xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” เตือน ก.ม.ม.อย่าทรยศประชาชน - ถาม “ชัยวัฒน์” ทำงานให้ใคร เขียนเสี้ยมให้แตกกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประพันธ์” เตือน ก.ม.ม.อย่าทรยศพี่น้องประชาชน ชี้ขนาดตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งอะไรเลย ก็มีทีท่าไม่ฟังเสียงประชาชนแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกต “ชัยวัฒน์ สุรวิชัย” เขียนบทความโจมตี พธม.รุนแรง หลังสมาชิก ก.ม.ม.มีมติไม่ลงเลือกตั้ง ถามทำงานให้ใคร ถึงเขียนเสี้ยมต้องการให้แตกกัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคด้วยซ้ำ

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”  

วานนี้ (25 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ขึ้นปราศรัยบนเวที “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า เรื่องความขัดแย้งของพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่นั้น เป็นเรื่องปกติที่ทุกกลุ่ม ทุกพรรค จะมีแนวคิดต่างกัน 2 แนวคิดเสมอ แต่เมื่อกำจัดแนวคิดที่ไม่ถูกต้องออกไปแล้วก็เหลือแต่แก่นแท้ เหมือนพันธมิตรฯอย่างทุกวันนี้

นายประพันธ์ กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่า ตนเป็นคนโยนหินถามทาง ว่า หากตั้งพรรคการเมืองคนที่เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าพรรค คือ นายสนธิ แล้วผลสำรวจจากพี่น้องประชาชนก็ให้ นายสนธิ เป็น พอตั้งพรรคการเมืองใหม่ ตนก็ลาออกจากที่ตำแหน่งที่ปรึกษาคุณหญิง กัลยา โสภณพนิช ซึ่งถ้าตนอยู่ถึงธันวาคม ก็ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย แต่ตนก็สละเงินเดือน สละตำแหน่งออกมา  ตนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง และมาด้วยความสมัครใจไม่ได้โดนขับออกมาแบบที่ นายศิริโชค บอก

เมื่อ นายสนธิ ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่ ต้องหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ มีการสำรวจความคิดเห็นเราพยายามชวนบุคคลภายนอก แต่ติดปัญหาบางอย่าง ยอมรับว่า ตอนนั้นตนก็ได้รับการสนับสนุน แต่ นายสมศักดิ์ ก็อยากเป็นหัวหน้า ซึ่งก็จะลงสมัครแข่งขันเลือกกัน ก็ไม่ได้เข้าข้างตัวเองหากโหวตแล้วแพ้ตน นายสมศักดิ์ เป็นอาวุโสกว่าจะดูไม่งาม

จนถึงนาทีสุดท้าย 5 แกนนำไปปรึกษากัน มีคนกังวลว่า นายสมศักดิ์ อาจไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ก็ได้ประสานงานหารือกัน นายสมศักดิ์ ก็บอกว่า อยากเป็นหัวหน้าพรรค ก็เลยให้เป็น แต่แค่ชั่วคราว จะต้องลาออกเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งชั่วคราว เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาแทน จะได้สู้กับคนอื่นได้

นายสนธิ ก็มาบอกให้ตนถอย ตนจึงถอนตัวในที่ประชุมใหญ่  ไม่สมัคร และมาทำรายการที่เอเอสทีวี แต่ก็คอยเอาใจช่วยพรรคตลอด ไม่เคยทอดทิ้ง แต่มาวันนี้พี่น้องส่วนใหญ่เห็นว่า พรรคการเมืองใหม่ ควรเข้าสู่กระบวนการรณรงค์โหวตโน และผ่านการเห็นชอบของ 4 แกนนำด้วย โดย นายสมศักดิ์ ขอเอาไปปรึกษาพรรคโดยไม่ได้ปฏิเสธ  ดังนั้น เท่ากับว่าเข้าสู่กระบวนการหารือแล้ว  

เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นการตัดสินใจของประชาชนที่เป็นเจ้าของพรรคที่มีความเห็นตรงกันกับคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร และแกนนำ มันจึงเกิดการรณรงค์โหวตโน เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทย  นี่คือ ข้อเท็จจริงๆ ไม่ใช่ นายสนธิ มาชี้นิ้วให้ซ้ายหันขวาหันได้

“นี่คือ ที่ไปที่มา ที่ผมโดนพาดพิงต้องชี้แจง ว่า ไม่ได้กระสันอยากเป็นอะไร แต่จะเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรขึ้นอยู่กับเสียงเรียกร้อง และความเหมาะสม ที่พี่น้องประชาชนเห็นว่าผมจะทำประโยชน์อะไรให้ประเทศได้ อยู่ที่พี่น้องประชาชนตัดสิน  การกล่าวหาว่า 5 แกนนำสั่งพรรคการเมืองใหม่ หรือนายสนธิสั่งให้ยึดพรรคการเมืองใหม่ เป็นทัศนคติที่มีอคติ เป็นความเข้าใจผิดของ นายชัยวัฒน์ สุรวิชัย” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า  ไม่เข้าใจเหมือนกัน นายชัยวัฒน์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่กระเสือกกระสนอยากให้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งมากกว่าสมาชิกพรรค และ กรรมการบริหารซะอีก พอสมาชิกพรรคมีมติไม่เห็นด้วยให้ลงเลือกตั้ง ก็เขียนบทความโจมตีรุนแรง อันนี้รู้สึกว่าจะเสียมารยาท

แล้วปล่อยข่าวว่า นายสนธิ ไปสั่งพรรคการเมืองใหม่ได้อย่างไร ก็เวลาอยากเป็นหัวหน้าพรรคยังมาขอฉันทามติ 5 แกนนำ แล้วเวลา 5 แกนนำ กับพี่น้องมีฉันทามติอย่างไรอย่างหนึ่งทำไมไม่ฟังล่ะ แล้วยังกล่าวหาว่าพี่นอ้งที่ไปประชุมพรรค ถูกจัดตั้งไป ให้ไปยึดพรรค จะยึดทำไม เพราะพันธมิตรฯเป็นเจ้าของพรรคอยู่แล้ว

โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร กล่าวว่า พรรคการเมืองที่ดีต้องฟังเสียงประชาชน ไม่ใช่วันนี้ ยังไม่มีตำแหน่งอะไรเลย ก็พูดเหมือน นายอภิสิทธิ์ แล้ว  ไม่ยอมยกเลิกเอ็มโอยู ไม่ฟังประชาชนคิดแต่ว่าเป็นอำนาจตัดสินของรัฐบาล

“ที่บอกว่า อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค ก็เชิญส่งสมาชิกลงเลือกตั้งเลย ทำไปแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนทรยศประชาชนแล้วจะประสบความสำเร็จ เป็นข้อเตือนใจว่าคนเรายังไม่ได้เป็นอะไรเลย อำนาจก็ไม่มีเลย ยังลืมพี่น้องประชาชนอย่างนี้มันไม่ได้ ต้องพิจารณาตัวเองแล้วกัน” นายประพันธ์ กล่าว  

นายประพันธ์ กล่าวต่อถึงบทความของ นายชัยวัฒน์ สุรวิชัย ว่า บทความเป็นที่น่ารังเกียจ เพราะเป็นคนที่เคยต่อสู้ 14 ตุลา ผ่านการต่อสู้กับพี่น้องมาด้วยกัน เวทีพันธมิตรฯก็เคยมาขึ้น วันนี้มาอยู่ในพรรคการเมืองใหม่ มาทำตัวเป็นนักวิชาการในพรรค แต่ไม่สมัครเป็นสมาชิก

การประชุมเมื่อวานนี้ ประชุมเสร็จพี่น้องมีมติไม่ให้ส่งคนลงเลือกตั้ง นายชัยวัฒน์ กลับมีความไม่พอใจ เขียนลงเฟซบุ๊กโจมตีอย่างรุนแรง คำพูดเช่น หาว่าการลงมติเมื่อวานนี้ผลเป็นไปตามคาด โจร 500 ชนะพระ 100 รูป หาว่าประชาชนที่ไปร่วมประชุมเป็นโจรห้าร้อย กล่าวหาประชาชนอย่างนี้ได้อย่างไร

หาว่าเป็นการที่เอเอสทีวีจะยึดการเมืองใหม่ ว่าไปโน่น เป็นเรื่องสมาชิกพรรค ไปร่วมแสดงความคิดเห็น ทำไมดูถูกพี่น้องประชาชนว่าไปเพราะนายสนธิสั่ง และเอเอสทีวี นายสนธิ และตน  ไม่เคยสั่งพี่น้องประชาชนเลย แค่บอกว่า การเมืองใหม่มีพันธมิตรฯเป็นเจ้าของ ดังนั้น ควรไปแสดงความคิดเห็นว่าประชาชนต้องการอย่างไร ปรากฎว่าทุกคนไปเอง เพราะทุกคนมีปัญญามีเหตุผล คุณบงการเขาไม่ได้ต่างหาก ไปล็อบบี้ไม่ได้ต่างหาก

ถ้ามีเหตุผลดีว่าลงเลือกตั้งดีอย่างไรทำไมไม่สามารถบอกเหตุให้ผลให้พี่น้องคล้อยตามได้ แล้วจะตำหนิกล่าวหาว่าเป็นโจร 500 ใช้ไม่ได้ในมุมนี้

ไม่เข้าใจว่า จะเดือดร้อน กระฟัดกระเฟียด กับพี่น้องปะชาชนทำไม ในเมื่อไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค รับงานใครมาทำ ถึงอยากให้พันธมิตรฯ กับพรรคการเมืองใหม่ ขัดแย้งกัน เดินสายล็อบบี้เขียนบทความให้นายเจิมศักดิ์ เอาไปอ่านออกรายการ ลงคอลัมน์สารส้มในแนวหน้า เดินสายคนโน้นคนนี้ ให้ต่อต้านพี่น้องประชาชน ทำไปเพื่ออะไร
 แล้วมาบอกว่า การปลุกระดมโหวตโนเป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว ประชาชนที่นี่คิดเป็นไม่ได้กินแกลบ เราสู้กันด้วยปัญญา ด้วยความคิด ไม่มีใครบงการ และยังอ้างว่าแม้กระทั่ง พล.ต.จำลอง ก็ขวางกระแสไม่ได้ ก็ในเมื่อ พล.ต.จำลอง เห็นด้วยกับโหวตโน เต็มร้อย จะขวางทำไมล่ะ

“หาอีกว่า นายสนธิ ใช้โหวตโนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว มันตรงกันข้ามที่ นายชัยวัฒน์ ต้องการให้การเมืองใหม่ลงเลือกตั้ง คุณได้อะไร อยู่ปาร์ตี้ลิสต์อันดับไหน ไม่เข้าใจว่าคุณกำลังทำอะไร” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า เปรียบเทียบด้วยว่าพวกไปประชุมกับพรรคการเมืองใหม่เถื่อนถ่อยเหมือนเสื้อแดง คุณเถียงไม่ได้  ปิดไมค์คนเห็นแย้ง เอาแต่คนของพวกคุณพูด ทำไมไม่ดูพวกคุณเองว่ามีพฤติกรรมเหมาะสมหรือเปล่า มีการตัดบทให้แต่พวกตัวเองพูด ใครกันแน่จัดตั้งมา พอพลังจัดตั้งแพ้คนไม่จัดตั้ง แล้วมาหาว่าเสี่ยสั่งลุย ไม่น่าเชื่อคนระดับนี้มีความคิดแบบนี้

แล้วบอกว่า การเมืองใหม่ไม่ยอมทำตามอำนาจเก่า ไม่เข้าใจตกลงพันธมิตรฯนี่เป็นอำนาจเก่าหรือ ยอมรับว่า พันธมิตรฯมีเกียรติและศักดิ์ศรี การเมืองใหม่ก็มีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่อยู่ที่เคารพเกียรติและศักดิ์ศรีประชาชนหรือเปล่า แต่ถ้าไม่เคารพ อยากฆ่าตัวตายทั้งคณะก็รีบส่งลงเลือกตั้งเลย แล้วจะรู้

