“ประพันธ์” ตั้งข้อสงสัยปาบึ้ม ผู้บงการอาจเป็นคนที่เดือดร้อนจากการถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงและรับผลกระทบจากโหวตโน พร้อมย้ำไทยไม่ควรขึ้นศาลโลก เพราะหากศาลคุ้มครองชั่วคราวกัมพูชาก็ได้เปรียบแต่ถ้าไม่คุ้มครองก็เท่าทุน แต่ไทยมีแต่เสียกับเสีย หวั่นศาลโลกกำลังล่อไทยถลำลึกเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเพื่อตัดสินคำพิพากษาใหม่ หวังรวม 4.6 ตร.กม.เข้ากับปราสาทพระวิหารยกให้กัมพูชา
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”
วันนี้ (1 มิ.ย.) เวลาประมาณ 21.30 น.นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ปราศรัยเกี่ยวกับกรณีเกิดเหตุโยนระเบิดบริเสณสะพานมัฆวานรังสรรค์เมื่อคืนนี้ว่า ตนคิดว่าเหตุระเบิดอาจเกิดขึ้นเพราะการชุมนุมของพันธมิตรฯเป็นการเปิดตัวตนที่แท้จริงของคนใดคนหนึ่ง ของพรรคใดพรรคหนึ่ง พี่น้องคิดดูเอาเองแล้วกันว่าใครที่เดือดร้อนจากการชุมนุม และการรณรงค์โหวตโนทำให้ใครเดือดร้อน นี่เป็นเหตุผลส่วนตัว เพราะตามทฤษฎีแล้วถ้าเวทีพันธมิตรฯ ต้องสลายไปจากการก่อกวน ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับใคร
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ระเบิดคราวนี้กลิ่นมันไม่เหมือนตอน 193 วัน ตอน 193 วันนั้นพอรู้ตัวว่าเป็นใคร และตอนนี้มันก็ตายไปแล้ว และกลุ่มนี้ก็ไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะก่อสถานการณ์เพื่อหยุดยั้งการชุมนุมครั้งนี้ แต่อย่างไรก็อย่าประมาทอาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เพราะคนต้องการล้มกระดานก็มี เป็นไปได้ทั้ง 2 ฝ่าย คนที่มีอำนาจแล้วกลัวเสียอำนาจ จึงสร้างสถานการณ์เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง ก็เป็นไปได้
หรืออาจเป็นพวกที่เคยทำตอน 193 วัน แล้วมาทำอีก แต่ไม่ว่าใครทำก็ต้องประณามว่าเลวยิ่งกว่าสัตว์นรก เพราะเป็นการทำกับประชาชนที่มี 2 มือเปล่า
นายประพันธ์ กล่าวว่า มาประเด็นเรื่องศาลโลก โดยทั่วไปแล้วไม่ต้องไปขึ้นศาลดีที่สุด แต่รัฐบาลไม่เลือก หลายคนอาจบอกว่ารัฐบาลสู้คดีได้ดี มีเหตุผล ตนไม่ได้ให้เครดิตเลย เพราะเหตุผลที่เอาไปสู้ในศาลก็เป็นแบบที่เวทีพันธมิตรฯ พูด
การไปขึ้นศาลโลก คิดดูให้ดีเป็นชัยชนะของใคร เรานี่โง่ที่ต้องไปเสียเงินจ้างฝรั่ง เสียค่าเดินทาง ชัยชนะเป็นของเขมรตั้งแต่เอาคดีเข้าศาลโลกแล้ว ทางที่ดีอย่าไปขึ้นศาล จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงเสียแผ่นดิน เพราะไม่รู้ว่าจะตัดสินไปทางใดเพราะศาลโลกก็เคยตัดสินอัปยศมาแล้ว ผู้นำที่ฉลาดจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในเกมนี้ ไม่ใช่ทำเป็นพูดดีว่าปฏิบัติตามหลักสากล
นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า แค่เขมรเอาปราสาทพระวิหารไปเราก็แค้นแล้ว นี่ยังทะลึ่งจะเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอีก ตนไม่เห็นด้วยที่ไปขึ้นศาลโลก ซึ่งเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล และให้สู้ประเด็นเดียวว่าศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีแล้ว ถ้าศาลตัดสินว่ามีอำนาจเราก็ไม่ต้องไปขึ้น แล้วถ้าจำเป็นต้องไปก็ให้ฟ้องแย้งว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเรา โดยหยิบยกข้อสงวนขึ้นมา
“เพราะถ้าศาลตัดสิน ไม่มีประเด็นไหนเลยที่ไทยได้ประโยชน์ เพราะศาลต้องตัดสินไปตามคำร้องของกัมพูชา โดยกัมพูชาร้องไป 3 ข้อ 1.ให้มีการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว และให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทปราสาทพระวิหาร 2.ให้ยุติกิจการทางทหารของไทยทุกประเภทในพื้นที่เขาพระวิหาร 3.เรียกร้องให้ไทยหยุดกิจการดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นการแทรกแซงสิทธิของกัมพูชา ซึ่งถ้าศาลตัดสินให้คุ้มครองชั่วคราวกัมพูชาก็ได้กำไร แต่ถ้าไม่ให้คุ้มครองชั่วคราว กัมพูชาก็เท่าทุน แต่เรามีแต่เจ๊ง ถ้าศาลไม่ให้คุ้มครอง เราก็เสียเงินเสียทองเสียเวลา ไม่ได้อะไรเลย” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์กล่าวว่า วันนี้ทางกฎหมายเราเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลโลกแล้ว วันนี้ศาลก็ให้ทั้ง 2 ประเทศส่งหลักฐานว่าฝ่ายไหนได้รับความเสียหายจากการปะทะ ศาลกำลังล่อให้ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการ ซึ่งถ้าตัดสินว่าไม่คุ้มครองชั่วคราวรัฐบาลไทยก็จะกระดี๊กระด๊าเอามาหาเสียง แต่ความจริงคือไม่ได้อะไรเลย
ที่สำคัญ อาจหลงกลศาลโลก เพราะมีประเด็นที่กัมพูชาให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาศาลเมื่อปี 2505 ใหม่ เพื่อรวมพื้นที่โดยรอบเข้ากับปราสาทพระวิหาร ประเด็นนี้ยังไม่พิจารณาแต่อาจเป็นขนมล่อให้รัฐบาลไทยถลำลึกเข้าไปอีก ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าถ้าพิพากษาตีความว่าปราสาทพระวิหารรวมถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วย ไทยมีแต่ผลเสียทั้งนั้น ไม่มีอะไรได้
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าจะบอกว่าเรายังไม่เข้าไปสู่กระบวนการพิจารณา มันไม่ใช่ เพราะอย่างที่ตนถูกนายทักษิณฟ้อง ก็สู้ว่านายทักษิณไม่มีอำนาจฟ้องเพราะอยู่ต่างประเทศ และหนังสือมอบอำนาจก็เป็นของปลอม การสู้ในรูปแบบการสู้ในอำนาจฟ้อง ประเทศไทยก็สู้เหมือนกัน แต่ก็มีอีกหลายประเด็น เดี๋ยวก็ต้องแก้กันไปแก้กันมา สรุปแล้วก็ถลำลึกเข้าสู่กระบวนการศาล การแก้ปัญหาดินแดนระยะหลังนี้ไม่มีประเทศไหนไปขึ้น เพราะรู้ว่าศาลโลกตัดสินตามประเทศมหาอำนาจเป็นหลัก
คำต่อคำ
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักครับ รู้สึกวันนี้หนาตาผิดปกติ แสดงว่าระเบิดนี่เรียกแขกได้ใช่มั้ยครับ เรียกผู้ชุมนุมได้ กราบสวัสดีพี่น้องทางบ้าน และที่รับชมอยู่ในต่างประเทศทุกท่านนะครับ วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พี่น้องพันธมิตรฯ ได้ผ่านด่านทดสอบอันสำคัญ นั่นก็คือเสียงที่คุ้นเคยเมื่อ 193 วัน นึกว่าพี่น้องจะกลับหมดแล้ว เหลือผมคนเดียว ที่ไหนได้ วันนี้มามากกว่าเดิม ปรบมือให้กับตนเองด้วยนะครับ
