“พิชาย” ซัด “กนก รัตน์ฯ” เหน็บแนมโหวตโน เพราะยังติดในความคิดเก่า แจง “5 เพราะ” และ “5 เพื่อ” กาไม่เลือกใครเพื่อเป็นกุญแจสู่ปฏิรูปการเมือง ซัดพวกกล่าวหาโหวตโนเป็นแนวร่วมทักษิณ คือ พวก ปชป.ที่หวังพึ่งพันธมิตรฯ แนะอยากได้คะแนนไปหาเอาเอง อย่าเอาความกลัวทักษิณมาขู่ ด้าน “ปานเทพ” ซัดกล่าวหารับเงิน “แม้ว” ไม่แฟร์ ถ้า “เนชั่น” ทำข่าวก็จะรู้ว่าเงินประชาชนบริจาค ถามกลับ จะยอมจำนนปล่อยสัตว์เข้าสภาหรือ
วันนี้ (4 มิ.ย.) นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในช่วงการเสวนา “ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน” ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กรณีที่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการโทรทัศน์เครือเนชั่น ได้เขียน
บทความในเฟซบุ๊ก เหน็บแนมการรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า แสดงว่านายกนกยังอยู่ในวิธีคิดหรือกระบวนทัศน์เก่า ไม่สามารถก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิมๆ ได้ การที่เราโหวตโนนั้น เรามี “5 เพราะ” และ “5 เพื่อ” นั่นคือเรามีสาเหตุที่ทำให้ต้องโหวตโน 5 สาเหตุ และมีวัตถุประสงค์ในการโหวตโน 5 ข้อ ไม่ใช่โหวตโนแล้วเอาไปทิ้งน้ำ
นายพิชาย กล่าวต่อว่า 5 สาเหตุที่เราโหวตโน เพราะ 1.ระบบการเมืองไทยปัจจุบันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เป็นระบบที่ไม่สามารถกีดกันคนเลวไม่ให้เข้าสู่สภาและมีอำนาจได้ และไม่สามารถป้องกันคนเลวในสภาไม่ให้ไปโกงกินและฉ้อฉลได้ 2.นักการเมืองและพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามาให้เราเลือกประมาณร้อยละ 80-90 หรือบางคนอาจบอกว่าร้อยละ 99 เป็นนักการเมืองที่ไร้ปัญญาและฉ้อฉลอย่างสิ้นเชิง เป็นนักการเมืองที่ดูถูกประชาชนอย่างร้ายกาจ และไม่มีคนใดพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าจะสร้างชาติหรือทำตัวเป็นรัฐบุรุษนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรืองปราศจากคอร์รัปชั่นได้ มีแต่โกหกตอแหลทั้งสิ้น
3.เราจะไม่สร้างความชอบธรรมให้นักการเมืองพวกนี้อีกต่อไป ถ้าเราไปโหวตให้เราก็ไปสร้างความชอบธรรมให้ระบบที่เลวให้อยู่ต่อไป หรือให้นักการเมืองเลวนั่งชูคอต่อไป 4.ประชาชนที่โหวตโนจะสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ทางการเมือง มีวิธีคิดใหม่ที่จะไม่ให้นักการเมืองมาครอบงำเราอีกต่อไป เป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อใหม่ ใครที่ตามไม่ทันแปลว่าตกอยู่ในกระบวนทัศน์เดิม งมงายกับนักการเมืองชั่วแบบเดิม และ
5.เราเป็นพลเมืองที่ตื่นแล้ว ไม่ตกอยู่ในมายาภาพของนักการเมืองที่พูดไปวันๆ สร้างภาพไปวันๆ อย่างนักการเมืองไทยขณะนี้ และล่าสุด มีบางคนเสนอตัวเป็นตัวเลือก คนหนึ่งบอกว่าจะต่อต้านคอร์รัปชั่น ทั้งที่ในอดีตเคยทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบาดคาดสินบนทั้งนั้น และไม่มีประวัติต่อต้านคอร์รัปชั่นมาก่อน ใครเลือกคนคนนี้ก็สิ้นคิด
