แมตซ์ชิงชนะเลิศ ถ้วยแชมเปี้ยนลีกส์ ที่ทีมบาร์เซโล่นา หรือ “บาร์ซ่า” ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 ประตูต่อ 1 เป็นเกมส์ที่สวยงาม เป็น “ฟุตบอลที่แท้ “ ที่แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ในยุคที่ ฟุตบอล ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเต็มตัว
เป็นความสวยงามจากการสร้างสรรค์เกมของนักเตะบาร์ซ่า โดยนักเตะผีแดง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่วิ่งไล่ลูกบอลไปมา เหมือนมวยคนละชั้น เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนยูฯ ยังยอมรับว่า บาร์ซ่า ในคืนที่พิชิต ทีมของเขา เป็นทีมที่ดี่ที่สุด ที่แมนยูฯ เคยต่อกรมา
ชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ บาร์ซ่า ครองถ้วยแชมเปี้ยนลีกส์ เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ หกปี โดยครั้งสุดท้าย คือ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเอาชนะแมนยูอย่างหมดทางสู้ 2 ต่อ 0 ที่กรุงโรม อิตาลี และเป็นการได้แชมป์ถ้วยใหญ่ในระดับสโมสรของยุโรป เป็นครั้งที่ 4
ปีนี้ บาร์เซโลนายังได้แชมป์ลาลีกา สเปน ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของสเปนด้วย เป็นปีที่สามติดต่อกัน บาร์เซโลน่า จึงเป็นทีมในระดับสโมสรที่เก่งที่สุดในโลก ส่วนทีมระดับชาติ ที่เก่งที่สุดคือ ทีมสเปน เพราะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด ที่มีนักเตะบาร์เซโลน่า ในทีม 6 คน 5 คนลงเล่นเป็นตัวจริง 11 คนแรก อีก 1 คน เป็นผู้รักษาประตูสำรอง
บาร์เซโลน่า เน้นเกมรุก เล่นบอลให้สวยงาม เร้าใจ ส่งลูกบอกผ่านให้กันอย่างรวดเร็ว ครองบอลให้มาก และกดดันฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ซึ่งเป็นสไตล์ที่มีรากฐานมาจาก ปรัชญาการทำทีมของ โยฮัน ครัฟฟ์ สุดยอดนักเตะชาวดัทช์ ซึ่งย้ายจากเอแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มาเล่นให้บาร์เซโลน่า เมื่อปี 1974 ด้วยค่าตัวสูงสุดเป็ประวัติการณ์ 920,000 ปอนด์ และกลับมาเป็นผู้จัดการทีม ระหว่างปี 1988-1996
สมัยที่ ครัฟฟ์มาเตะให้บาร์เซโลน่า เขาแนะนำให้ตั้ง โรงเรียนลูกหนังขึ้นมาฝึกนักเตะรุ่นใหม่ๆ ป้อนให้ทีม เพราะตัวเขาเอง และทีมเอแจ็กซ์ ก็เกิดจาก โรงเรียนลูกหนัง ในเนเธอร์แลนด์ โรงเรียนนักเตะ หรือ La Masia ของบาร์แซโลน่า เกิดขึ้นหลังจากครัฟฟ์ย้ายออกไปแล้ว และเมื่อเขากลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทีม อีก 12 ปีต่อมา นักเรียนลูกหนังของ La Maisa ก็พร้อมใช้งาน โดยเป็นกำลังสำคัญใน “ดรีมทีม” ของครัฟฟ์ ที่คว้าแชมป์ 11 รายการในช่วงที่ครัฟฟ์เป็นผู้จัดการ รวมทั้ง แชมป์ลาลีกา 4 สมัยติดต่อกัน และครองถ้วยยุโรเปี้ยน ( ชือเดิมของ แชมป์เปี้ยนลีกส์) เป็นครั้งแรกในปี 1992
โจเซฟ กวาดิโอลา หรือ “ เดอะ เป๊ป” ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน คือ หนึ่งในดรีมทีมของครัฟฟ์ และเป็นผลิตผลของ La Masia ด้วย
นักเตะชุดปัจจุบันของบาร์เซโลน่า มีผู้ที่เคยผ่านการฝึกฝนจาก La Maisa อยู่ถึง 8 คน รวมทั้ง ลิโอเนล เมสซี ซึ่งเกิดในอาร์เจนตินา และป่วยเป็นโรคฮอร์โมนผิดปกติ แต่แมวมองของบาร์เซโลน่า เห็นแวว จึงเข้ามารักษาตัวที่สเปน และส่งเข้าเรียนใน La Masia
La Maisa เป็นโรงเรียนกินนอน ที่ไม่ได้สอนแต่ทักษะในการเล่นฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังอบรมบ่มนิสัย นักเรียนให้รู้จักการเสียสละ มีความมุมานะ และมีทีมสปิริต