ที่เทียบพี่น้องประชาชนกับเสื้อแดง แต่เวลาตัวเองปิดไมค์ไม่ให้คนเห็นต่างพูด ยกป้ายเอาดอกไม้มาแสดงละคร กลายเป็นไม่เถื่อน  ไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ และวันนี้ทำงานให้ใคร ที่มาเสนอเรื่องขัดแย้งและปฏิปักษ์ แล้วกฎหมายก็บอกแล้วว่าไม่กระทบกับการถูกยุบพรรค เพราะนี่เป็นการไม่ส่งลงเลือกตั้งแค่ครั้งแรก

“หากอยากรู้ผลดี ผลเสีย ของโหวตโน  ให้มาฟังเวที อย่าดูถูกภูมิปัญญาของคนที่นี่ เขาคิดเป็น แยกแยะได้ เป็นการเตือนด้วยความหวังดี ล้มเลิกความคิดเถอะ ต่อให้เขียนอีกกี่บทความก็ไม่มีเหตุผลมาหักล้างพวกเราได้ อย่าพยายามเสี้ยม สร้างความแตกแยก พวกเราเป็นพลังประชาชนที่ใครจะมาดูแคลนไม่ได้  ไม่รู้ว่าทำงานมีเป้าหมายอะไร แต่การไม่ได้ดั่งใจ แพ้แล้วพาลพี่น้องประชาชน ควรหยุดซะ ทางที่ดีให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จะดีกว่า  ถ้ายังอยากเดินอยู่บนถนนการเมือง” นายประพันธ์ กล่าว

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ กราบสวัสดีพี่น้องทางบ้าน และที่ชมอยู่ต่างประเทศทุกท่านครับ ได้พักการปราศรัย 2 วันช่วงเสาร์-อาทิตย์ มีการแสดงกายกรรมกวางเจา ผมหยุดปราศรัยเพราะมาดูกายกรรมกวางเจา คิดว่าถ้าอยู่คณะกายกรรมกวางเจาอาจจะมีอนาคต แต่พอเห็นเขาถูกลอยแพเลยเปลี่ยนใจกลับมาอยู่กับพี่น้องเหมือนเดิมดีกว่า

อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ได้เห็นภาพประทับใจ ที่พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ และประชาชนชาวไทยผู้มีน้ำใจทุกท่าน ได้แสดงออกซึ่งน้ำใจ ไมตรีอันงดงามของพี่น้องพันธมิตรฯ และสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมใหม่ของพี่น้องพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาอย่างยาวนานในระยะ 4 ปีที่เกิดพันธมิตรฯ ว่าจิตใจอันงดงาม น้ำใจที่ดีงามทั้งหลาย หาได้ในพี่น้องพันธมิตรฯ ครับพี่น้อง และเมื่อวานผมถือกล่องเดินรับเงินบริจาคจากพ่อแม่พี่น้องตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงหลังเวที ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ถือกล่องบริจาคผมก็เต้นแบบกายกรรมไปด้วย 3 คนกับคุณชัชวาล คุณเทิดภูมิ ได้เงินมาช่วยนับแล้วร่วมแสน นี่เป็นน้ำใจของพี่น้องจริงๆ เฉพาะที่เดินถือกล่องไป แล้วยังมีพี่น้องบริจาคจากทางบ้าน จากต่างประเทศ

เพราะฉะนั้นคนที่ประเมินพี่น้องพันธมิตรฯ ว่ามีผู้ชุมนุมน้อยลง คนให้การสนับสนุนน้อยลง คนเสื้อเหลืองถอยออกไป ที่บางคนพยายามเขียนทั้งๆ ที่เคยมาขึ้นเวทีพวกเรา ยังหูตามืดบอด พล่ามัว ประเมินประชาชนผิด ดูแค่การที่เราจัดแสดง ขอรับบริจาคเงินช่วยพี่น้องกายกรรมกวางเจา 2 วัน ได้เงินตั้งล้านกว่าบาท ถ้าเกิดพี่น้องประชาชนชาวพันธมิตรฯ และประชาชนที่รับชมอยู่ทางบ้าน เขาไม่มีน้ำใจ และไม่มีส่วนร่วม ลำพังเพียงคนหยิบมือเดียว บอกไม่กี่ร้อยคนอยู่หน้าเวที มันจะได้เงินถึง 1.2 ล้านกว่าบาท ไหมพี่น้องครับ เพราะฉะนั้นทุกกิจกรรมไม่ว่าเราจัดทำเหรียญรักแผ่นดินก็ดี หรือจัดทำกิจกรรมใดๆ ขึ้นมาก็ดี การสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนนั้น เป็นพลังที่สำคัญ และเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่า ประชาชนชาวไทย พี่น้องที่มีใจรักชาติ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม รักความถูกต้อง รักชาติรักแผ่นดิน อย่างพวกเรานั้นมีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง เต็มแผ่นดินครับพี่น้อง การจะมาชุมนุมหรือไม่มาชุมนุม เราไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญ แต่เราถือว่า เมื่อมีกิจกรรมที่พวกเราทำร่วมกัน ทุกคนพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือ แสดงออกอย่างมีพลัง นี่คือเครื่องชี้วัดที่ดีที่สุดครับพี่น้องครับ

ด้วยเหตุนี้ครับ ถ้าการชุมนุมของเรามีคนเพียงหยิบมือเดียว ไม่มีคนเห็นด้วย ไม่มีคนสนับสนุน ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ถึงปากคอสั่น ขาสั่น ทำไมหวาดกลัวพลังประชาชนที่นี่ และคนที่ชอบประเมินพี่น้องประชาชนผิดๆ คนที่เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์พวกเรา และพี่น้องประชาชน และประเมินประชาชนผิดๆ เมื่อวานก็เห็นพลังประชาชนไปอบรมสั่งสอนแล้วยังไม่รู้สำนึกอีกหรือครับ ผมคิดว่า คนพันธมิตรฯ เป็นประชาชนที่มีคุณภาพ และมีจิตวิญญาณของความรักชาติรักบ้านรักเมือง รักความถูกต้อง มีเหตุมีผล มีความคิดมีสติปัญญา และมีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง ไม่มีใครสั่งได้แม้แต่เถ้าแก่สนธิ ก็ไม่มีวันสั่งพันธมิตรฯ ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้ายืนอยู่บนจุดยืนที่ตรงกันข้ามกับพี่น้องประชาชนแล้ว ยืนอยู่บนจุดยืนที่ตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ชาติ ผลประโยชน์ประชาชนแล้ว มันก็ยากที่จะมีประชาชนให้การสนับสนุนใช่ไหมครับพี่น้อง