พี่น้องครับ ก่อนจะพูดถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ก็เห็นน้องแอน น้องเก๋ คุณอำนาจ เรียกว่ายำไปรอบหนึ่งแล้วเกี่ยวกับเรื่องการรื้อ หรือปลดป้ายของพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่ทำร่วมกับพี่น้องประชาชน นั่นก็คือป้ายรณรงค์โหวตโน และอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา
สำนักงานเขตปทุมวันคงจะรู้สึกว่าตัวเองรับไม่ได้หรือเปล่า ไม่ทราบ ว่าทำไมเอาญาติพี่น้องผมมาโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ติดไปตามรอบถนน โดยไม่ได้รับอนุญาต หรืออย่างไร ท่านจึงเดือดร้อน ความจริงแล้วในทางการเมืองเรื่องการแสดงออกทางความคิดเห็น ทั่วโลก การแต่งกายล้อเลียนนักการเมืองก็ดี บางประเทศอาจจะแต่งตัวโป๊ ถ่ายนู้ด หรือเอาหนังสัตว์มาหุ้มมาห่อ แล้วก็ถ่ายภาพประท้วง การแสดงออกทางการเมืองซึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่ขัด และไม่เป็นการละเมิดต่อกฎหมายนั้น เป็นสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของพี่น้องประชาชน และรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย พ.ศ.2550 ก็รับรองการแสดงออกซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้อยู่แล้ว ผมก็ไม่เข้าใจว่า ผู้อำนวยการเขต หรือเจ้าหน้าที่เขตปทุมวันนั้น ไม่ได้ศึกษาระเบียบ ไม่ได้ศึกษากฎหมาย ไม่เปิดรัฐธรรมนูญดูหรืออย่างไร จึงไม่เข้าใจการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชน
เรื่องการรื้อป้าย การทำลายป้าย ถ้าเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ราชการ ก็จะเป็นความผิดของบุคคลธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่กระทำการในฐานะใช้ตำแหน่งหน้าที่ เมื่อไปทำลายทรัพย์สินอันเป็นของพรรค หรือของบุคคลอื่น ก็อาจจะเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดฐานทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น หรือขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่น โดยประการฉะนี้ก็อาจจะถูกดำเนินคดีได้ และก็เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา อีกด้วย
แต่สำหรับบุคคลที่มีฐานะ ตำแหน่ง อันได้แก่ เจ้าพนักงานเขต หรือผู้อำนวยการเขต ไปกระทำอย่างนี้เข้า โดยไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ตามข้อกฎหมาย และที่อ้างมาว่า 1. เป็นถ้อยคำที่หยาบคายนั้น มันก็ไม่เข้าข่ายอยู่แล้วใช่มั้ยครับว่า คำว่าอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา มันก็เหมือนอย่าเอาสัตว์เลี้ยง หรือปล่อยสัตว์ให้มารบกวนการทำงานของสำนักงานเขตนั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้อยคำว่าอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภามันก็ดีอยู่แล้ว มันไม่มีคำหยาบคายตรงไหนนะครับ แล้วโดยทั่วไป ถ้าคนที่หน้าคนแต่จิตใจสัตว์ ก็ไม่ควรจะเข้าสภาอยู่แล้ว หรือสัตว์โดยทั่วไป ท่านก็ไม่อนุญาตให้เข้าสภาอยู่แล้ว ไม่ว่าสุนัข สัตว์เลี้ยง ก็ไม่มีใครกล้าเอาเข้าไปในเขตบริเวณรัฐสภาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าอย่าปล่อยสัตว์เข้าสภาก็ไม่ได้คำไหนเป็นคำหยาบคาย
อันที่ 2 จะบอกว่าป้ายนี้ไม่ใช่ป้ายของพรรค ไม่ใช่ป้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก็อย่างที่ ร.ต.แซมดิน ให้สัมภาษณ์ไป แล้วโดยกฎหมาย พระราชบัญญัติเลือกตั้ง ก็ถูกต้องครับ ว่าป้ายบางป้ายของพรรคการเมืองที่ติดอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่มีเบอร์ เช่น นี่บอกจะสร้างรถไฟ 10 สาย อีกพรรคหนึ่งมันบอกจะสร้าง 15 สาย อีกพรรคหนึ่งมันบอกจะสร้าง 20 สาย ก็ไม่เห็นมันมีเบอร์ผู้สมัคร ใช่มั้ยครับ
คำอวดอ้างโฆษณาก็ยังมี แล้วถ้านี่ไม่สุภาพ ผมเห็นป้ายหนึ่งครับ ขอเอ่ยชื่อก็ได้ ชื่อนายโสภณ ดำนุ้ย นายโสภณ ดำนุ้ย นึกว่าเท่ มาอุ้มอะไรครับ หมีแพนด้า หาเสียง ไอ้ป้ายของเรานี่ห้ามเอาสัตว์เข้าสภา แต่ป้ายนั้นน่ะจะอุ้มสัตว์เข้าสภาครับ ไม่เห็นสำนักงานเขตไปรื้อล่ะ ว่านี่เอาสัตว์มาหาเสียง ไม่สุภาพ หยาบคาย แถมจะอุ้มสัตว์เข้าสภาอีก
เพราะฉะนั้น ป้ายหาเสียง กกต.เขาไม่ได้กำหนดว่าควรจะมีข้อความอะไรบ้าง โดยทั่วไปก็เป็นการแสดงจุดยืนทางการเมือง นโยบายทางการเมืองของพรรคแต่ละพรรค และก็บอกเบอร์ผู้สมัคร แต่ป้ายบางป้ายเขาจะบอกอุดมการณ์ บอกเบอร์เฉยๆ ก็ได้ ป้ายทำนองนี้เป็นการบอกจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อฟ้าดิน และพี่น้องประชาชนครับ ว่าเขาคัดค้านและไม่สนับสนุนคนที่หน้าคน แต่จิตใจสัตว์ ไม่ควรจะมาสม้ครเป็นผู้แทนและเข้าสภา เท่านั้นเอง
แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่เห็นเป็นไรจะต้องไปเดือดร้อน แต่ไฉนผู้อำนวยการเขตปทุมวันถึงเดือดร้อน ทีนี้เมื่อเดือดร้อน และอาศัยอำนาจอะไรไปรื้อป้ายเขาเนี่ย มันเป็นความผิดนะท่านผู้อำนวยการเขต ท่านต้องไปเปิดดูพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 เขาบอกว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง การใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามวรรค 1 มิใช่หมายความรวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่พึงต้องปฏิบัติในตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น หรือการแนะนำ หรือช่วยเหลือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมือง โดยมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าการกระทำจะเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด
สรุปแล้วก็คือ วรรคแรกห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่อันมิชอบ กระทำการเพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่พรรคการเมืองใด ขณะนี้ก็คือการไปรื้อป้ายของพรรคเพื่อฟ้าดิน ก็เข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ กระทำการให้เป็นโทษแก่พรรคการเมืองเพื่อฟ้าดินไปแล้ว ใช่มั้ยครับ
เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะรณรงค์ แสดงจุดยืนของเขาว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการที่จะปล่อยให้สัตว์เข้าสู่สภาอันทรงเกียรติ แต่ถ้าหากว่าเป็นการใช้สิทธิ์โดยทั่วไปของประชาชน ก็เป็นเรื่องของประชาชน คำว่าสัตว์ในทีนี้ เขาเป็นแต่เพียงรณรงค์เตือนว่า อย่าปล่อยคนที่ไร้สำนึก ขาดความรับผิดชอบ คนที่ไม่มีคุณธรรม ศีลธรรม คนที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตนั่นเอง ให้ไปเป็นผู้แทนของท่าน มันก็เท่ากับเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนใช้สิทธิ์อย่างรอบคอบ แล้วก็เลือกคนที่คิดว่าดีที่สุด แต่ถ้าดูแล้วไม่มีใครดีที่สุด ในบรรดาหมู่คนที่เอามาให้เลือก ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ที่จะมีช่องทางอีกช่องทางหนึ่ง คือ ไม่ประสงค์ลงคะแนน เท่านั้นเอง ไม่เห็นมันผิดกฎหมายตรงไหน ใช่มั้ยครับ
ดังนั้น การที่ท่านไปใช้อำนาจหน้าที่รื้อ แล้วทำไมท่านไม่ไปรื้อของคนอื่นล่ะ บางคนก็แลบลิ้นปลิ้นตา แหกปาก อย่างนี้มันก็ไม่สุภาพเหมือนกัน ใช่มั้ยครับ บางคนก็ถ่ายรูป แต่งตัว ไม่สุภาพ ไม่ผูกเนกไท หรือเปิดหน้าอก คุณทำไมไม่ไปรื้อ เพราะฉะนั้นบรรทัดฐานของผู้อำนวยการเขตนั้น จะตัดสินเอาเองไม่ได้ ทีนี้วิธีการที่จะเอาเรื่องกับ ผอ.เขต เมื่อเห็นว่าการทำอย่างนี้ไม่ชอบแล้ว พรรคเพื่อฟ้าดิน พรุ่งนี้นอกจากไปเอาป้ายคืนมาแล้ว ไปถ่ายไว้เป็นหลักฐานแล้ว ต้องไปแจ้ง กกต.ด้วยครับ เพราะในวรรคที่ 2 ของมาตรา 47 นี้ เขาบอกว่า ในกรณีมีหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรค 1 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจ สั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยุติ หรือระงับการกระทำใดๆ ที่เห็นว่าอาจเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด
และในการนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีสิทธิ์ที่จะแจ้งไปยังผู้บังคับบัญชา สั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติกรรมอันอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใดนั้น พ้นจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราว หรือสั่งให้มาประจำกระทรวง ทบวง กรม ศาลากลางจังหวัด หรือที่ว่าการอำเภอในเขตเลือกตั้ง หรือนอกเขตเลือกตั้ง หรือห้ามเข้าเขตเลือกตั้งใดๆ เขตเลือกตั้งหนึ่ง ก็ได้
เพราะฉะนั้น พรรคเพื่อฟ้าดินก็มีสิทธิ์ที่จะไปร้องกับ กกต. เพราะรู้หลักฐานแล้ว ถ้าเธอรับสารภาพว่าเป็นคนไปรื้อมา คุณไม่มีหน้าที่ไปรื้อพรรคคนอื่นมาเก็บรักษา ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องไปรื้อป้ายหาเสียงของทุกพรรคมาเก็บรักษาไว้ในเขตด้วย ถ้าคุณอยากรักษาความสะอาดน่ะ
เพราะฉะนั้นวันนี้ก็คือว่า การกระทำของผู้อำนวยการเขตนี้มันผิดกฎหมายแน่ และคงได้เจอดีแน่ ถ้าไม่ดำเนินการ แล้วพรุ่งนี้ ร.ต.แซมดิน ถ้าไปแจ้งความ ถ้าเขายอมรับผิดแล้ว ต้องให้เขตนี้เอาป้ายกลับไปติดไว้ที่เดิมด้วย เพราะการติดป้ายแต่ละครั้ง มันเสียค่าติด มันเสียค่าเสียหาย เสียค่าใช้จ่าย เสียค่าขนส่ง เสียค่าจ้างแรงงาน มันไม่ใช่ติดกันง่ายๆ แล้วช่วงระยะเวลาที่เขาจะรณรงค์ ก็มีระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน คุณเอาไปเก็บไว้ก็ทำให้เขาเสียโอกาสในการที่จะเผยแพร่ รณรงค์โฆษณากับประชาชน ทำให้เขาได้รับความเสียหายแล้ว เพราะฉะนั้นในทางแพ่ง ถ้ารับผิดชอบ ถ้าฟ้องเรียกค่าเสียหาย ค่าขาดประโยชน์ ค่าที่เราต้องไปจ้างคนอื่นมาทำ ก็เอาด้วย เป็นความเสียหายทางแพ่งไปด้วยนะครับ
นี่ก็อยากจะฝากเตือนบรรดาเขตอื่นๆ ด้วยนะครับ ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไป เขาเรียกว่า เสนอหน้าเอาใจพรรคการเมือง และนักการเมือง เพราะยังไงคุณก็แพ้อยู่แล้วครับ
และเมื่อวันนั้นมาถึง ผมว่าคุณไปอยู่เขตโน่นเลย แม่ฮ่องสอน หรือไม่ก็ไปอยู่ไกลๆ เลย เขาจะเตะคุณไปไหนยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นไอ้ประเภทสอพลอเอาใจนายน่ะ ระวังตัวไว้ให้ดีว่า การเมืองมันไม่แน่นอนครับ วันนี้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แต่พรุ่งนี้ไม่แน่แล้วครับ และที่แน่ๆ โอกาสจะได้เป็นก็ยากขึ้นโดยลำดับครับ
นอกจากความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งแล้ว ความผิดของท่านอาจจะเข้าข่ายเป็นการไม่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ละเมิดและคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้อีกส่วนหนึ่งด้วยนะครับท่านผู้อำนวยการเขต มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และไม่มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องไปเสี่ยงในเรื่องนี้เลยครับ ก็ฝากเตือนไปถึงผู้อำนวยการเขตแล้วกันนะครับ เพราะว่าคุณแอนแกจะล่อไปถึง 157 แล้วด้วย มันก็เกี่ยวเหมือนกันครับ ถือว่าเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั่นเอง คือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทำให้พรรคการเมือง หรือผู้สมัครคนอื่นเขาได้รับความเสียหาย เพราะพรรคเพื่อฟ้าดินอาจจะหาเสียงสมัยนี้ เพื่อจะเป็นแชมป์สมัยหน้าก็ได้ ใช่มั้ยครับ
เขาไม่จำเป็นจะต้องไปรณรงค์ให้มาเลือกเขาในวันนี้ แต่เขารณรงค์เพื่อสร้างฐานทางการเมือง เพื่อการเมืองในวันข้างหน้า ในอนาคตก็ได้ ใครจะไปรู้ คุณจะมาตรัสรู้แทนเขาไม่ได้ ใช่มั้ยครับ
พี่น้องครับ วันนี้ก็มีการประชุมของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และก็ได้ประชุมหารือกันในประเด็นที่มีการโยนระเบิดเข้ามาใส่ที่ชุมนุม ด้านข้างเวทีของพวกเราเมื่อคืนนี้ ก็คงจะหลังจากผมปราศรัยเสร็จ เดินลงเวที ผมก็ไปยืนโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น เขาคงมาฟังผมปราศรัยจบก่อนครับ พอผมปราศรัยจบแล้ว ผมไปยืนโทรศัพท์อยู่ริมรั้วตรงนั้นแหล่ะ มันก็ยังไม่โยน พอผมขึ้นรถคล้อยหลังไปสัก 5 นาที 10 นาที กลับไปถึงที่พักถึงได้รู้ว่ามีระเบิด อ้าว เวลาที่ผมลงจากเวทีผมจำได้ว่า 22.10 น. เวลาตามข่าวเหตุระเบิด 22.20 น. ห่างกัน 10 นาทีเท่านั้นเองครับ
