวมไปถึงท่าทีของ พล.ต.ต.ประวุฒิ ที่เป็นการบิดพลิ้วคำพูดให้สังคมเข้าใจว่าป้ายดังกล่าวเป็นของพันธมิตรฯ และยังเตรียมให้เจ้าหน้าที่ไปปลดอีกด้วย โดยตนขอยืนยันว่าป้ายโหวตโนนี้ติดตั้งในนามพรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นป้ายหาเสียง ไม่มีใครสามารถปลดได้ หากใครปลดทางพรรคเพื่อฟ้าดินก็จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ไม่มีการยอมความแน่นอน เพราะเป็นการกระทำผิดทั้งประมวลกฎหมายอาญา ลักทรัพย์ และผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งอีกด้วย ทั้งนี้จากการตรวจสอบก็พบว่าป้ายของพรรคการเมืองอื่นๆก็ไม่ได้มีรูปผู้สมัครอยู่ด้วย แต่ก็ไม่เห็นมีผู้ใดออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หรือชี้ว่ามีความผิดแต่อย่างใด ดังนั้นการใช้ภาพอะไรในป้ายหาเสียงก็เป็นสิทธิ์ของพรรคนั้นๆ ส่วนกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ไปยื่นร้องเรียนว่าป้ายโหวตโนไม่เหมาะสมนั้น ก็ขอยืนยันอีกครั้งว่า หากผู้ใดได้รับความเดือดร้อน กรุณาระบุว่าสัตว์ตัวไหนทำให้เดือดร้อน เพราะที่ผ่านมามีเพียงแต่การวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม แต่ไม่เห็นมีใครกล้าระบุให้ชัดเจน เพื่อที่ทางเราจะได้ปรับเปลี่ยนภาพหรือข้อความให้ถูกต้องด้วย

นายปานเทพ ยังกล่าวอีกว่า เมื่อมีขบวนการที่พยายามขัดขวางไม่ให้ภาคประชาชน และพันธมิตรฯสามารถรณรงค์โหวตโนได้อย่างเต็มที่ ทางคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร และแกนนำพันธมิตรฯจึงได้มีการประชุมและได้ข้อสรุปว่า จะเริ่มกระบวนการส่งมวลชนเข้าไปในพื้นที่ต่างๆเพื่อรณรงค์หาเสียงให้โหวตโน โดยจะเริ่มครั้งแรกในวันที่ 10 มิ.ย.ระหว่างเวลา 11.00-12.00 น.ที่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวมลุมพินี และเดินเป็นขบวนไปตาม ถ.สีลม สิ้นสุดที่ ถ.เจริญกรุง ต่อมาวันที่ 11 มิ.ย.จะเริ่มที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปตาม ถ.พหลโยธิน สิ้นสุดที่สวนจตุจักร ในวันที่ 12 มิ.ย.ระหว่างเวลา 13.00-14.00 น.เริ่มจากหอศิลป์ กทม.แยกปทุมวัน ไปที่สยาม แยกราชประสงค์ และประตูน้ำ อย่างไรก็ตามในการดาวกระจายครั้งนี้ จะไม่มีการปิดช่องจราจร แต่อาจจะใช้พื้นผิวจราจร 1-2 ช่องทางในการเดินขบวน และใช้เวลาสั้นๆ ก่อนสลายตัว

โฆษกพันธมิตรฯ เปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ 17 มิ.ย.เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปยื่นหนังสือที่สำนักงานยูเนสโกประจำประเทศไทย ที่ย่านเอกมัย ถ.สุขุมวิท พร้อมทั้งเจรจาส่งสัญญาณให้ทางยูเนสโกทราบถึงจุดยืนของภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และขอเพิกถอนออกจากบัญชีมรดกโลก รวมถึงพิจารณาแผนบริหารจัดการที่จะเดินหน้าออกไปด้วย หลังจากนั้นคณะของเราก็จะเดินรณรงค์โหวตโน ไปตาม ถ.สุขุมวิทสิ้นสุดที่แยกราชประสงค์ก่อนที่จะสลายตัว

“เราจะเริ่มดำเนินกิจกรรมเช่นนี้ตลอดช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากภาครัฐมีขัดขวางการติดป้ายรณรงค์โหวตโนของพรรคเพื่อฟ้าดิน และหาทางกลั่นแกล้งข่มขู่ตลอดเวลา เราจึงต้องใช้สิทธิในการดาวกระจายออกจากพื้นที่การชุมนุมเป็นครั้งแรก โดยในพื้นที่ชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯก็ยังดำเนินกิจกรรมไปตามปกติ” นายปานเทพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงว่า จะมีกลุ่มต่อต้านหรือขัดขวางการดำเนินกิจกรรมดาวกระจายในครั้งนี้หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า การดำเนินการของเราถือเป็นสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนสามารถทำได้ โดยครั้งนี้ยังถือเป็นการรณงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ให้กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ที่ กกต.ระบุอยู่ที่มุมล่างขวาสุดในบัตรเลือกตั้ง จึงคาดว่าคงไม่มีผู้ใดมาขัดขวางได้ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวคาดว่าป้ายรณรงค์ชุดที่ 2 จะออกมาพอดี ซึ่งจะมีเนื้อหาที่ร้อนแรงกว่าป้ายชุดที่ 1 อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นอย่างไรขอให้ติดตาม