วันนี้ คุณสนธิได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใหม่ไปบ้าง แต่ผมมีเรื่องจะพูดถึง และคุณสนธิอยากให้พูดถึงเหมือนกัน เพราะว่ามีคนเขียนบทความที่จะพูดจากพาดพิงมาถึงพวกเราพันธมิตรฯ และพาดพิงถึง ASTV ถึงคุณสนธิ เขาจะพูดเองกลัวจะไม่เหมาะสม ผมบอกผมรู้ข้อเท็จจริง รู้เรื่องราวทุกอย่างเป็นอย่างดี และรู้ถึงทัศนคติความคิดของใครต่อใครที่แสดงออกมาในวันนี้ ผมจะขอพูดขอตอบเท่าที่จำเป็น แต่ทราบว่า ในช่วงหัวค่ำ ในช่วงเวทีเสวนาวิชาการ มีพี่น้องและวิทยากรของเราบนเวทีนี้ คงได้พูดถึงและตอบคำถามไปแล้วบางส่วน แต่ผมจะพูดในมุมของผม ในทัศนคติ ในส่วนของผมที่เกี่ยวข้อง และเห็นว่าเป็นประเด็นเป็นสาระสำคัญ

พี่น้องครับ จะเห็นว่า ในช่วงเวลานี้มีคนพยายามจะเขียนโจมตีตัวผมก็ดี โจมตีคุณสนธิก็ดี หรือโจมตีขบวนการของพี่น้องพันธมิตรฯ หรือโจมตีแนวทางที่เรารณรงค์ให้ประชาชนโหวตโน ทำไมคนเหล่านั้นจึงเป็นทุกข์ จึงเดือดร้อน จึงพยายามจะขัดขวาง ทำลายขบวนการเหล่านี้ ด้วยหาเหตุผลมาต่างๆ นานา มาโจมตี มาวิพากษ์วิจารณ์ นี่เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าศึกษา แต่พี่น้องจำไว้อย่างหนึ่ง ยิ่งมีคนพูดถึง ยิ่งมีคนโจมตี ยิ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์มาก ถ้าของแท้ ของจริงและเรายืนอยู่บนเหตุผลและหลักการที่ถูกต้องแล้ว เราย่อมไม่กลัวการวิพากษ์วิจารณ์และการทดสอบ ใช่ไหมครับพี่น้อง ยิ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์มากเท่าไหร่ยิ่งดีครับสำหรับผม ในทัศนะ มุมมองของผม เมื่อเราเสนอแนวทางและหลักการที่เราจะเคลื่อนไหวแบบนี้ เราคิดแล้วว่าเป็นผลดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อพี่น้องประชาชน ต่อบ้านต่อเมือง เราคิดคนเดียว เราคิดในกลุ่มของพวกเรา เราคิดว่าถูกต้อง แต่เราจะยืนยันว่าแนวคิดของเราถูกต้องหรือไม่ เราต้องสามารถตอบทุกคำถามที่มีคนมาโต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ และให้ประชาชน สาธารณชนเขาเป็นผู้ตัดสินด้วยเหตุด้วยผล จึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นเราไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ที่เราคิดจะทำอย่างนี้ มันถูก มันดี มันเลว มันมีผลดีผลเสียอย่างนั้นอย่างนี้จริงหรือเปล่า แต่คนบางคนพอถูกโต้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว ปรากฏว่าโดนทีเดียวหายจ้อยไปเลย ไม่มีปัญญามาตอบคำถาม คำที่ 2 คำที่ 3 ต่อมาได้อีก นั่นแสดงว่ามันของไม่จริง มันถึงไม่สามารถทานกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ การทดสอบได้

วันนี้ พวกเราพันธมิตรฯ พี่น้องประชาชนที่สู้อยู่ที่นี่ เรายืนอยู่บนเหตุผลและหลักการที่ถูกต้อง และยืนอยู่บนความจริง เราจึงไม่หวั่นไหวและวิตกหวาดกลัวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเราพร้อมจะตอบโต้ ชี้แจง อธิบายทุกเหตุผล ทุกคำถาม ทุกประเด็นอย่างไม่หวั่นไหวเลยครับพี่น้อง เช่นเดียวกันครับ วันนี้ที่คุณสนธิขึ้นมาพูดแล้วนั้น ก็มีประเด็นที่พี่น้องคงจะได้รู้เพื่อจะได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ผมขอพูดในส่วนนี้นิดนึง ความจริงแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนนั้น พี่น้องไม่ต้องกังวล หรือวิตกว่าเอ๊ะ ทำไมเราพูดถึงคนนั้น พูดถึงคนนี้ พูดถึงพรรคการเมืองใหม่ พูดถึงพี่สมศักดิ์ พูดถึงคนนี้ เวลานี้เรามีปัญหาอะไรกัน พี่น้องครับ ในทุกขบวนการ มีปัญหาภายในทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราเอาแว่น เอาสายตา เอาทัศนะ เอามุมมองไปมองอย่างไร และอยู่ที่ว่า เราจะจัดการกับปัญหาภายในขบวนการของพวกเราเองอย่างไร นี่หนึ่ง อันที่ 2 คือ ทุกขบวนการของการต่อสู้ มันจะต้องถูกหล่อหลอม ทดสอบ ท่ามกลางการต่อสู้ ใครจะเป็นผู้นำประชาชนที่แท้จริง มันต้องเกิดขึ้นจากการหล่อหลอมและทดสอบท่ามกลางการต่อสู้ และโดยการตรวจสอบของพี่น้องประชาชนเท่านั้น และทุกกลุ่ม ทุกองค์กร ทุกพรรค มันจะมีความคิด ความเห็นที่แตกต่าง และมีการโต้แย้ง ต่อสู้กันใน 2 แนวทาง 2 ความคิดอยู่เสมอ ไม่ว่าพรรคไหน แต่เมื่อเราได้ต่อสู้ทางความคิด ขจัดเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไปแล้ว เราจะเหลือแต่แก่น เมื่อเราทิ้งกากแล้วจะเหลือแต่แก่นแท้ เหมือนการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ วันนี้ ใครเป็นทองแท้ ใครเป็นเพชรแท้ ใครเป็นนักสู้จริง จะยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงไม่หวั่นไหวครับ ใครที่ของเก๊ ทองเปลว ทองปลอม เป็นบักห้อยบักโหน มันจะหลุดร่อนหลุดไหลไปท่ามกลางการต่อสู้ และกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของการต่อสู้ ทุกคนจะแสดงตัวตนออกมาว่า อ๋อที่มาสู้กับเขาเพราะอย่างนี้นี่เอง อ๋อที่มาห้อยมาโหนเขาเพราะอย่างนี้ พอได้สมประโยชน์แล้วก็เป็นอย่างนี้นี่เอง คุณจะได้คำตอบครับ