หัวใจสำคัญในความสำเร็จของบาร์เซโลน่า คือ การเล่นกันเป็นทีม แม้ในอดีตและปัจจุบัน จะมีซุปเปอร์สตาร์อยู่หลายๆคน แต่จะเก่งกาจ มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากไหน ต้องเล่นให้เป็นทีมกับคนอื่นๆ รากฐานสำคัญของการสร้างทีมคือ การสร้างนักเตะของตัวเองขึ้นมา ทีมฟุตบอลดังๆของยุโรปในปัจจุบัน มีลักษณะของ “สหประชาชาติ” คือ ประกอบด้วยผู้เล่นชาติต่างๆกว่าค่อนทีม มีนักเตะท้องถิ่นเพียง 2-3 คนเท่านั้น แต่นักเตะบาร์ซ่า ส่วนใหญ่เป็นเสปน และเป็นชาวคาตาลัน จากแคว้นคาตาโลเนีย ซึ่งเป็นแคว้นๆหนึ่ง ของสเปนที่มีการปกครองตนเอง และมีบาร์เซโล่นาเป็นเมืองหลวง
บาร์เซโลน่า เป็นมากกว่า สโมสรฟุตบอล แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจ และตัวตนของชาวคาตาลัน ในยุคที่สเปนอยู่ภายใต้การปกครองแบบฟาสซิสต์ของนายพลฟรังโก ทีมบาร์เซโลน่า คือ สัญญลักษ์ณที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณของชาวคาตาลันให้ลุกโชนอยู่ได้ ในเกมที่บาร์เซโลน่าลงแข่ง แฟนของทีมมักจะชูป้ายที่มีข้อความว่า “ คาตาโลเนีย ไม่ใช่สเปน”
ทีมบาร์เซโลน่า ไม่ใช่สมบัติของมหาเศรษฐี หรือนักลงทุน เหมือนทีมฟุตบอลดังในลีกของอังกฤษ อิตาลี และชาติอื่นๆ บาร์เซโลน่า ไม่มีผู้ถือหุ้น เพราะไม่ใช่ บริษัทจำกัด แต่เป็น สมาคม ที่มี” สมาชิก” 150,000 คน ซึ่งจะคัดเลือกตัวแทน 2,500 คน เป็นสมาชิก “สมัชชา” ร่วมกับ สมาชิกอาวุโสอีก 600 คน เพื่อกำกับดูแลฝ่ายบริหารของ สโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งไม่ได้มีแต่ทีมฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังมีทีมกีฬาอีกหลายๆชนิดด้วย รวมทั้งพิพิฑธภัณฑ์ชื่อดังในบาร์เซโลน่าด้วย ( เรียล แมดริด, แอตเลติก บิลเบา และโอซาซูนา ก็เป็นสมาคมเช่นนี้ด้วย)
บาร์เซโลน่าจึงเป็นทีมฟุตบอลของชาวคาตาลัน ไม่ใช่ของมหาเศรษฐกิจต่างชาติ มีแต่ทีมฟุตบอลที่ประชาชนเป็นเจ้าของช่นนี้ จึงสามารถสร้าง เกมฟุตบอลที่แท้ ฟุตบอลที่สวยงามได้
เสื้มทีบาร์เซโลน่า ไม่มีแบรนด์สินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ติดอยู่ มีแต่โลโก้ยูนิเซฟ ซึ่งบาร์เซโลน่าต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินให้ยูนิเซฟปีละ 1.5 ล้านยูโร เป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ปี 2006
ในฤดูกาลแข่งขัน ปี 2511 จะเป็นปีแรก ที่เสื้อทีมบาร์เซโลน่า จะมีสปอนเซอร์ ไม่ใช่สินค้า แต่เป็นมูลนิธิคือ การ์ตา ฟาวเดชั่น เพื่อหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนประเพณีที่จะไม่รับเงินจากการโฆษณาสินค้า โดยเซ็นสัญญากัน 5 ปี ซึ่งบาร์ซ่าได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 150 ล้านยูโร
รายได้ของบารซ่านอกเหนือจากค่าบัตรผ่านประตู รายได้หลักมาจาก ส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในสเปน เมื่อปี 2010 นิตยสารฟอร์บส์ ประเมินว่า บาร์เซโลน่ามีมูลค่า 752 ล้านยูโร หรือเท่ากับ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นที่ 4 รองจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรียล แมดริด และอาร์เซนอล ในขณะที่ข้อมูลจาก เดล้อยท์ ระบุว่า ในปี 2008-2009 บาร์เซโลน่ามีรายได้ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 366 ล้านยูโร มากเป็นที่สองรองจากเรียล แมดริด ซึ่งมีรายได้ 401 ล้านยูโร