เมื่อถามถึงข้อเขียนของ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ที่ไม่เห็นด้วยกับการรณรงค์โหวตโน และระบุว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น เพราะการรณรงค์ไม่เลือกใคร ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ผู้ใด อยากให้นายกนกย้อนไปดูการเลือกตั้งเมื่อปี 50 วันนั้นพันธมิตรฯร่วมกันลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ปรากฏว่า แพ้ให้กับพรรคในระบอบทักษิณอยู่ดี โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีกว่าที่เป็นรัฐบาล กลับมีพฤติกรรมที่ทำให้ระบอบทักษิณดูดีขึ้น โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นอย่างมโหฬาร มาถึงวันนี้ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรณรงค์อย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้ ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ยอมจำนนต่อระบบรัฐสภาที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติได้ จึงจำเป็นต้องออกมาร่วมกันสร้างอำนาจต่อรองนอกรัฐสภา เพื่อต่อรองกับฝ่ายการเมืองในอนาคต ซึ่งหากมีคะแนนโหวตโนมาก ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีการชุมนุมอีกต่อไป โดยในอนาคตอาจจะเป็นเพียงการยื่นหนังสือก็ทำให้ฝ่ายการเมืองต้องยอมทำตามภาคประชาชนแล้ว

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า เจตนารมณ์ของเรานั้นไม่ต้องการให้คะแนนเสียงตกไปเป็นของการเมืองที่ล้มเหลว โดยไม่สนับสนุนขั้วใดขั้วหนึ่ง เพราะพรรคหนึ่งก็จะนิรโทษกรรม ส่วนอีกพรรคก็บริหารประเทศอ่อนแอปล่อยให้มีการเผาบ้านเผาเมือง ไม่ปกป้องอธิปไตย ประชาชนจึงต้องมีการประท้วงโดยสันติวิธีในการโหวตโน ซึ่งไม่เพียงแต่ตัดคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น เพราะในส่วนของคนเสื้อแดงที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมหลายๆอย่างก็เตรียมที่จะโหวตโนกับเราด้วย

ด้าน นายประพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา กกต.ไม่เคยมีคำวินิจฉัยใดๆว่า ป้ายโหวตโนของพรรคเพื่อฟ้าดินและภาคประชาชนที่ติดตั้งอยู่ที่ต่างๆ ว่า มีความผิดหรือขัดต่อกฎหมายแต่ประการใด รวมไปถึงคัทเอาท์ที่ติดตั้งอยู่หลังเวทีการชุมนุมด้วย ดังนั้นความเห็นของฝ่ายตำรวจในขณะนี้จึงถือว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว หรือพรรคการเมืองบางพรรคที่มีสิทธิไปร้องเรียนว่าการกระทำนี้ไม่ถูกต้องหรือทำให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อน แต่ไม่มีสิทธิที่จะไปรื้อถอนหรือทำลายป้ายจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของ กกต. เพราะในเวลาที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งนั้น การกระทำใดๆอันจะเป็นความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เป็นอำนาจและดุลยพินิจของ กกต.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ขอเตรียมไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า หารกระทำข่มขู่คุกคามใดๆอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้น มีความสุ่มเสี่ยงในการกระทำผิดตามกฎหมาย แม้กระทั่งบางป้ายที่ไม่ใช่ของพรรคเพื่อฟ้าดินก็ไม่มีความผิด เพราะถือเป็นเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ ยังได้กล่าวฝากไปถึงนายกนก รัตน์วงศ์สกุล ด้วยว่า ควรเลิกการเป็นสื่อมวลชนแล้วออกมาทำหน้าที่เป็นหัวคะแนนให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัวดีกว่าพร้อมระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการได้กำหนดการเคลื่อนไหวเพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของการชุมนุม ในการคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลก รวมทั้งการเรียกร้องให้ประเทศไทยถอนตัวออกจากอนุสัญญาภาคีมรดกโลก โดยที่จะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในระหว่างวันที่ 19 - 29 มิ.ย.นี้ที่ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนในนามภาคประชาชนจะมีการเคลื่อนไหวใน 3 ประการ คือ 1. คณะกรรมการฯและภาคประชาชนจะเดินทางไปยื่นหนังสือที่สำนักงานยูเนสโก ถ.สุขุมวิท ในวันที่ 17 มิ.ย.เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของชาวไทยว่า เราไม่เห็นด้วยกับการที่ยูเนสโกเป็นผู้สนับสนุนการขึ้นทะเบีรยนมรดกโลกของกัมพูชา เพราะได้นำมาซึ่งปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งยังมีผลกระทบต่อเอกราชและอธิปไตยของประเทศ การสนับสนุนของยูเนสโกสร้างความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างมาก จึงขอให้ยูเนสโกถอนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารออกไป ไม่ใช่เพียงแค่เลื่อนเท่านั้น

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า 2.คณะกรรมการจะมอบหมายให้ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม ในฐานะตัวแทนคณะกรรมการฯและประชาชนไทยเดินทางไปที่ประเทศฝรั่งเศส ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่จะถึงนี้ เพื่อไปยืนยันเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทยในเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการมรดกโลก รวมทั้งเรียกร้องกดดันให้ตัวแทนของประเทศไทยทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่ โดยจะมีกานำหนังสือที่แปลเป็นภาษาต่างๆไปยื่นแก่คณะกรรมการมรดกโลกด้วย ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการเดินทางจะใช้เงินจากนกองทุนทวงคืนเขาพระวิหาร ไม่รบกวนภาคราชการ

โฆษกคณะกรรมการ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของแนวทางที่ 3 นั้น จะเป็นการติดตามทวงถามการทำหน้าที่ของกองทัพ ในการผลักดันทหารและชุมชนกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย หลังจากที่คณะกรรมการฯได้ยื่นหนังสือไปยังผู้นำเหล่าทัพต่างๆ แต่กลับไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด จึงมอบหมายให้ภาคประชาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นสุภาพสตรีทั้งหมดนำโดย นางมาลีรัตน์ แก้วก่า แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 ประสานงานเพื่อเดินทางไปทวงถามที่กองบัญชาการกองทัพบก (ทบ.) โดยกำหนดการจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง



กำลังโหลดความคิดเห็น