ผ่าประเด็นร้อน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน นั่นคือหลังวันประกาศยุบสภาของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีผลตั้งแต่วานนี้ (10 พฤษภาคม) เป็นต้นไป รวมถึงกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวคึกคักของบรรดา “นักเลือกตั้ง” และ “นักธุรกิจการเมือง” พันธุ์ชั่วทั้งหลาย
เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาที่เหลือ 1-2 สัปดาห์จะมีรายการ “ต่อรองราคา” ย้ายเข้าย้ายออกกันชุลมุนวุ่นวาย เนื่องจากเป็นช่วง “นาทีทอง” ที่ต้องหากำไรให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่จะเป็นพวกระดับ “ปลายแถว” หรือ ส.ส.เกรดบี หรือซี เท่านั้น เนื่องจากระดับ “ขาใหญ่” ที่เป็น “หัวหน้ากลุ่มย่อย” จะมีการตกลงทำสัญญาย้ายสังกัดกันไปล่วงหน้าหมดแล้ว ดังที่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นกันก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาแบบนี้ก็จะได้เห็นบรรดา “นักลงทุน” ทางการเมืองระดับ “เขี้ยวลากดิน” ปรากฏกายออกมาเพ่นพ่าน คอยชี้นำ กำหนดเกมในแต่ละพรรคที่ตนเองเป็นเจ้าของ แม้ว่าจะถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง แต่คนพวกนี้ก็ใช้วิธี “ศรีธนญชัย” ใช้ช่องโหว่ลอดออกไปได้ ประกอบกับการเมืองที่มีเครือข่ายแบบ “น้ำเน่า” คอยเกื้อหนุนกันมาตามปกติ ทำให้คนพวกนี้ยังมีอิทธิพลอยู่ตลอดเวลาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งมันก็เริ่มเห็นสัญญาณอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากพวกนักการเมือง “เขี้ยวลากดิน” ดังกล่าวนั่นเอง เพราะหากใครที่ติดตามการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมเข้าใจดีว่าการเลือกตั้งคราวนี้มี “เดิมพัน” สูง ช่วงชิงกันระหว่างสองพรรคใหญ่คือ เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์
เมื่อพิจารณาจากผลโพลที่ออกมาก็เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคเพื่อไทยที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ ได้รับคาดหมายว่าจะได้รับการเลือกตั้งมากกว่า พรรคประชาธิปัตย์ แต่ในภาพรวมเวลานี้ยังถือว่าจำนวน ส.ส.คงไม่ห่างกันมากเกินไปนัก และที่บอกว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเดิมพันสูงดังกล่าวทำให้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ดังนั้นหลายฝ่ายจึงประเมินเอาไว้ล่วงหน้าว่าการเลือกตั้งคราวนี้จะต้องมีความ “รุนแรง” เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีกองหนุนกันเต็มที่ เช่น พรรคเพื่อไทยก็มีคนเสื้อแดงคอยป่วน ขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ก็มีอำนาจในมือ มีข้าราชการเป็นมือไม้อยู่ไม่น้อย
เมื่อดูจากรูปการณ์ที่เชื่อว่าแพ้ชนะกันไม่ขาด อย่างที่ได้ประเมินเอาไว้ มันก็มีโอกาสป่วนทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งค่อนข้างสูง ซึ่งขณะนี้ก็ได้เห็นสัญญาณออกมาให้รับรู้กันบ้างแล้ว
อย่างน้อยพรรคไทยเมื่อเห็นแนวโน้มว่าตัวเองจะได้รับเลือก ส.ส.มากกว่าจึงรีบล็อกพรรคการเมืองอื่นให้ทำสัตยาบันยอมรับพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ยังคงปฏิเสธแนวทางนี้ และยังไม่ยอมผูกมัดตัวเอง และมีความเคลื่อนไหวแตะมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ได้ออกมายืนยันในทำนองว่าในระบอบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนสามารถรวบรวมเสียงได้มากกว่าก็จัดตั้งรัฐบาลได้
ในเวลาต่อมาอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรหมาดๆ อย่าง ชัย ชิดชอบ จากภูมิใจไทยก็ได้ออกมาสำทับเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีกว่า ไม่ว่าพรรคใดหากสามารถรวบรวมเสียงข้างมากก็เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างการเมืองทั้งในและต่างประเทศ เช่น กรณีของ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมในอดีตที่มี ส.ส.แค่ 18 เสียงก็เป็นรัฐบาลได้ หรือยกตัวอย่างการเมืองนิวซีแลนด์ที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบันก็มาจากพรรคที่มีเสียงข้างน้อย
นอกจากนี้ เมื่อวกกลับมาที่พรรคเพื่อไทย ล่าสุดพยายามโหมกระแสว่าต้อง “ชนะแน่” รีบประกาศให้สังคมได้รับรู้เอาไว้ก่อน แต่ถ้าผลออกมาพ่ายแพ้มันก็เป็นโอกาสที่จะสร้างกระแสว่า “ถูกโกง” ถูกแกล้ง ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำมาตลอดตั้งแต่การเคลื่อนไหวผ่านทางเสื้อแดงที่ต้องโกหกบิดเบือนเอาไว้ก่อน อย่างน้อยให้เกิดความเคยชิน จนเข้าใจว่าเป็นความจริง
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวมันย่อมเป็นสัญญาณอันตราย เพราะเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งทั้งสองพรรคจะต้องแย่งกันจัดตั้งรัฐบาล ต่างก็ไม่ยอมรับอีกฝ่าย ทำให้เห็นเค้าลางความวุ่นวาย เห็นหายนะที่รออยู่ตรงหน้า!!