นายพิชาย กล่าวต่อว่า ที่บางคนวิเคราะห์ว่าการโหวตโนจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้พันธมิตรฯ นั้น เป็นการวิเคราะห์ที่เลยเถิด เพราะภาคประชาชนยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยปริมาณ แต่ยิ่งใหญ่ด้วยปัญญาและเหตุผลที่จะต่อสู้ เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์ 5 ข้อที่เราจะโหวตโนคือ 1.เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของเราว่าต้องการให้โหวตโนเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของของชาติ แก้ปัญหาการเมือง การโหวตโนนั้นเราได้ใส่เจตจำนงทางการเมืองเข้าไปเต็มเปี่ยม ไม่ใช่โหวตโนเฉยๆ
2.เราขยายความคิดเรื่องโหวตโนเพื่อทำให้พลังของภาคประชาชนมีมากขึ้น แล้วเราเอาพลังนั้นมาตรวจสอบถ่วงดุลนักการเมือง ซึ่งปัจจุบันการเมืองมี 3 ขั้วหลัก คือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และภาคประชาชน เราต้องเลือกขั้วภาคประชาชนเพื่อให้ประชาชนเข้มแข็ง 3.เราโหวตโนเพื่อเป็นกุญแจเปิดประตูไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างทรงพลัง และมีรากฐานจากประชานที่มีเจตจำนงทางการเมืองอย่างเปี่ยมล้น เพราะรัฐสภาไม่สามารถสร้างความหวังให้เราได้ว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองหรือขจัดคอร์รัปชั่น ส่วนการรัฐประหารเราก็ไม่เอาอีกต่อไป เราจะใช้พลังของประชาชนเป็นกุญแจที่ทรงคุณค่าทรงพลัง
4.หลังเลือกตั้งเราจะเชิญตัวแทนประชาชนทุกกลุ่มมาสร้างสถาปัตยกรรมทางการเมืองใหม่ จัดสรรอำนาจในสังคมเสียใหม่ สร้างระบบการเมืองที่มีธรรมาภิบาล ให้อำนาจทางการเมืองกระจายไปอยู่กับทุกกลุ่ม แทนที่จะอยู่กับการเมืองและนายทุนพรรคเท่านั้น และ 5.เราจะโหวตโนเพื่อไม่ให้นักการเมืองหยิ่งผยองอีกต่อไป หรือเรียกว่าโหวตโนเพื่อตีคางคก ให้มันสำนึกว่าประชาชนไม่ใช่บันไดไปสู่อำนาจ ไม่ใช่บันไดไปสู่การใช้อำนาจฉ้อฉลอีกต่อไป
นายพิชาย กล่าวต่อว่า คนที่ไม่เข้าใจโหวตโนนั้น บางคนแกล้งไม่เข้าใจ เพราะมีผลประโยชน์กับการเมืองปัจจุบัน อยากจะถามว่า ยังทนอยู่กับการเมืองที่สกปรกอยู่ได้อย่างไร เมื่อไหร่จะปลดแอกจากการเมืองเหล่านี้เสียที นักการเมืองที่กำลังเสนอตัวลงเลือกตั้งอยู่ขณะนี้คิดแต่นโยบายที่ไร้ปัญญา ดูถูกประชาชน เมื่อดูนโยบายทุกพรรคที่ใช้หาเสียงอยู่ขณะนี้ สามารถสรุปออกมาได้ 4 อย่าง คือ “แจกขนมหวาน สร้างปราสาททราย ทำลายนิติรัฐ และกำจัดคู่แข่งทางการเมือง”
“แจกขนมวาน” คือ การใช้นโยบายประชานิยม เพราะสิ้นคิด ไร้ความสามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้งแล้วคิดนโยบายออกมาแก้ จึงคิดออกอย่างเดียวคือแจกขนม คิดอะไรซับซ้อนไม่เป็น “สร้างปราสาททราย” ก็คือทำเมกะโปรเจกต์วาดวิมานในอกาศ เป็นช่องทางทำมาหากินกับงบประมาณและสร้างหนี้สินให้ประเทศ “ทำลายนิติรัฐ”คือออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับพรรคพวกตัวเอง ซึ่งไม่มีนักการเมืองในประเทศประชาธิปไตยทำกัน มีแต่คณะรัฐประหารเท่านั้นที่ออกกฎหมายนิรโทษให้ตัวเอง และ “กำจัดคู่แข่งทางการเมือง” คือการปราบปรามยาเสพติดในอดีตที่ฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องไป 2 พันกว่าคน หลายคนเป็นหัวคะแนนพรรคคู่แข่ง เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าตั้งกองกำลังปราบยาเสพติด ส่วนพรรคเพื่อไทยจะทำสงครามยาเสพติดอีกครั้ง ซึ่งน่ากลัวว่าจะมีคนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่ออีก
นายพิชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า คนที่พูดว่าโหวตโนเป็นแนวร่วมของทักษิณนั้นขอให้เข้าใจว่าคนที่พูดแบบนี้เป็นพวกประชาธิปัตย์ เพราะเขาอยากให้พวกเราโหวตให้ประชาธิปัตย์จึงพูดแบบนั้น อยากจะบอกว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์อยากได้คะแนนให้ไปหาเอาเอง อย่าเอาความกลัวทักษิณมาหากิน ให้เอาฝีมือตัวเองไปหากินดีกว่า และขอให้พวกเราอย่าเอาคะแนนไปทิ้งลงน้ำเน่าให้พวกที่ดีแต่พูด ให้พวกฉวยโอกาสทางการเมือง ไม่โหวตให้ใครทั้งสิ้น เราต้องโหวตโนเท่านั้น
ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวตอบโต้กรณีบทความของ กนก รัตน์วงศ์สกุล ในเฟซบุ๊ก ว่า ในฐานะคนทำสื่อด้วยกันขอนำบทความของคุณกนก มาแลกเปลี่ยนทัศนะ ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดไม่ได้เป็นศัตรูกัน ซึ่งคุณกนกเริ่มจากว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเขียนมาบอกว่าจะทำอย่างไรในภาวะที่บ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเผาไทยกำลังได้ใจ พวกโหวตโนก็สำคัญตัวผิด คุณกนก บอกว่า เธอชอบมาก ซึ่งที่จริงพวกเราไม่ได้สำคัญตัวผิด เราทำจนสุดความสามารถ ผลเป็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ประชาชน เราทำให้ถึงที่ดแค่นั้น คุณกนก บอกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แปลกประหลาด นอกจากป้ายหาเสียงที่เห็นกันแล้วยังมีป้ายรณรงค์ให้โหวตโนแปะข้อความอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เขายอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนโหวตโนเพื่ออะไร รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ คนทำต้องการอะไร (แอบแฝงหรือเปล่า) ที่จริงพอพูดเรื่องเงินก็จะมีพรรคการเมืองบางพรรคพยายามจะใส่ความว่า พวกเรารับเงินทักษิณ มารณรงค์โหวตโน
แต่ที่จริงคุณกนกถ้าได้ติดตามบนเวทีอย่างใกล้ชิด และเนชั่นทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการรายงานข่าวของภาคประชาชนให้ทัดเทียมกับการรณรงค์ทั่วไปของทุกพรรคการเมืองแล้ว น่าจะเห็นด้วยว่า เงินที่เราได้มาจากการรณรงค์โหวตโนครั้งนี้ไม่ได้มาจากใครคนอื่นเลยมาจากประชาชนทั้งสิ้นที่ร่วมกันบริจาค ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทักษิณ แต่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่มีเจตนารมณ์เดียวกันว่าเราต้องรณรงค์โหวตโนให้เกิดขึ้นมากๆ ในประเทศนี้ เพราะฉะนั้นมันไม่มีแอบแฝง ถ้าพูดว่าพันธมิตรรับเงินทักษิณ จึงมารณรงค์โหวตโนอย่างนี้ ตนก็จะพูดได้ว่ามีพรรคการเมืองบางพรรครณรงค์ให้ประชาชน อย่าไปโหวตโน เพื่อจะได้สร้างความชอบธรรมในชัยชนะของทักษิณให้มากขึ้น เรื่องนี้ตนพูดได้ แต่ตนไม่เคยพูด มันเป็นเรื่องง่ายกับการกล่าวหาและสงสัยว่าคุณกนกจะรับงานจากพรรคการเมืองบางพรรค เราก็ไม่เคยพูดและกล่าวหาอย่างนั้น เพราะการพูดว่ามีเรื่องแอบแฝงนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่ยอมรับความแตกต่างทางความคิด มัวมาคิดแต่ว่าคนที่คิดแตกต่างจากตัวเองนั้น ต้องทำชั่วเท่านั้น เรื่องนี้จึงไม่แฟร์ในประเด็นนี้