ก็อยากจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนว่า การชุมนุมของพวกเราที่นี่ เราชุมนุมมาถึงวันนี้ 127 วันแล้ว ไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นเลย และพวกเราเป็นคนที่มีอารยธรรม มีวัฒนธรรมทางการเมืองสูง และก็มีความรับผิดชอบ ในการชุมนุมเราไม่เคยเคลื่อนพล เคลื่อนขบวน ไปก่อกวนสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนเลย แม้แต่ในที่ชุมนุม เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองพยายามจะหาเรื่องว่าพวกเราจะก่อความรุนแรง ใส่ร้ายเราอย่างนั้นอย่างนี้ โดยทำยังไงครับ ก่อนการชุมนุม ยังไม่ทันเริ่มขึ้น ยังไม่ได้ตั้งเวทีเลย โอ้โห มันขยันรู้ดีเหลือเกินพ่อเจ้าประคุณ มันไปจับระเบิดมาได้ มีจรวด RPG มีเครื่องยิงระเบิด บอกว่าพวกนี้เตรียมจะมาก่อเหตุร้าย ส่วนหนึ่งเป็นการ์ดพันธมิตรฯ มันหาเรื่องใส่ความเรามาตั้งแต่เรายังไม่ชุมนุมเลยครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าเรื่องนั้นก็ถูกเราเปิดโปงไปแล้ว จนวันนี้คดีเรื่องนั้นยังไม่รู้ไปถึงไหน นายตำรวจที่บอกว่ารู้เรื่องดี ติดตามเขามาตลอด วันนี้ไม่รู้มุดหัวไปไหนครับ
แล้วเมื่อเริ่มการชุมนุม ถ้าหากมีข้อกังวลใจว่าจะมีเหตุรุนแรง เรามีอาวุธร้ายแรง เราก็ให้ความสะดวกโดยให้ตำรวจเข้ามาค้นในสถานที่ ในที่ชุมนุมของเรา อย่างเปิดเผยเลย ไม่ได้มีปัญหาอะไร ปรากฏว่าค้นพบมีดปอกผลไม้แค่นั้นเองครับ ซึ่งความจริงแล้วอาจจะเป็นมีดปอกหมากของคุณยายก็ได้ เพื่อเอาไว้เคี้ยวก็ได้
นี่ก็แสดงความบริสุทธิ์ไปแล้ว ไม่มีเหตุรุนแรง เราชุมนุมมา 127 วัน ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่มันมามีเหตุการณ์เพราะรัฐบาลอยากได้ถนนเส้นนี้เหลือเกิน แล้วก็มาเปิดให้มีรถวิ่งไปวิ่งมา เราก็เตือนมาตลอด พล.ต.จำลอง และคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ก็ทำหนังสือไปไม่รู้กี่ครั้งว่า คุณเปิดอย่างนี้ ถ้าหากมีใครคิดไม่ได้ จะสร้างสถานการณ์ หรือโยนความผิดมาให้พันธมิตรฯ หรือป้ายความผิดไปให้รัฐบาลก็ตาม มันมีโอกาสเกิดเหตุได้ตลอด เราก็ทำหนังสือแจ้งไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่ปรากฏในช่วงหลังๆ พอจะมียุบสภา เลือกตั้ง พอยกเลิกพระราชบัญญัติประกาศเขตความมั่นคง ปรากฏว่าตำรวจก็หายหมดเลย ไม่มีใครมาดูแลตรวจตราเหมือนเคย นี่จึงเป็นจุดอ่อนช่องโหว่อันเกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลเอง ไม่ใช่เรื่องของพวกเราเลย
ก่อนจะเกิดเหตุ 8 วัน วันที่ 23 พล.ต.จำลอง ก็ทำหนังสือไปถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจตราและระวังป้องกันความปลอดภัยกับผู้ชุมนุมบริเวณนี้ นี่เราได้แสดงความสุจริตใจเราถึงขนาดนั้น แต่รัฐบาลก็เพิกเฉย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เพิกเฉย จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ขึ้น แต่มันเป็นที่น่าแปลกใจครับ เกิดเหตุการณ์เมื่อเวลา 22.00 น. ไอ้คนร้ายขี่จักรยานยนต์ไป ผ่านหน้าตำรวจที่อยู่หน้าทำเนียบฯ เกิดเหตุถ้าเกิดจะ ว.สกัดทันที เตะกระเด็นมอเตอร์ไซค์ไปหลายรอบแล้ว ไอ้ผู้ร้ายน่ะ แล้วกล้องวงจรปิดก็มีตลอดทาง ทำไมจะจับไม่ได้ ถ้าตำรวจและบ้านเมืองไม่หลับหูหลับตา ปล่อยคนร้าย คนชั่ว ให้ลอยนวล ใช่มั้ยครับ นี่มันเป็นที่น่าผิดสังเกต
และ 2 ผมก็บอกแล้วว่า การชุมนุมของพวกเรา ณ ขณะนี้ จริงๆ แล้วเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนโดยส่วนรวมครับ ผมได้กราบเรียนและแถลงกับสื่อมวลชนไปว่า อย่างน้อยที่สุดคุณดูสิว่า 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นปัญหาคาใจของพี่น้องประชาชนอยู่ในขณะนี้ 1. ก็คือ ที่เรายังชุมนุมอยู่นี้ ก็เพราะว่า 1. กัมพูชากับคนกัมพูชายังยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ ใช่มั้ยครับ เมื่อมีการปะทะกันเมื่อเดือนกุมภาฯ มาเมษาฯ พฤษภาฯ จนวันนี้ ทหารและคนกัมพูชายังไม่ยอมออกไปจากพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวปราสาทหลายจุด ตลอดแนวชายแดนไทย นี่คือประเทศไทยถูกรุกรานอยู่ โดยรัฐบาลไม่เอาใจใส่ ปล่อยปละละเลย และไม่แสดงความรับผิดชอบ ไม่ทำหน้าที่ในเรื่องนี้เลย มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่มาคอยจี้และให้ข้อเท็จจริงกับประชาชน ว่ากัมพูชายึดครองแผ่นดินไทย
แล้ววันนี้ในคำชี้แจง ในคำโต้แย้งที่กระทรวงต่างประเทศไปชี้แจงโต้แย้งที่ศาลโลก ก็ปรากฏข้อเท็จจริง ยอมรับต่อศาลโลกว่า กัมพูชาใช้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น เป็นเครื่องมือนำหน้าเพื่อจะฮุบเอาแผ่นดินบริเวณโดยรอบตัวปราสาทของประเทศไทย นี่กระทรวงต่างประเทศยอมรับเอง และก็บอกว่า ตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีมา กัมพูชาไม่เคยหยิบยกข้ออ้างเรื่องนี้ขึ้นมาเลย เพิ่งมาหยิบยกข้ออ้างที่จะผนวกเอาดินแดนของไทยไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในวันที่ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้นเอง นี่ก็แสดงว่ากระทรวงการต่างประเทศ มึงเพิ่งตื่นหรือไง เพิ่งมายอมรับคำพูดจากพี่น้องประชาชน ไอ้ที่เราพูดมาตลอดว่ากัมพูชามันจะใช้แผนนี้มาฮุบแผ่นดินไทย ทำเป็นมาด่าเรา ไม่ยอม เราไม่มีวันจะทำให้เสียดินแดน แล้ววันนี้ไปแก้ตัวกับศาลโลก ทำไมไปยอมรับล่ะว่ากัมพูชาใช้แผนนี้มาฮุบเอาแผ่นดิน ดินแดนไทย และไทยไม่เคยยอมรับ เห็นหรือยังครับ
นี่ในคำให้การ คำชี้แจงของกระทรวงต่างประเทศ และทนายความของเขา สรุปแล้วคือเสียเงินไปจ้างฝรั่งมา ก็ได้ภูมิปัญญาแค่นี้ ไม่ได้เหนือกว่าพวกเราเลย ไม่มีประเด็นอะไรใหม่ไปสู้กับกัมพูชาเลยครับ ก็มายืมเอาขี้ปากของพวกเรานี่ล่ะไปต่อสู้ แต่ถึงวันนั้นเวลาเราพูด มันก็เอาพวกนักวิชาการ 7.1 ล้าน มาโจมตีเรา แต่วันนี้ทำไมมึงไม่เอาผลงานของ 7.1 ล้าน ไปสู้คดีล่ะ ทำไมมาเอาผลงานของพวกเราล่ะ