และเรื่องนี้ หลักการนี้ไม่ต้องไปมองคนอื่นนะครับ เอามาใช้กับพวกผมด้วย นายประพันธ์ คูณมี วันนี้ยืนอยู่ตรงนี้ อีกวันหนึ่งถ้านายประพันธ์ คูณมี มันกลืนน้ำลายตัวเอง มันทรยศต่อสิ่งที่มันพูด มันก็หมดอนาคต ฆ่าตัวมันตายเท่านั้นเอง เหมือนหลายคนที่ฆ่าตัวเองตายไปแล้ว ไม่อยากครับ ต่อให้คุณทำคุณงามความดีมา 100 ปี แหมปลุกระดมให้ความรู้ประชาชน พูดจามีหลักมีเกณฑ์ พอถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ เป็นไม้หลักปักขี้เลน กลืนน้ำลาย กลืนคำพูด ทำลายความเชื่อถือที่ตัวเองเคยพูดกับคนอื่นหมดสิ้น มันก็จบใช่ไหมครับพี่น้อง

ทีนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง พาดพิงผม 1.ผมเป็นคนเสนอคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ จริง และผมเป็นคนพูดคนแรก ที่เวทีปราศรัยที่หาดใหญ่ ผมลองโยนหินถามทาง เพราะว่าวันนั้นดูแนวโน้มแล้วพี่น้องคงอยากจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ผมก็มองแล้วว่า ใครเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ความเหมาะสม ที่จะเป็นผู้นำพรรค ถ้าจะมีการตั้งพรรค ผมก็นึกถึงคนที่เหมาะสมคือ คุณสนธิ ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ความรู้ความสามารถ ศักยภาพ บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ ความเป็นนักสู้ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชน พิจารณาเงื่อนไขคุณสมบัติร้อยแปดพันประการเทียบกับบุคคลต่างๆ ณ เวลานั้นแล้ว คุณสนธิเหมาะสมที่สุด ถามว่า ผมคิดว่าตัวผมเองรึเปล่า เปล่าเลย ผมคิดบนพื้นฐานผลประโยชน์พี่น้อง และขบวนการโดยส่วนรวม เมื่อ อ.ปานเทพ ทำผลสำรวจออกมา ผลสำรวจก็ตรงกับทัศนคติที่ผมพูด ที่ผมคิด แลว่า คุณสนธิติดอยู่ว่า เขาเคยประกาศว่าเขาจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ มาแล้วใช่ไหมครับพี่น้อง แต่เมื่อพี่น้องจะก่อตั้งขบวนการพรรคขึ้นมา เขาก็เลยยอมรับเป็นผู้นำในการก่อตั้ง ในการเริ่มแรก เพื่อให้การรวมกันเป็นพรรคมันสามารถจัดตั้งขึ้นมาได้ และเป็นปึกแผ่น มันก็สามารถจัดตั้งขึ้นมาได้ เป็นไปตามความต้องการของพี่น้องประชาชน นี่ประการที่ 1

และบอกด้วยความสัตย์จริง ที่ผมลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ผมลาออกเพราะผมศรัทธาต่อพลังพี่น้องประชาชน และศรัทธาพี่น้องพันธมิตรฯ และแกนนำพันธมิตรฯ รวมทั้งคุณสนธิที่ร่วมสู้ ร่วมเป็นร่วมตายกันมาด้วย เขาตั้งพรรค เขามาประชุมกันประมาณเดือน ก.ย.-ต.ค. ผมก็ต้องลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา เพราะพี่สนธิชวนมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ผมลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาคุณหญิงกัลยา โสภณพานิช ถ้าผมอยู่ไปจนถึงเดือน ธ.ค. ผมก็ได้สายสะพายครับพี่น้อง ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย หลายคนที่อยากเป็น ส.ส. หรือแม้กระทั่งผ่านเวทีนี้ ก็กระสันต์อยากได้สายสะพายครับพี่น้อง แต่ผมเห็นว่า ความจำเป็นของบ้านเมือง และความจำเป็นของพี่น้องประชาชนเรียกร้องเวลานั้นว่า เราอยากจะสร้างพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา ผมก็ยอมลาออกมาจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี และไม่คิดเลยเรื่องสายสะพาย ผมได้เครื่องราชตอนเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ได้เหรียญชั้นสูงสุด แต่ถ้าได้อีกชั้นหนึ่งก็จะได้สายสะพาย ผมก็สละมา สละเงินเดือนตำแหน่งที่ปรึกษา ลาออกมา ผมไม่ติดยึดกับตำแหน่ง แต่ผมติดยึดกับภารกิจและความผูกพันกับพี่น้องประชาชน ผมจึงมาครับ และมาด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มาเพราะความไม่พอใจแค้นเคืองใครเป็นส่วนตัวในพรรคประชาธิปัตย์ และไม่ได้ออกมาเพราะว่าพรรคขับผมออกเหมือนที่นายศิริโชค โสภา ปากเสีย และผมก็ฟ้องไปแล้วครับ นี่คือที่มา

