เป็นธรรมเนียมเมื่อการเลือกตั้งมาถึงครั้งใด ก็มักมีการเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ โดยเฉพาะครั้งนี้การกำเนิดเกิดขึ้นของพรรคการเมืองชื่อแปลกหูมีขึ้นมาราวดอกเห็ดหน้าฝน
นัยว่าจะขอสวมบทบาท “พระเอกขี่ม้าขาว” มาแก้ปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมือง ในขณะที่การเมือง 2 ขั้วใหญ่กำลังห้ำหั่นกันอย่างหนักทุกแนวรบ
จังหวะนี้จึงเป็นช่องทาง และ “โอกาส” ที่ดีต่อการ “ฉกฉวย” ของผู้ที่ต้องการอาสาตัวเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ดูแล้วกลับพบว่าเป็นเพียง “ข้ออ้าง” บังหน้าของคนที่ต้องการเข้ามามีตำแหน่งแห่งที่ในทางการเมืองเท่านั้น ไม่ได้เป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ประชาชนแต่อย่างใด
เพราะพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งที่ถือกำเนิดขึ้นโดยนักการเมืองทั้งหน้าเก่า-ใหม่ ยังไม่ได้แสดงออกถึงความพร้อมที่จะเข้ามาเป็น “ตัวช่วย” ฟื้นฟูประเทศ หรือเป็นทางรอดให้กับวิกฤตของประเทศแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะในด้านนโยบายที่ยังไม่เห็นมีใครนำเสนอสิ่งใดที่พอจะมีหนทางที่นำไปสู่ความเป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นได้
ในเรื่องตัวบุคคลที่อวดอ้างสรรพคุณว่า มีดีไม่แพ้ใคร ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีศักยภาพที่จะเข้ามาเป็นผู้นำประเทศฝ่าวิกฤตไปได้อย่างไร
สุดท้ายก็ตกอยู่ในวังวนของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทยเท่านั้น ที่มุ่งแข่งกันในแง่นโยบายอย่างเต็มสูบ แถมตัวบุคคลก็จองสัมปทานไว้ว่างวดนี้ ไม่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนอื่นเท่านั้น ที่มีโอกาสจะมานั่งกุมอำนาจในรัฐนาวา
ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลไทยรักไทย ที่เปิดตัวมากับ พรรครักษ์สันติ หลังจากที่ออกสเตป “ผิดคิว” ไปกับ พรรคประชาสันติ ที่ เสรี สุวรรณภานนท์ ออกมา “ตีปิ๊บ” ว่า ร.ต.อ.ปุระชัย จะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน จนนายเสรีต้องจับผลัดจับผลูนั่งแท่นหัวหน้าพรรคไปแบบงงๆ
ส่วน ร.ต.อ.ปุระชัย ก็ยกขบวนนายทุนและทีมงานไปอยู่กับพรรครักษ์สันติ และนั่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค พ่วงด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 แต่ก็ไม่ได้ประกาศตัวขอเป็น “แคนดิเดต” นายกฯเต็มตัว
ที่สำคัญจากจุดเริ่มต้นที่ขลุกขลักก็ทำให้สมญานาม “คนดีไม่มีเสื่อม” ก็จืดจางไปมากทีเดียว และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ “โชว์ออฟ” ให้เห็นว่า หาก “ส้มหล่น” ได้เป็นผู้นำประเทศแล้วจะนำพาไปในทิศทางไหน เหมือนมีแต่ความฝันลมๆ แล้งๆ ท่องคาถา “ปรองดอง” ไปวันๆ
ผายลมยก “อากาศ” มาเป็นจุดขายก็ไม่ผิดนัก
เป็นอย่างนี้แล้วประชาชนก็ทำใจเลือกลำบาก สรุปว่าเต็มที่ ร.ต.อ.ปุระชัยคงได้คะแนนจาก “แฟนคลับ” ดันให้เข้าป้ายเป็นท่าน ส.ส.ได้ แต่จะพ่วงพรรคพวกไปได้ด้วยไหม ต้องลุ้นเหนื่อยทีเดียว
ถัดจาก “พระเอก” ที่ตกม้าตายตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว ก็หันมาดูที่แนว “ผู้ร้าย” กันบ้าง
การปรากฏตัวของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ห่างหายจากสังเวียนการเมืองไปพักใหญ่ มาคราวนี้กับ พรรครักประเทศไทย ก็ยังเปิดตัวแบบฮือฮาไม่มีใครเหมือน และคงลอกเลียนแบบลำบาก จากทั้งการแถลงข่าวเปิดตัวพรรค ที่ใช้สัญลักษณ์อย่างสุนัขบูลเทอเรียร์ “โมโตโมโต้” ที่เป็นตัวแทนความซื่อสัตย์ หรือถือพวงมาลัยรถยนต์ยี่ห้อดัง แทนการขับเคลื่อนประเทศ
แถมประกาศตัวขอเป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ แบบไม่มีนักการเมืองที่ไหนทำกัน
ถัดมาไม่กี่วันก็มานั่งชำแหละนโยบายของพรรคการเมืองใหญ่หน้าโรงรับจำนำริมถนน ที่ทำเอาผู้พบเห็นต่างอดยิ้มที่มุมปากไม่ได้
แต่นั่นก็เป็นเพียง “สีสัน” ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของชายที่ชื่อชูวิทย์ ที่ต้องถามต่อว่าเหมาะสมหรือถูกกาลเทศะสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้หรือไม่ หลายคนอาจมองว่า ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับการเมืองที่เต็มไปด้วย “นักเลือกตั้ง” ที่หวังเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องมากกว่าการแก้ไขปัญหาของประชาชน และแก้วิกฤตของประเทศ
แต่นั่นเพียงพอหรือไม่กับสภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งต้องการ “วีรบุรุษ” ที่เพียบพร้อม และมีความกล้าหาญ ในการนำพาชาติไปข้างหน้า ไม่ใช่ “ตลกหน้าม่าน” ที่มองประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งเป็นแค่ “หมอนวด” ที่ต้องมานั่งดูตลกทุกวันหลังเลิกงาน
แถมตลกคนนี้ยัง “มุกแป้ก” และหลงยุคหวังใช้มุกเดิมๆในการเรียกร้องความสนใจ หลังจากที่เคยสร้างกระแส “ชูวิทย์ฟีเวอร์” ได้เมื่อหลายปีก่อน คิดว่ามีเสียงจากคน กทม.ตุนอยู่ในกระเป๋า 3 แสนกว่าเสียงจากสนามเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ทั้ง 2 หน เพียงพอที่จะนำพาตัวเองเข้าไปเป็นผู้แทนในสภาได้ จนลืมไปว่ายังมีลูกพรรคที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีก 9 พระหน่อ ที่จะร่วมลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อกับ “เสี่ยชูวิทย์” ด้วย จุดนี้คือความไม่จริงใจต่อลูกพรรค เพราะหากมั่นใจในฐานเสียงส่วนตัวจริง ก็น่าจะส่งผู้สมัครระบบเขตเพิ่มเติม เพื่อเสริมฐานของพรรคให้แข็งแรง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งมาส่งเจ้าของเขาสภาแค่คนเดียว แล้วล้มหายตายจากไปจากสารบบการเมือง
ถามต่ออีกว่าบทบาทในฐานะ “ท่านผู้แทน” ของนายชูวิทย์จะเป็นอย่างไร ก็หลับตานั่งระลึกภาพในอดีต ก็คงไม่พ้นสไตล์ดุดัน ชนิดตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก หรือสาละวนกับการกวนน้ำให้ขุ่นตามถนัด แล้วการที่พรรคการเมืองหนึ่งมีเสียง ส.ส.เพียงคนเดียวในสภา จะเสนอกฎหมายสักฉบับก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ซึ่งแน่นอนอาจจะเป็น “ก้างขวางคอ” ชิ้นโตของนักโกงเมืองทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่ใช่ทางเลือกหรือทางรอดของประเทศ ซ้ำร้ายอาจจะกลายเป็นตัวเร่งที่ร่วมกันต้อนให้ประชาชนต้องให้เข้าสู่ทางตัน จนหันไปไม่เจอทางออกในที่สุด เมื่อไม่มีความหวังใดๆ จากนักการเมืองไม่ว่าซีกไหน
สุดท้ายก็บังคับให้คนไทยต้องไขว่คว้าหาทางออกที่พอจะมีอยู่ ก็คือ “Vote NO” เพื่อรวมพลังปฏิรูปการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งนี้