เรื่องที่ 2 กัมพูชามันสามารถลากดึงเราไปอยู่ที่ศาลโลก เวลานี้ยังสู้คดีกับอยู่ในยกที่ 1 ว่ากัมพูชาจะขอคุ้มครองชั่วคราวได้หรือไม่ เดี๋ยวจะเป็นประเด็นที่ผมจะพูดเพิ่มเติมจากทีมวิชาการที่พูดไป สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งเรื่องดินแดน เขาก็ยึดครองอยู่ 2. จากที่เราไม่เคยต้องขึ้นศาลโลกเลยเมื่อ 50 ปีมาแล้ว วันนี้เขมรมันสามารถจูงจมูกรัฐบาลไทยไปขึ้นศาลโลก และคดีก็ยังคาอยู่ที่ศาลโลก ไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ถ้าไม่มีพวกเราอยู่ที่นี่ ใครล่ะจะสู้ จะปกป้องแผ่นดิน เพราะรัฐบาลมันมัวแต่หาเสียงแข่งกัน และอยากจะกลับมาเป็นรัฐบาล อยากจะได้อำนาจ แต่ไม่ทำงาน และขี้เกียจทำงาน ไม่เอาใจใส่ต่อปัญหาสำคัญของบ้านเมือง
เรื่องที่ 3 วันที่ 19-29 มิถุนายน ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อจะพิจารณาว่าจะอนุมัติให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว ตามคำร้องขอที่ค้างคาอยู่หรือไม่ วันนี้เห็นชัดแล้วใช่มั้ย นายวีรชัย พลาศัย ที่เป็นอดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญา และเป็นทูตไทยประจำกรุงเฮก ไปแถลงเองว่ากัมพูชาต้องการผนวกเอาดินแดนของไทยไปเป็นพื้นที่บริหารจัดการพื้นที่โดยรอบตัวปราสาท เพื่อสนับสนุนแผนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ใช่มั้ยครับ
เพราะฉะนั้นวันที่ 19 นี่ ถ้าเกิดว่าผลของคดีนี้มันเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา ทำให้เขาได้แผ่นดินบริเวณโดยรอบไป วันนี้นายฮอร์ นัมฮง มันอ้างแล้วว่า 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของกัมพูชา ใช่มั้ยครับ เพราะฉะนั้นถ้าศาลโลกตัดสินตามคำร้องของกัมพูชาเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลก มันก็สบายบรื๋อเลย เห็นหรือยัง ไอ้ที่เราพูดมาตลอดว่า เรื่อง 4.6 ตารางกิโลเมตร กับเรื่องขึ้นทะเบียนมรดกโลก มันเป็นเรื่องเดียวกันที่กัมพูชามันเอาผนวกมา เพื่อประโยชน์ในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และยึดแผ่นดินไทย มันจริงมั้ยล่ะนายแหล ทุกอย่างที่เราพูดมันจริงทั้งนั้น จึงกราบเรียนพี่น้องสื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนชาวไทยว่า การมาชุมนุมของพวกเราอยู่ที่นี่ เป็นประโยชน์กับประเทศไทย และพวกเรานี่ล่ะคือฝ่ายค้านที่เป็นก้างขวางคอรัฐบาลฮุน เซน และประเทศกัมพูชา ที่มีพลังที่สุด รัฐบาลไทยไม่มีน้ำยา ผมจะบอกให้ พลังของพวกเราต่างหากที่กำลังสู้และกดดันกับรัฐบาลกัมพูชา และกดดันให้รัฐบาลไทยต้องเอาข้อเท็จจริง เหตุผล ข้อกฎหมาย ตามแนวทางที่พวกเราพูดนี้ไปสู้กับรัฐบาลกัมพูชา ใช่มั้ยครับ
นี่ถ้าไม่มีพวกเรามาชุมนุม มาสู้อยู่อย่างนี้ รัฐบาลมันก็อาจจะงุบงิบๆๆ สมคบกับฮุน เซน กัมพูชา ปล้นแผ่นดินไทยไปถึงไหนแล้วไม่รู้ครับ ผมถึงบอกว่าการชุมนุมของพวกเรานั้นเป็นผลดีและมีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เราไม่ได้ไปทำความเสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนั้น คุณูปการอื่นๆ ที่เราทำมา ไม่ว่าร่างบันทึกการประชุมของเจบีซี 3 ฉบับ ก็ไม่สามารถผ่านการรับรองของรัฐสภา ก็ด้วยเสียงคัดค้านและพลังของพวกเรา ร่างบันทึกทั้ง 3 ฉบับ รัฐบาลจึงต้องถอนออกไปแบบดื้อๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย แล้วก็หมดท่า เสียกระบวนท่าไปอย่างน่าละอายที่สุด นี่ก็ผลงานของพวกเราทั้งนั้น
คำถามก็คือ แล้วเมื่อเราทำคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองขนาดนี้ แล้วทำไมล่ะ มันถึงมีของแถมมาให้เราเมื่อวานนี้ นี่หรือคือรางวัลและการตอบแทนกับประชาชนที่มาต่อสู้เพื่อปกป้องชาตบ้านเมือง ผมก็เลยมานึกว่ามันอาจจะเกิดขึ้นด้วยเหตุประการนี้ ประการหนึ่งล่ะ ว่าการชุมนุมของพวกเรานั้นมันเป็นตัวที่เปิดเผยตัวตน ธาตุแท้ของคนทางการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง คนใดคนหนึ่งที่มันเดือดร้อนจากการชุมนุมของพวกเรา พี่น้องก็ไปคิดเอาแล้วกันว่ามันควรจะเป็นพวกไหนที่จะมาเดือดร้อนกับการชุมนุมของพี่น้องพันธมิตรฯ
และ 2 พอยุบสภาหนี จะจัดให้มีการเลือกตั้ง เราก็เห็นแล้วว่ามันไม่มีใครน่าเลือก เพราะมันล้วนแต่อัปรีย์ไปจัญไรมา เราก็เลยรณรงค์โหวตโน พี่น้องก็คิดดูว่า การอยู่บนเวทีของเรานี้สู้เรื่องดินแดน ปกป้องดินแดน กับรณรงค์โหวตโน มันควรจะไปหนักกบาลใคร และใครควรจะเดือดร้อน
อันนี้ก็เป็นมุมมองของผมในการวิเคราะห์ว่า เหตุระเบิดมันน่าจะมาจากกลุ่มฝ่ายไหน เพราะว่าโดยทฤษฎีแล้ว มันต้องมองว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ถามว่าใครได้ประโยชน์ พี่น้องลองนึกดูว่า เกิดระเบิดขึ้น ถ้าเวทีพันธมิตรฯ แตกกระเจิง การชุมนุมสลายไป ปิดปากปิดเสียงพวกเรา ไม่ให้พูดต่อไปได้ ถามว่าประโยชน์มันจะเกิดกับใครครับ อันนี้พี่น้องก็ไปคิดเป็นการบ้าน
ผมถึงบอกกับสื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนที่ถามผมว่า ระเบิดมันมาจากไหน ผมก็ให้หลักคิดอย่างนี้ และผมก็บอกว่าระเบิดคราวนี้ ผมไปเดินดูที่สะพาน ไปดมกลิ่นแล้ว กลิ่นมันไม่เหมือนตอน 193 วันหรอก ไอ้ 193 วันนั้นมันพอรู้ตัวแล้วว่าเป็นใคร และไอ้คนนั้นมันก็ตายไปแล้ว หนึ่งในนั้น
แล้วเราก็รู้แล้วว่า ไอ้กลุ่มพวกนี้ เรามาอยู่ตรงนี้ มันเดือดร้อนมั้ย เราก็ดูแล้วว่ามันไม่น่าอยู่ในข่ายที่จะมาก่อสถานการณ์แบบนี้ และการชุมนุมของพวกเรา ณ ขณะนี้ ก็ไม่น่าจะไปหนักกบาลของกลุ่มที่เคยยิง M 79 มาใส่พวกเรา ใช่มั้ยครับ อันนี้ก็เป็นมุมมอง แต่อย่างไรก็ตาม เราก็อย่าได้ประมาท ก็เตือนพวกเราไปแล้วว่ามันอาจจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เพราะว่าคนที่คิดอยากจะสร้างสถานการณ์เพื่อล้มกระดานนั้น มันก็อาจจะมีอยู่ อาจจะเกิดจากฝ่ายไหนนั้น ผมไม่อาจจะคาดเดาได้ มันเป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย คือคนที่มีอำนาจอยู่ กลัวตัวเองจะสูญเสียอำนาจ ก็ไม่แน่เหมือนกัน อาจจะก่อสถานการณ์เพื่อให้เกิดเหตุวุ่นวาย นำไปสู่การไม่มีการเลือกตั้ง ใครจะไปหยั่งได้ มันก็มีความเป็นไปได้