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ตนขอบอกว่า หลายคนเข้าใจผิด คิดว่า โหวตโนครึ่งหนึ่งแล้วจะล้มคะแนนที่เลือกส.ส.ได้ พวกเราไม่ได้เข้าใจผิด เรารู้ว่าหากคะแนนโหวตโนเกินครึ่งก็ไม่ได้จะล้มคะแนนเลือกตั้งส.ส.ได้ แต่จะลดความชอบธรรมได้ เราเข้าใจดี ไม่มีใครถูกหลอก หรือเข้าใจผิด และถ้าเรากลัวว่าคนจะคิดแบบนี้เราคงไม่กล้าที่จะนำบทความของคุณกนกในเฟซบุ๊คมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบในวันนี้คุณกนกบอกว่าโหวตโน หลายคนคิดว่ากาโหวตโนกันเยอะๆแล้วไปกดดันพวก ส.ส.ได้ เราเชื่อว่าได้ครับ ที่เชื่อว่าได้ เพราะว่า 6 ปีที่ผ่านมาในท่ามกลางที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้ในสภาหลายครั้งหลายหน แม้กระทั่งในยามที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่ต้องโหวตโน แค่มีผู้ชุมนุมไม่ต้องถึงจำนวนผู้โหวตโน เรายังยับยั้งทั้งเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองมาแล้วไม่รู้กี่หน นี่คือเรื่องจริง แต่ครั้งนี้เรารณรงค์โหวตโน มันเสมือนเป็นการสร้างสัญลักษณ์ของประชาชนที่เขาไม่เห็นด้วยกับระบบ ที่เขาไม่ยอมจำนนกับระบบ และเขาก็เชื่อว่า เขาเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมประกาศเป็นผู้ลงคะแนนให้กับนักการเมืองที่ไปโกงบ้านกินเมือง เขาไม่ยอมเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบรัฐสภาที่ต้องยอมจำนนว่าเป็นเสียงข้างน้อยในสภา อย่างไรเสียก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับการโกงชาติกินเมือง แต่เขาคือผู้สงวนในสิทธิ์ของตัวเองที่ไม่เลือกใครเลย จะไปกล่าวหาได้อย่างไรว่าเขาโหวตโนเพื่อทักษิณ ไร้สาระและไม่เป็นความจริง
“การที่คุณกนกบอกว่า รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำตรงนี้มีความหมายครับ ถ้าคุณกนกใช้คำว่ารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แสดงว่าคุณกนกก็คงคิดไม่ต่างกันว่าทุกวันนี้มีสัตว์เข้าไปอยู่ในสภาได้ ซึ่งการคิดและเชื่อแบบนี้สำคัญคือเราจะยอมจำนน มองดูสัตว์อยู่ในสภาหรือจะเป็นผู้เริ่มต้นในการไม่ยอมจำนนต่อการที่สัตว์นั้นเข้าสภา จริงอยู่ ส.ส.สุดท้ายต้องเข้าไป แต่เสียงที่โหวตโนเป็นเสียงที่สำแดงว่า เราพร้อมไล่สัตว์ออกจากสภาได้ และทำมาแล้ว เหมือนเทปผีซีดีเถื่อน ถ้าพูดถึงปัญญาชนเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร ใครๆ เข้าก็ซื้อทั้งนั้น ถ้าเราไม่ซื้อคนอื่นเขาก็ซื้อ เพราะฉะนั้นแล้วเราไปทานต่อระบบไม่ได้หรอก ถ้าคิดกันแบบนั้น ศิลปินก็ไม่มีอาชีพ หลักการเดียวกันครับ คุณกนกบอกว่าทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็มีสัตว์เข้าสภา แต่เขาก็ยังทำ เหมือนที่เราเชื่อว่าอะไรเป็นความดี เราก็ทำมัน เชื่อมั่นและมุ่งมั่นทำไปอย่าไปกลัวว่าเราทำความดีอยู่คนเดียวคนอื่นก็ชั่วอยู่ดี ถ้าคิดอย่างนั้นบ้านเมืองก็ล่มสลาย ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย"โฆษกพันธมิตร กล่าวย้ำ
บทความจากหน้าเฟซบุ๊ก นายกนก รัตน์วงศ์สกุล