นัยว่าจะขอสวมบทบาท “พระเอกขี่ม้าขาว” มาแก้ปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมือง ในขณะที่การเมือง 2 ขั้วใหญ่กำลังห้ำหั่นกันอย่างหนักทุกแนวรบ
จังหวะนี้จึงเป็นช่องทาง และ “โอกาส” ที่ดีต่อการ “ฉกฉวย” ของผู้ที่ต้องการอาสาตัวเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ดูแล้วกลับพบว่าเป็นเพียง “ข้ออ้าง” บังหน้าของคนที่ต้องการเข้ามามีตำแหน่งแห่งที่ในทางการเมืองเท่านั้น ไม่ได้เป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ประชาชนแต่อย่างใด
เพราะพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งที่ถือกำเนิดขึ้นโดยนักการเมืองทั้งหน้าเก่า-ใหม่ ยังไม่ได้แสดงออกถึงความพร้อมที่จะเข้ามาเป็น “ตัวช่วย” ฟื้นฟูประเทศ หรือเป็นทางรอดให้กับวิกฤตของประเทศแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะในด้านนโยบายที่ยังไม่เห็นมีใครนำเสนอสิ่งใดที่พอจะมีหนทางที่นำไปสู่ความเป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นได้
ในเรื่องตัวบุคคลที่อวดอ้างสรรพคุณว่า มีดีไม่แพ้ใคร ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีศักยภาพที่จะเข้ามาเป็นผู้นำประเทศฝ่าวิกฤตไปได้อย่างไร
สุดท้ายก็ตกอยู่ในวังวนของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทยเท่านั้น ที่มุ่งแข่งกันในแง่นโยบายอย่างเต็มสูบ แถมตัวบุคคลก็จองสัมปทานไว้ว่างวดนี้ ไม่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนอื่นเท่านั้น ที่มีโอกาสจะมานั่งกุมอำนาจในรัฐนาวา
ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลไทยรักไทย ที่เปิดตัวมากับ พรรครักษ์สันติ หลังจากที่ออกสเตป “ผิดคิว” ไปกับ พรรคประชาสันติ ที่ เสรี สุวรรณภานนท์ ออกมา “ตีปิ๊บ” ว่า ร.ต.อ.ปุระชัย จะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรค แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน จนนายเสรีต้องจับผลัดจับผลูนั่งแท่นหัวหน้าพรรคไปแบบงงๆ
ส่วน ร.ต.อ.ปุระชัย ก็ยกขบวนนายทุนและทีมงานไปอยู่กับพรรครักษ์สันติ และนั่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค พ่วงด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 แต่ก็ไม่ได้ประกาศตัวขอเป็น “แคนดิเดต” นายกฯเต็มตัว
ที่สำคัญจากจุดเริ่มต้นที่ขลุกขลักก็ทำให้สมญานาม “คนดีไม่มีเสื่อม” ก็จืดจางไปมากทีเดียว และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ “โชว์ออฟ” ให้เห็นว่า หาก “ส้มหล่น” ได้เป็นผู้นำประเทศแล้วจะนำพาไปในทิศทางไหน เหมือนมีแต่ความฝันลมๆ แล้งๆ ท่องคาถา “ปรองดอง” ไปวันๆ
ผายลมยก “อากาศ” มาเป็นจุดขายก็ไม่ผิดนัก
เป็นอย่างนี้แล้วประชาชนก็ทำใจเลือกลำบาก สรุปว่าเต็มที่ ร.ต.อ.ปุระชัยคงได้คะแนนจาก “แฟนคลับ” ดันให้เข้าป้ายเป็นท่าน ส.ส.ได้ แต่จะพ่วงพรรคพวกไปได้ด้วยไหม ต้องลุ้นเหนื่อยทีเดียว
ถัดจาก “พระเอก” ที่ตกม้าตายตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว ก็หันมาดูที่แนว “ผู้ร้าย” กันบ้าง
การปรากฏตัวของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ห่างหายจากสังเวียนการเมืองไปพักใหญ่ มาคราวนี้กับ พรรครักประเทศไทย ก็ยังเปิดตัวแบบฮือฮาไม่มีใครเหมือน และคงลอกเลียนแบบลำบาก จากทั้งการแถลงข่าวเปิดตัวพรรค ที่ใช้สัญลักษณ์อย่างสุนัขบูลเทอเรียร์ “โมโตโมโต้” ที่เป็นตัวแทนความซื่อสัตย์ หรือถือพวงมาลัยรถยนต์ยี่ห้อดัง แทนการขับเคลื่อนประเทศ
แถมประกาศตัวขอเป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ แบบไม่มีนักการเมืองที่ไหนทำกัน
ถัดมาไม่กี่วันก็มานั่งชำแหละนโยบายของพรรคการเมืองใหญ่หน้าโรงรับจำนำริมถนน ที่ทำเอาผู้พบเห็นต่างอดยิ้มที่มุมปากไม่ได้
แต่นั่นก็เป็นเพียง “สีสัน” ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของชายที่ชื่อชูวิทย์ ที่ต้องถามต่อว่าเหมาะสมหรือถูกกาลเทศะสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้หรือไม่ หลายคนอาจมองว่า ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับการเมืองที่เต็มไปด้วย “นักเลือกตั้ง” ที่หวังเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องมากกว่าการแก้ไขปัญหาของประชาชน และแก้วิกฤตของประเทศ
แต่นั่นเพียงพอหรือไม่กับสภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งต้องการ “วีรบุรุษ” ที่เพียบพร้อม และมีความกล้าหาญ ในการนำพาชาติไปข้างหน้า ไม่ใช่ “ตลกหน้าม่าน” ที่มองประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งเป็นแค่ “หมอนวด” ที่ต้องมานั่งดูตลกทุกวันหลังเลิกงาน
แถมตลกคนนี้ยัง “มุกแป้ก” และหลงยุคหวังใช้มุกเดิมๆในการเรียกร้องความสนใจ หลังจากที่เคยสร้างกระแส “ชูวิทย์ฟีเวอร์” ได้เมื่อหลายปีก่อน คิดว่ามีเสียงจากคน กทม.ตุนอยู่ในกระเป๋า 3 แสนกว่าเสียงจากสนามเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ทั้ง 2 หน เพียงพอที่จะนำพาตัวเองเข้าไปเป็นผู้แทนในสภาได้ จนลืมไปว่ายังมีลูกพรรคที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีก 9 พระหน่อ ที่จะร่วมลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อกับ “เสี่ยชูวิทย์” ด้วย จุดนี้คือความไม่จริงใจต่อลูกพรรค เพราะหากมั่นใจในฐานเสียงส่วนตัวจริง ก็น่าจะส่งผู้สมัครระบบเขตเพิ่มเติม เพื่อเสริมฐานของพรรคให้แข็งแรง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งมาส่งเจ้าของเขาสภาแค่คนเดียว แล้วล้มหายตายจากไปจากสารบบการเมือง
ถามต่ออีกว่าบทบาทในฐานะ “ท่านผู้แทน” ของนายชูวิทย์จะเป็นอย่างไร ก็หลับตานั่งระลึกภาพในอดีต ก็คงไม่พ้นสไตล์ดุดัน ชนิดตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก หรือสาละวนกับการกวนน้ำให้ขุ่นตามถนัด แล้วการที่พรรคการเมืองหนึ่งมีเสียง ส.ส.เพียงคนเดียวในสภา จะเสนอกฎหมายสักฉบับก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ซึ่งแน่นอนอาจจะเป็น “ก้างขวางคอ” ชิ้นโตของนักโกงเมืองทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่ใช่ทางเลือกหรือทางรอดของประเทศ ซ้ำร้ายอาจจะกลายเป็นตัวเร่งที่ร่วมกันต้อนให้ประชาชนต้องให้เข้าสู่ทางตัน จนหันไปไม่เจอทางออกในที่สุด เมื่อไม่มีความหวังใดๆ จากนักการเมืองไม่ว่าซีกไหน
สุดท้ายก็บังคับให้คนไทยต้องไขว่คว้าหาทางออกที่พอจะมีอยู่ ก็คือ “Vote NO” เพื่อรวมพลังปฏิรูปการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งนี้