อันนี้ก็เป็น เขาเรียกสมมติฐานที่ 2 ถ้าเป็นสมมติฐานที่ 3 ก็อย่างที่บอกแล้วว่า อาจจะเป็นพวกนั้น ที่เคยทำเมื่อ 193 วัน มาทำอีก ถ้าเอาแบบวิชาการตำรวจ ก็ตั้งสมมติฐานที่ 1 สมมติฐานที่ 2 สมมติฐานที่ 3 มาดูน้ำหนักว่าอันไหนเป็นไปได้มากกว่ากัน พอนาย ก.ถูกยิง โป้ง ตาย 1. เหตุทางการเมือง 2. ชู้สาว 3. ธุรกิจส่วนตัว 4. ความขัดแย้งกับใครเป็นกรณี คู่กรณี คู่อริ ก็ตั้งไป แต่ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองผมตั้งแบบนี้ล่ะว่า ใครได้ประโยชน์ เป็นอันดันที่ 1
สอง ผู้มุ่งจะสร้างสถานการณ์ อันดับที่ 2 สาม อาจจะเป็นขาเก่ามาลองของ คือของยังปล่อยไม่หมด ก็เลยมาปล่อยทิ้งซะอีกทีนึง
แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดทำอย่างนี้ ต้องประณามว่า เป็นคนเลววว ยิ่งกว่าสัตว์ครับ เป็นเดียรัจฉาน เป็นคนเลวยิ่งกว่าสัตว์นรก เพราะว่าเป็นการกระทำกับประชาชนที่มีแต่ 2 มือเปล่า และอยู่ในอาการสงบ ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับคุณ และเป็นการลอบกัด กระทำผู้อื่นแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งสมควรถูกประณาม และยิ่งถ้าเป็นเรื่องของคนมีอำนาจทำ และใช้คนอื่นมาทำ เพื่อจะสร้างสถานการณ์ หวังผลทางการเมืองนั้น ยิ่งสมควรประณามให้มันตกนรก 100 ชาติ อย่าได้ผุดได้เกิด ใช่มั้ยครับ
ซึ่งในเมืองไทยเราก็อย่าได้ประมาทว่าจะไม่มีคนเลวแบบนี้ เพราะไม่งั้นคงไม่มีสำนวนว่า มันเลวจนกูงง หรอกครับ
ทีนี้ ผ่านประเด็นนี้ไปนะครับ ผมคิดว่าผมให้น้ำหนักผลกระทบทางการเมืองมากกว่า ที่จะเกิดเหตุทำนองนี้ ยิ่งในช่วงโค้งๆ ใกล้ๆ การเลือกตั้งงวดเข้ามา ยิ่งต้องระมัดระวังเหมือนกัน แต่พี่น้องครับ เราจำเป็นต้องชุมนุมอยู่จนกระทั่งรู้ผลการประชุมมรดกโลกให้จงได้ เพื่อให้แน่ใจว่า แผ่นดินของเรา เราทำถึงที่สุดแล้ว ในฐานะประชาชนครับ
อย่างน้อยก็ 29 มิถุนาฯ ล่ะครับ หลังจากนั้นเราก็จะได้ไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม ไปโหวตโน กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน เมื่อมีใครกลับมาเป็นรัฐบาล เราก็จะคอยดูน้ำหน้าว่ามันจะมาแก้ปัญหาแผ่นดิน เอกราช อธิปไตย อย่างไร ซึ่งถึงตรงนั้นต้องเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากันอีกช็อตหนึ่ง ถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องมีระฆังพักยกชั่วขณะก่อนแล้วกันนะครับ
ทีนี้มาประเด็นเรื่องที่ผมอยากจะพูดอีกนิดหนึ่งก็คือ ประเด็นเรื่องศาลโลก ความจริงแล้วประเด็นนี้ฝ่ายวิชาการเขาพูดไปเยอะแล้ว แต่ผมจะให้แนวคิด มุมมองในประเด็นของความเป็นนักกฎหมายว่า โดยทั่วไปแล้ว ภาษาจีนเขาก็บอกว่า เป็นความกินขี้หมาดีกว่า ใช่มั้ยครับ โดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ต้องไปขึ้นศาล มันดีที่สุด ถูกต้องมั้ยครับ กรณีนี้ก็เหมือนกัน ยิ่งศาลโลกและเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินของเรานั้น ถ้าเราไม่ไปขึ้นศาลโลก มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ทำไมรัฐบาลไม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดครับ
หลายคนอาจจะบอกว่า รัฐบาลสู้คดีนี่เก่งดี มีเหตุผล ผมไม่ได้ให้เหตุผล ไม่ได้ให้เครดิตเลย เพราะเหตุผลที่เอาไปพูดก็ไม่ได้เกินสติปัญญาของพวกเราบนเวทีนี้เลยครับ ไปจ้าง เสียเงินทำไม จ้างฝรั่ง สุดท้ายก็มาเอาเหตุผลที่เราพูดไปต่อสู้คดี ทนายฝรั่งมีปัญญาอะไร ที่คิดอะไรที่แหลมคมมากกว่านี้ ไม่มี
สองก็คือ การไปขึ้นศาลโลกนั้น พี่น้องคิดดูให้ดีสิครับ มันเป็นชัยชนะของใคร มันเป็นชัยชนะของเขมร ไม่ใช่ชัยชนะของเรา เรานี่โง่ต่างหาก ที่ต้องไปขึ้นศาลโลก ต้องไปเสียเงินแก้คดี ไปจ้างฝรั่ง เสียค่าเดินทาง เสียบุคลากร ไปเป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายในการสู้คดีบนศาลโลก ไอ้ชัยชนะเขมรมันได้ตั้งแต่เอาคดีนี้ขึ้นมาบนศาลโลก แล้วให้ไอ้ผู้พิพากษาตาน้ำข้าวมานั่งพิจารณาคดีให้น่ะ ถือว่าเขมรมันชนะไปในยกแรกแล้ว ที่ลากคอเราขึ้นศาลโลกได้ เราต้องคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าผมเป็นนักกฎหมาย ผมไม่ได้พูดเพื่ออวดอ้างตัวเองนะครับ สมมุติว่าพี่น้องโดนข้อกล่าวหาคดีใดคดีหนึ่ง ผมถามพี่น้องว่า ถ้าพี่น้องสู้คดีชนะ โดยไม่ต้องขึ้นศาล กับไปขึ้นศาล สู้กัน 3 ปี 5 ปี 10 ปี กว่าศาลจะตัดสิน ค่อยมาเป็นผู้บริสุทธิ์ พี่น้องจะเอาแบบไหนครับ ต้องเอาแบบแรกใช่มั้ยครับ
เพราะฉะนั้น โดยหลักของผม ถ้าทางที่จะทำได้ลูกความผมถูกฟ้อง ถ้าไม่ต้องไปขึ้นศาล มันดีที่สุด ไม่ต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ใช่มั้ยครับ ไอ้นี่เหมือนกัน ถ้าไม่ไปขึ้นศาล มันดีที่สุด เราไม่ต้องไปเสี่ยงที่จะเสียแผ่นดิน เพราะคุณไม่มีวันรู้ว่าศาลจะตัดสินไปในทางใด ยิ่งศาลโลกก็เคยตัดสินอัปยศไปแล้ว เรามีเหตุผลดีเพียงใด ยังตัดสินให้เราแพ้เลย ยังทะลึ่งอยากจะเอาคอไปพาดเขียงอีก
เพราะฉะนั้นถ้าผู้นำประเทศที่ชาญฉลาด เขาจะต้องไม่เอาตัวเองไปเล่นอยู่ในเกมนี้ นอกจากผู้นำที่โง่เขลาเท่านั้นจึงจะเอาประเทศไปเสี่ยงอยู่บนเกมนี้ นี่คือวิธีคิดของการเป็นผู้นำประเทศ หรือการบริหารประเทศ ไม่ใช่มาทำเป็นผู้ดี ปฏิบัติตามสากลนิยม เขาลากไปไหนก็ไป ไอ้คนแบบนี้อย่าเอามาบริหารประเทศครับ พาชาติฉิบหายทั้งนั้นครับ ผมจะบอกให้
ผมก็กราบเรียนไปว่า การที่เราไม่ต้องไปเสี่ยงนั้นมันต้องดีกว่าเสี่ยง เสี่ยงแล้วไม่รู้จะตัดสินอย่างไร ผมก็เคยยกตัวอย่างคดีว่า คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เคยโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สุดท้ายผมก็ทำทุกวิถีทาง จนกระทั่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็หลุดคดีไปโดยไม่ต้องขึ้นศาล นี่คือความปลอดภัยกับชีวิตและอนาคตของเขามากที่สุดครับ
สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในวันนี้ก็คือ ช่วยพี่สนธิไม่ได้เรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องคดีนังดา ตอร์ปิโด ครับ ที่เศร้าใจและเสียใจที่สุดทุกวันนี้ คุณสนธิเอาเรื่องนังดา ตอร์ปิโด มาพูดบนเวทีนี้ด้วยเจตนาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจมันหาเรื่องตั้งข้อกล่าวหา ทำสำนวนส่งอัยการ มั่วจนหาทางฟ้องเอาพี่สนธิขึ้นศาลจนได้ ซึ่งผมแค้นใจที่สุดคือแค้นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับพนักงานอัยการ โดยเฉพาะอัยการสูงสุด ที่ชื่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ และนายชัยเกษม นิติสิริ ว่ามันใช้ไม่ได้ เป็นคดีที่ในชีวิตผม ผมถือว่าบัดซบที่สุด
สำหรับคนที่เสียชีวิตสละต่อสู้แล้วก็เห็นอยู่แล้วว่ามีเจตนาสู้เพื่ออะไร มันยังหาทางเอาขึ้นศาลจนได้
ส่วนกรณีของคุณหญิงนั้นก็คือ มันหาว่าคุณหญิงเอาสติ๊กเกอร์ที่เป็นพระราชดำรัสในหลวง ไปติด ไปแจก ไปจ่าย โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ผมก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นพวกแกอย่าได้อ้างพระบรมเดชานุภาพ อย่าได้อ้างพระราชดำรัสเวลาจะอบรมลูกน้อง หรือพูดในที่ประชุมใดๆ นะ เพราะลื้อก็ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตเหมือนกัน เอามาพูดทำไม เราก็ต้องสู้ทุกแนวทางครับ แต่เมื่อขึ้นศาลแล้ว ก็ต้องไปประกันตัว ก็ต้องไปมอบตัว ต้องไปมีทนายสู้คดี สู้อีกกี่ปีกว่าเราจะได้รับการพิสูจน์ว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่โดยหลักการแล้วมันต้องคิดอย่างนี้ ในทางยุทธศาสตร์ ถ้าทำได้ ถามว่าประเทศไทย ถ้าไม่ไปขึ้นศาลโลก ทำได้มั้ย ถ้าเราเป็นผู้นำประเทศ ยิ่งเป็นเรื่องแผ่นดิน มันยิ่งต้องคิดแบบนี้
ทำไมจะทำไม่ได้ ก็วันนี้ก็ขึ้นภูเขา ปราสาทพระวิหาร กระทืบเขมรซะก็จบเรื่อง มันจะมาซ่าอะไรกับเรา ถูกมั้ยล่ะ มันมาบุกดินแดนเรา เอาปราสาทไปเราก็แค้นพอแล้ว ใช่มั้ยครับ นี่ยังจะมาเอาดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ของเราอีก แล้วเรายังทะลึ่งจะไปขึ้นศาลกับเขา อันนี้หัวเด็ดตีนขาด ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ซึ่งความเห็นนี้ก็สอดคล้องกับความเห็นของ อ.สมปอง สุจริตกุล ท่านก็เห็นว่าไม่ควรไปขึ้นศาล ให้สู้ในประเด็นเดียว ประเด็นว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแล้ว ไม่มีอำนาจมาตีความแล้ว ถ้าศาลตัดสินและรับคดีว่ามีอำนาจพิจารณาและตีความ เราก็ไม่ต้องไปขึ้นศาล และไม่ต้องปฏิบัติตามศาลโลก ตามปฏิญญาที่เราประกาศไว้
แต่รัฐบาลไม่ทำ ถึงกระนั้น ในประเด็นที่ 2 ท่าน อ.สมปอง ยังเสนอต่อมาอีก ว่าถ้าจำเป็นจะต้องไปขึ้นศาล ก็ให้ฟัองแย้งเข้าไปอีกประเด็นหนึ่ง เป็นประเด็นใหม่เหมือนกัน คือฟ้องว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเรา โดยหยิบยกข้อสงวนขึ้นมา อย่างนี้มันถึงจะฉลาด ภาษากฎหมายถ้าเป็นบ้านเรา เขาเรียกว่าฟ้องแย้ง เช่น คุณฟ้องว่าผมขับรถชนคุณ ประมาท ผมก็ฟ้องแย้งว่าคุณนั่นล่ะขับรถโดยประมาทมาชนผม มันต้องแลกกันคนละหมัด ถึงควรจะไปขึ้นศาล เพราะอะไรครับ เพราถ้าศาลตัดสินคดีในวันนี้ ไม่มีประเด็นไหนเลยที่ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ เขาต้องตัดสินตามคำร้องของกัมพูชา กัมพูชาร้องขอคุ้มครองชั่วคราว 3 ข้อ ให้ไทยออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร ห้ามทหารเข้ามายุ่งเกี่ยว ห้ามดำเนินกิจการอะไร เขาขอคุ้มครอง 3 ข้อ ถ้าศาลตัดสินให้ เขาก็ได้กำไร ถ้าศาลตัดสินไม่ให้ เขาก็เท่าทุนครับ เขาไม่มีอะไรเสียเลย
ส่วนเราล่ะ ถ้าเขาตัดสินให้ เราก็เจ๊ง ถ้าเขาตัดสินไม่ให้ เราก็ขาดทุน เสียเงิน เสียเวลา เสียงบประมาณ ไปสู้คดี แล้วเท่ากับไปรับรองคำพิพากษาที่เราเสียปราสาทพระวิหารให้เขา ให้ชาวโลกมาประจาน มารับรู้อีกครั้งหนึ่งว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชานั่นเองครับ เขาก็ได้ชนะทางการเมืองอีกรอบหนึ่ง คุณไม่มีอะไรได้เลยในประเด็นนี้
เพราะฉะนั้นถ้าหากรัฐบาลไทยจะไปสู้ มันก็ต้องฟ้องแย้งกลับไปเลยว่า ถ้าจะรับคดีนี้พิจารณา ก็ขอฟ้องว่าปราสาทพระวิหารเป็นของประเทศไทย และขอหยิบยกข้อสงวนเป็นข้อต่อสู้ขึ้นมา และส่งหลักฐานใหม่ให้ศาลโลกพิจารณา ถ้าคุณจะรับ เราถึงจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
วันนี้ต้องถือว่าในทางกฎหมาย อาจจะมีบางท่านเห็นว่าขณะนี้เรายังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา แต่ความจริงในทางกฎหมายถือว่าเราเข้าสู่กระบวนการพิจารณาแล้ว เพราะอะไรครับ เพราะรัฐบาลไปสู้หลายประเด็น ไปโต้แย้งกับเขา และไปขึ้นศาล ไปแถลงด้วยวาจา ไปแถลงด้วยลายลักษณ์อักษร ไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของเขาแล้ว และวันนี้ศาลโลกยังขอให้ส่งหลักฐานเพื่อบอกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากการปะทะ จากการสู้รบ มาให้ศาลอีก ปรากฏว่าเวลานี้ศาลมันกำลังล่อ กำลังดึงประเทศไทยให้เข้าสู่กระบวนการ แล้วถ้าศาลตัดสินปัง มันมีเป็นไปได้ 2 ทาง
1. เขาตัดสินว่าไม่คุ้มครองชั่วคราว รัฐบาลไทยก็จะกระดี๊กระด๊า ดีอกดีใจ ใช่มั้ยครับ แล้วก็จะเอามาหาเสียงกับประชาชนไทย เห็นมั้ยศาลโลกตัดสินไม่ให้คุ้มครองชั่วคราว ความจริงก็คือ กูได้แต่มือเปล่า ไม่ได้อะไรเลย ก็คือเท่าเดิม
2. ศาลไม่คุ้มครองชั่วคราว แล้วแผ่นดินมึงได้คืนมั้ย แผ่นดินได้คืนหรือเปล่า เขมรก็ยังอยู่ ใช่มั้ยครับ
นายอภิสิทธิ์มาให้สัมภาษณ์วันนี้ บอกเรื่องศาลโลกจะมีข่าวดี โธ่ ไอ้หนูเอ๊ย คุณน่ะมันยังเด็ก ละอ่อนมาก ผมบอกให้ ผมไม่ได้เคยให้ราคาเลยนะครับ เพราะนี่ถ้าเกิดศาลตัดสินไม่คุ้มครอง จะเอามาเสียงว่าเห็นมั้ย ผลงานผม ความจริงแล้ว ลื้อก็ได้แต่มือเปล่า ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย ใช่มั้ยครับ
ที่สำคัญคือ อาจจะหลงกลศาลโลกด้วยซ้ำไป เพราะมันยังมีประเด็นที่ 2 คือ ประเด็นที่เขมรขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเสียใหม่ ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่ได้พิจารณา โอเค เขาอาจจะบอกว่าไม่คุ้มครอง และดูตามหลักฐานแล้วมันก็ควรจะไม่คุ้มครอง ใช่มั้ยครับ แต่ประเด็นนี้มันอาจจะเป็นขนมล่อให้รัฐบาลไทยถลำลึกเข้าไปอีก ก็ไปสู้ในประเด็นที่ 2 สิ ทีนี้ พอสู้ในประเด็นที่ 2 ตูม เดี๋ยววันหนึ่งข้างหน้าเขาตีความมาว่า คำพิพากษาศาลโลกนั้นให้ครอบคลุมไปถึงปราสาท และอาณาบริเวณปราสาท รวมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ด้วย พ่อเจ้าประคุณถึงตอนนั้นหน้าแหก เย็บไม่ติดแล้ว ไม่รู้คุณไปอยู่แผ่นดินไหน ผมก็ไม่รู้แล้ว
นี่มีแต่ผลเสียทั้งนั้น ไม่มีอะไรได้นะครับ ผมดูแล้ว การไปขึ้นศาลโลกครั้งนี้ผมไม่เห็นด้วย และก็ไม่ได้ยินดีอะไรเลยกับกระทรวงต่างประเทศที่ไปแถลงอะไรนั่นน่ะ ว่า เก่งเหลือเกิน ความจริงก็เอาขี้ปากที่เราพูดมาไปพูดอีกทีเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย
แล้วต่อให้คุณพูดดีเท่าไรก็ตาม (*สัญญาณเสียงขาดหาย) เฮ้ย มึงเอามาแล้วเดี๋ยวกูรับคดี แล้วมึงจะได้มีโอกาส ประเทศมหาอำนาจมันต้องส่งซิกให้มันแล้ว มันถึงกล้านำคดีไปขึ้นศาลโลก เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าเรื่องนี้ต้องคอยดูกันต่อไปนะครับ ว่าอีกไม่กี่วันนี้ถ้าศาลโลกเขาจะมีคำวินิจฉัยว่า ถ้าให้ มันก็เป็นเรื่องที่ประเทศไทยก็เสียหาย ไม่ให้ เราก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพิ่มขึ้นมา เรามีแต่เสียกับเสีย เขมรน่ะมันไม่มีอะไรสูญเสีย มันมีแต่ได้เท่าเดิม กับได้เพิ่มขึ้น ซึ่งมันได้อยู่แล้วแน่ๆ ก็คือ ประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าปราสาทพระวิหารเป็นของข้า ศาลโลกตัดสินแล้ว โลกก็หันมาสนใจ ถ้าเวลาไทยถูกศาลตัตสินแล้ว วันหลังจะมาอ้างข้อไม่ปฏิบัติตามศาลโลก มันก็จะได้ถูกพันธมิตรประชาคมโลกประณามรัฐบาลไทย รัฐบาลไทยก็กลายเป็นหมาหัวเน่าอีกตามเคย
เพราะฉะนั้นถ้าจะปฏิเสธ ไม่ไปขึ้นศาล มันก็ต้องปฏิเสธเสียแต่ต้น และไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมรับการตัดสินของศาลโลกเลย ไม่ใช่ไปทำครึ่งๆ กลางๆ กั๊กๆ แบบนี้ และไม่ใช่มาอ้างว่าเรายังไม่ได้สู้เข้าไปสู่กระบวนการพิจารณา ไม่ใช่ครับ เหมือนกันครับ เหมือนผมถูกฟ้อง ทักษิณฟ้องผม ผมก็สู้ว่า ทักษิณ ลื้อไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะลื้อไปอยู่ต่างประเทศ หนังสือมอบอำนาจที่ลื้อมอบให้คนมาฟ้องอั๊ว ก็เป็นหนังสือมอบอำนาจปลอม ต้องส่งพิสูจน์หลักฐาน ผมก็สู้ แล้วประเด็นอื่นที่บอกหมิ่นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมบอกผมไม่ได้หมิ่น การสู้ในประเด็นตัดอำนาจฟ้อง เป็นเรื่องแค่รูปแบบของการต่อสู้เชิงคดี ถ้ามีเหตุผล มีน้ำหนัก ก็รับฟังได้ เวลานี้รัฐบาลไทยก็สู้ในเรื่องอำนาจฟ้องเหมือนกัน แต่ก็สู้ในประเด็นอื่นๆ พ่วงเข้าไปเป็น 4-5 ประเด็น
แต่ศาลเขาก็ อ้าว ที่คุณบอกว่าไม่มีอำนาจฟ้อง คุณมานี่สิ คุณมาพูดให้ผมฟังซิว่าไม่มีอำนาจฟ้องยังไง อ้าว เขมรที่บอกว่าลื้อมีอำนาจฟ้อง ลื้อมาพุดให้ฟังสิว่ามีอำนาจฟ้องยังไง แก้กันไปแก้กันมา สรุปแล้วลื้อถลำเข้าไปสู่กระบวนการพิจารณาแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าหากเขาตัดสินมาทางใดทางหนึ่ง เราจะบอกไม่ปฏิบัติตามในภายหลัง กลายเป็นเราเป็นอันธพาลไม่ยอมรับแล้ว ลื้อเข้าไปอยู่ในเกมเขาแล้ว แล้วไม่ยอมรับทีหลัง มันเสียหายมากยิ่งกว่าปฏิเสธเสียแต่ต้น และไม่เข้าไปยอมรับกระบวนการพิจารณาของศาลเลย การแก้ไขปัญหาดินแดนในยุคหลังนี้ ไม่มีประเทศไหนให้ศาลโลกเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องดินแดน เอกราช และอธิปไตยเลย เพราะเขารู้ว่าศาลโลกเชื่อไม่ได้ ตัดสินตามประเทศมหาอำนาจเป็นหลักครับ
แหม ผมว่าจะพูดเรื่องอื่น นี่เตรียมข้อมูลมาไม่ได้พูดเลย เวลาหมดเสียแล้ว
ก็เอาเป็นว่าจั่วหัวไว้ก่อน ว่าที่ตั้งใจจะพูดกับพี่น้องอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผมตั้งใจอยากจะเปรียบเทียบให้พี่น้องเห็นว่าทำไมเรารณรงค์โหวตโน เมื่อเราบอกว่าเหี้ยไป อัปรีย์ไปจัญไรมา อัปรีย์มันทำอะไร แล้วจัญไรมันทำอะไร แล้วทั้งสองฝ่ายมันมีพฤติกรรมเหมือนกันมั้ย เพราะฉะนั้นเรื่องที่ผมพูดค้างไว้ คือเรื่องพลังงานทดแทน พลังงานลม ผมจะเอารายละเอียดมาพูดให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์นั้นพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร ในฐานะนายกฯ นั่งหัวโต๊ะ นายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างไร
คล้ายๆ กันกับทักษิณเวลาเป็นนายกฯ เวลานั่งหัวโต๊ะ อ้าว จะปล่อยกู้ให้พม่า สุรเกียรติ์ชงเรื่องเข้ามา ตัวเองนั่งหัวโต๊ะ อนุมัติ มันมีวิธีทำงานเหมือนกัน แล้ว 2. เวลานี้เรากำลังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปัจจุบัน แต่อีกคนหนึ่งที่จะมาเป็นคู่ชิงนายกฯ เดี๋ยววันหลังผมจะเอามาพูดให้ฟังว่า คู่ชิงนายกฯ ที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ก็จะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพี่ชาย เพราะโคลนนิ่งกันมาเลยครับ
พี่ชายพอตอนเป็นนายกฯ ครั้งแรก โดนคดีซุกหุ้น ก็รอดมา แล้วมาโดนรอบ 2 คดีร่ำรวยผิดปกติ แล้วก็ไปไม่รอด สุดท้ายโดนตัดสิน ทั้งเบิกความเท็จ ทั้งหนีภาษี ทั้งมีความผิดติดตัวมากมายจนกระทั่งหนีไป ยิ่งลักษณ์มีชะตากรรมไม่ต่างจากพี่ชายแน่นอน เพราะโคลนนิ่งกันมา และมีข้อเท็จจริงว่า เธอก็ทำความผิดไว้เยอะ หลายเรื่อง หลายคดี ที่รอเวลา เพราะฉะนั้นผมจะเอารายละเอียดมาพูดเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่า อภิสิทธิ์ก็มีหลายเรื่อง อย่างเรื่องรัฐบาลเพื่อไทยทำเรื่องจำนำข้าว รัฐบาลอภิสิทธิ์ทำประกันรายได้ แต่ทั้งสองคนนี้ก็คือเสนอสิ่งที่เลวที่สุดให้กับประชาชนเหมือนกัน
คือเราต้องเอาข้อมูลอย่างนี้มาพูดให้พี่น้องฟัง แล้วพี่น้องจะได้รู้ว่าวิธีทำงานของทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรต่างกันเลย อภิสิทธิ์แจกอย่างนี้ ทักษิณแจกอย่างนี้ อยู่ที่วิธีการแจก แต่สรุปแล้วก็คือทำให้ประชาชนเป็นง่อย โง่เง่า และเป็นทาสของนักการเมืองต่อไปเหมือนเดิม
เพื่อจะทำให้พี่น้องตัดสินใจในเรื่องโหวตโนได้ง่ายที่สุดครับ และจะตอบคำถามพี่น้องได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง วันหลังก็แล้วกันนะครับ วันนี้ก็พูดไป 2-3 เรื่องในประเด็นที่เป็นข่าว ก็คิดว่าพอสมควร รวมทั้งประเด็นของศาลโลกด้วย ก็ต้องกราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องสำหรับวันนี้ และวันนี้ขออนุญาตพักเสียง 1 วันครับ เพราะว่าเสียงแหบแล้ว ขอบคุณมากนะครับ ถ้าจะร้องก็ให้ทีมงานเปิดให้ร้องก็แล้วกัน ขอบคุณมากครับ