แล้ว 2.เมื่อคุณสนธิลาออกไป เมื่อลาออกไปแล้วพรรคการเมืองใหม่จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ทุกคนมองหาหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ มีการสำรวจความคิดเห็นเหมือนกันว่าใครเหมาะสมที่จะเป็น เราพยายามจะเชิญชวนบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค ที่คิดว่าเหมาะสม แต่บุคคลภายนอกติดปัญหาบางอย่างบางประการ ไม่พร้อม ในที่สุดก็เหลือคนภายในที่จะสมัคร ผมยอมรับว่าตอนนั้นพี่น้องประชาชนสนับสนุนอยากให้ผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ นี่คือความจริง แต่พี่สมศักดิ์ก็อยากเป็น นี่ก็พูดตามความจริง อยากเป็นตั้งแต่ก่อตั้งครั้งแรก แต่ทานกระแสที่พี่สนธิจะเป็นหัวหน้าพรรค และเป็นเสียงเรียกร้องของพี่น้องประชาชนไม่ได้ พี่สมศักดิ์ก็ยอมเปิดทางออกมา เมื่อเป็นดั่งนี้มันก็ต้องลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งกันในที่ประชุมใหญ่ ผมไม่เข้าข้างตัวเอง ถ้าซาวเสียงกันไป เลือกตั้งกันไป มันไม่รู้ผลจะออกมาอย่างไร ออกมาถ้าผมแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพี่สมศักดิ์โหวตแล้วแพ้ผม พี่สมศักดิ์เป็นผู้ใหญ่ อาวุโส มันจะดูไม่งาม ในสายตา ในมุมมองของผม แต่เพื่อความเหมาะสม เราก็ดูไปจนถึงนาทีสุดท้าย 5 แกนนำเขาไปปรึกษาหารือกัน ดูแล้วถ้าแข่งขันกัน ดูท่าว่าไม่รู้จะออกหัวออกก้อย มีคนกังวลว่าพี่สมศักดิ์อาจไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค อาจจะแพ้โหวตผม เอาง่ายๆ อย่างนี้แล้วกัน ก็มีการประสานงานให้ 5 แกนนำมาคุยปรึกษาหารือกัน พี่สนธิก็พูดไปแล้วเมื่อกี้ว่า ถามคุณสมศักดิ์ว่าอยากจะเป็นหัวหน้าพรรคใช่ไหม ครับน้องพี่อยากเป็น ฟังแล้วใช่ไหมเมื่อกี้ เอาเมื่อพี่อยากเป็นงั้นก็เป็น แต่ว่าเป็นแล้วเป็นชั่วคราวนะ ถ้าถึงเลือกตั้งทั่วไปพี่ต้องลาออกเพื่อหาคนที่เหมาะสมมาเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 เพื่อแข่งขันเป็นนายกฯ กับพรรคการเมืองอื่น มันถึงจะเหมาะสม สมศักดิ์ศรี และสู้กับเขาได้ เขาคุยกันอย่างนั้นใน 5 แกนนำ อันนี้ผมพูดตามความจริง แล้วหลังจากเขามีมติหารือกันอย่างนั้นแล้ว ตอนอยากเป็นหัวหน้าพรรคก็มาคุยปรึกษาหารือใน 5 แกนนำใช่ไหม เมื่อ 5 แกนนำเปิดทางให้ พี่สมศักดิ์เป็นหัวหน้าพรรค พี่สนธิเป็นคนมาคุยกับผมเองว่า ประพันธ์เราถอยออกมาดีกว่า ปล่อยให้พี่สมศักดิ์เขาบริหารพรรค แล้วประพันธ์มาทำรายการ ดูสักระยะหนึ่งให้เขาขับเคลื่อนพรรคเดินไป เราช่วยเขาอยู่ข้างนอก ผมด้วยความเคารพ และให้เกียรติ 5 แกนนำ และให้เกียรติพี่สมศักดิ์ ผมจึงประกาศถอนตัวในที่ประชุมใหญ่ของพรรค ที่สนามกีฬา พี่น้องจำได้ไหมครับ นี่คือน้ำใจของผม ด้วยความเคารพ ผมก็ไม่สมัคร ผมถอนตัวออกมา มาทำรายการที่ ASTV ก็ทำรายการปากกล้าขาไม่สั่น แล้วเฝ้าดู ติดตามการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง ด้วยการเอาใจช่วย จัดงานระดมทุนหาเงิน ผมก็ช่วยซื้อ อะไรที่ช่วยได้ผมก็ช่วย ไม่เคยทอดทิ้งพี่น้อง แต่มาวันนี้ สถานการณ์พี่น้องส่วนใหญ่เห็นว่า พรรคการเมืองใหม่ควรเข้าสู่กระบวนการรณรงค์โหวตโนเพราะอะไร เราก็สาธยายอธิบายไปแล้ว และเขาไปประชุมปรึกษาหารือกัน ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ก็มีความเห็นแบบนี้ 5 แกนนำก็มีความเห็นแบบนี้ โดย 4 ท่าน คุณสมศักดิ์รับว่าจะเอาความเห็นนี้ไปหารือในที่ประชุมพรรค โดยไม่ปฏิเสธความเห็น แสดงว่าโดยส่วนใหญ่ผ่านกระบวนการปรึกษาหารือกันมาเรียบร้อยแล้วว่า เราจะเข้าสู่กระบวนการโหวตโน เพราะสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างไร เป็นไปเป็นมาอย่างไร มีเหตุมีผลอย่างไร เราพูดกันมามากแล้ว

เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เป็นการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของพรรค และแกนนำกับมวลชน มีความเห็นตรงกัน คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ก็มีความเห็นตรงกัน มันจึงเกิดเป็นประชามติของพวกเราที่จะเดินเข้าสู่กระบวนการรณรงค์โหวตโน เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และการเมืองไทยครับพี่น้องครับ ถ้าเราเอาพรรค เอาพี่น้องประชาชนลงไปสู่กระบวนการเลือกตั้งในสถานการณ์ขณะนี้ มันจะเป็นผลเสียหาย เท่ากับรองรับกระบวนการรับรองคนเลวให้มาปกครองบ้านเมือง นี่จึงเป็นที่มาที่ไป ไม่ใช่สนธิจะมาชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันใครได้ เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริง ความเป็นไปเป็นมามันเป็นอย่างนี้ แล้วพรรคการเมืองใหม่ และพันธมิตรฯ เป็นพรรคของประชาชน เป็นการต่อสู้การเมืองภาคประชาชน เราไม่กลัวความจริง ความจริงของเราเป็นอย่างไรเราก็พร้อม และต้องบอกประชาชนว่า อะไรจริง อะไรเท็จ อะไรถูก อะไรผิด และประชาชนตัดสินเอง เพราะฉะนั้นพรรคอื่นเขาก็มี พรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ก็ขัดแย้ง แตกเป็นก๊กเหมือนกัน รอเวลาระเบิดเหมือนกัน ระหว่างก๊กสุเทพ-อภิสิทธิ์ กับอีกก๊กหนึ่งที่ไม่เอาสุเทพกับอภิสิทธิ์ พรรคชาติไทยก็มีก๊ก พรรคภูมิใจไทยก็มีก๊ก ทุกคนมีก๊กสู้กันภายในพรรคทั้งนั้น แต่เราสู้กันในทางความคิด เรายึดผลประโยชน์ชาติ ผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ยึดผลประโยชน์ของใครส่วนตัว ใครยึดผลประโยชน์ส่วนตัวจะต้องแพ้พ่ายพลังพี่น้องประชาชน

นี่คือที่ไปที่มา เพราะฉะนั้นที่พาดพิงถึงผม ผมต้องชี้แจงให้พี่น้องเข้าใจว่า ผมไม่ได้มาเพราะกระสันต์อยากจะมาเป็นอะไร แต่จะเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรขึ้นอยู่กับเสียงเรียกร้องและความเหมาะสมที่พี่น้องประชาชนเห็นว่า ผมจะทำประโยชน์อะไรให้กับชาติบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนได้ อยู่ที่พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสิน ดังนั้นการจะมากล่าวหาว่า 5 แกนนำ ไปสั่งพรรคการเมืองใหม่ อย่างที่ นายไชยวัฒน์ สุรวิชัย เขียนบทความ หรือกล่าวหาว่าคุณสนธิ เถ้าแก่ เป็นคนสั่งให้ไปยึดพรรคการเมืองใหม่ ผมคิดว่าเป็นทัศนคติที่มีอคติ และเป็นความคิด ความเข้าใจที่ผิดของผู้เขียน ซึ่งไม่รู้ว่า ตัวเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ แต่ทำไมออกอาการร้อนรน กระเสือกกระสนอยากให้พรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัครมากเกินกว่าสมาชิกพรรค และกรรมการบริหาร และคนของพรรคการเมืองใหม่ ด้วยซ้ำไป แปลกไหมครับ สมาชิกพรรคก็ไม่เป็น พอเขามีมติไม่ลง ประชาชนพี่น้องมีมติไม่เห็นด้วยในการส่งผู้สมัคร กลับกลายเป็นคนที่เดือดร้อน เขียนบทความโจมตี วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง อันนี้รู้สึกจะเสียมารยาทไปหน่อยนะครับ แล้วปล่อยข่าวว่า คุณสนธิสั่งแกนนำ จะสั่งพรรคได้อย่างไร เวลาอยากเป็นหัวหน้าพรรคทำไมมาขอฉันทามติจาก 5 แกนนำ แล้วเวลา 5 แกนนำกับพี่น้องประชาชนเขามีฉันทามติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำไมไม่ฟังพี่น้องประชาชนเล่า หรือฟังเฉพาะตอนอยากจะเป็นหัวหน้า พอประชาชนมีเหตุมีผล มีข้อเรียกร้องไปให้พิจารณา กูไม่ฟัง หาว่าประชาชนจัดตั้งไปบงการพรรคการเมืองใหม่ จะไปยึดพรรคการเมืองใหม่ ไปยึดทำไมก็พรรคการเมืองใหม่เป็นของพวกเราอยู่แล้ว ทั้ง 5 แกนนำ และพี่น้องประชาชน เป็นตัวแทนความคิดและเจตจำนงที่จะไปบอกว่า วันนี้พรรคควรจะเดินแนวทางอะไร ควรจะทำอะไรที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนเท่านั้นเองครับ และพรรคการเมืองที่ดี ผู้นำที่ดี ต้องฟังเสียงของพี่น้องประชาชน ฟังความเรียกร้องต้องการของประชาชน ไม่ใช่มาวันนี้ มาทำตัว นี่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ยังไม่ได้เป็นนายกฯ นะ ก็พูดเหมือนอภิสิทธิ์ อภิสิทธิ์บอก เรื่องดินแดน เรื่องอธิปไตย เรื่องเอ็มโอยู อั๊วะไม่เลิก ลื้อเป็นประชาชนจะมาพูดอะไร อั๊วะเป็นรัฐบาลอั๊วะมีอำนาจตัดสินใจ มันก็ไม่ต่างกัน ถ้าจะบอกว่า เสียงพี่น้องประชาชนไม่มีความหมาย เป็นแต่เพียงมารับฟังเฉยๆ อำนาจตัดสินใจ สิทธิ์ขาดอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค ใช่ครับ อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค ก็เหมือนรัฐบาลพูดวันนี้ ก็ไม่เป็นไร อำนาจสิทธิ์ขาดอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค กูจะตัดสินใจอย่างไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงประชาชน ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงสมาชิกส่วนใหญ่ ก็เชิญพ่อเจ้าประคุณทำไปซิครับ แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง

มันไม่มีนักการเมืองคนไหนที่ทรยศประชาชนและยืนตรงกันข้ามกับประชาชนแล้วจะประสบความสำเร็จ ขนาดว่าเราไม่ใช่พันธมิตรฯ เรายังต้องไปกราบเขาเพื่อขอคะแนนเสียง ขอความนิยม ขอการสนับสนุน นี่พี่น้องของเราซึ่งสนับสนุนเราอยู่แล้ว คุณยังทำลาย ยังไม่เคารพความคิดเห็น เอาความคิดเห็นของตัวเองส่วนน้อย กรรมการบริหารเป็นคนส่วนน้อย 10 กว่าคนเท่านั้น แล้วไม่ฟังความคิดเห็นของสมาชิกส่วนใหญ่ กรรมการบริหารก็ไม่มีความหมายอะไร เหมือนนายกรัฐมนตรีไม่ฟังเสียงประชาชน ประชาชนยังตะเพิดไล่ได้เลย ตรงนี้จึงเป็นข้อเตือนใจว่า คนเรายังไม่ได้เป็นอะไรยังเป็นอย่างนี้ ส.ส.ก็ไม่ได้เป็น รัฐมนตรีก็ยังไม่เป็น อำนาจอะไรยังไม่มี ยังไม่เคยสัมผัสเก้าอี้ ส.ส. เก้าอี้รัฐมนตรีเลย ก็ยังลืมพี่น้องประชาชนอย่างนี้มันไม่ได้ ก็ต้องพิจารณาตัวเองแล้วกัน

ส่วนประเด็นที่อยากจะพูดวันนี้ ความจริงแล้วมีคนพยายามเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ มีอยู่ไม่กี่บทความ ไม่กี่คอลัมน์ที่เขียนถึงพวกเรา คอลัมน์ที่เขียนประจำและกลายเป็นหัวหอกขณะนี้ ก็คือ คอลัมน์กวนน้ำให้ใส ของสารส้ม หนังสือพิมพ์แนวหน้า ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่อยู่ในเครือข่ายของ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ขณะนี้มีคอลัมน์นี้ที่เป็นหลักอยู่ พยายามจะหาบทความ หาข้อเขียนของคนอื่นที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์พวกเรามาลงเพื่อต่อต้านกระแสโหวตโนของพวกเรา เพราะเจิมศักดิ์ทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ ถามผมนี่ และเจิมศักดิ์เป็นผู้จัดการฝ่ายการประชาสัมพันธ์ ที่สร้างอิมเมจให้นายอภิสิทธิ์ เขาเรียกว่า อิมเมจเมกเกอร์ รับทำงานให้นายอภิสิทธิ์มานานแล้วครับ จะพูดให้ซะ โดยทำงานกับ เถกิง สมทรัพย์ ทำงานกับอนิก อัมระนันทน์ ภรรยาของนายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายเจิมศักดิ์รับจ๊อบเป็นที่ปรึกษา ทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมจะบอกให้ ผมอยู่ในพรรคนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นวันนี้ อภิสิทธิ์หมดลายแล้ว หมดน้ำยาแล้ว ไม่มีความสามารถจะตอบโต้อะไรกับพวกเราได้แล้ว จึงใช้เจิมศักดิ์ออกมาตอบโต้ เพราะเขากลัวกระแสโหวตโนจนขี้ขึ้นสมองแล้วครับ เขากลัวมาก จนกระทั่งโฆษกพรรค หมอท็อปออกมาขอให้พันธมิตรฯ ทบทวนกระแสโหวตโน จะต้องทบทวนอะไร คุณควรไปบอกหัวหน้าพรรคคุณ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทบทวนการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของคุณต่างหาก อะไรคุณก็ไม่ทำ เขารบ เขายิงกัน เขาฆ่าเขาแกงกันจะตาย กัมพูชารุกรานแผ่นดินไทย ลื้อก็มุดหัวอยู่ในทำเนียบแล้วก็เข้าบ้านสุขุมวิท ประชุมก็ใช้คอนเฟอเรนซ์ ไม่กล้าออกไปเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน เป็นนายกฯ เป็นผู้นำประเทศประสาอะไรครับพี่น้อง แล้วจะเรียกร้องให้ประชาชนทบทวน เขาจะทบทวนอะไร มีแต่เขาจะเดินหน้าโหวตโน

เพราะฉะนั้นวันนี้คนที่เดือดร้อนที่สุด พยายามจะออกมาเขียนบทความตอบโต้วิพากษ์วิจารณ์ เคาน์เตอร์กับพวกเรานั้น ก็มีอยู่ไม่กี่คน คนหนึ่งก็คือ เขาเอาบทความของ อ.วิทยากร เชียงกูล มาลง ความจริงแล้ว อ.วิทยากร เชียงกูล เป็นคนที่ใช้ได้ เป็นนักวิชาการก้าวหน้าคนหนึ่ง และมีจุดยืนทางการเมืองที่เป็นตัวของตัวเอง แต่ว่าในกรณีที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องโหวตโน อ.วิทยากร เชียงกูล ยังมองปัญหาไม่รอบด้าน และยังเข้าใจความนึกคิดของพี่น้องประชาชนไม่รอบด้าน นี่เราต้องพูดกันแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้มาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อด่า อ.วิทยากร ไม่ได้ประณามอะไร แต่ว่า โดยความคิดของอาจารย์นั้น มันแตกต่างกัน เพราะว่า อาจารย์บอกว่า การรณรงค์โหวตโนกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใคร เป็นยุทธศาสตร์ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะได้ผลลบมากกว่าผลบวก อาจารย์ว่าไปนั่น นี่ข้อที่ 1 ความจริงแล้วอาจารย์ช่วยกรุณาบอกพวกเราทีว่า ที่จะได้ผลลบมากกว่าผลบวกนั้น ผลลบมันคืออะไร ผลบวกมันคืออะไร และอะไรคือความเสียหาย พูดลอยๆ อย่างนี้ผมยังคิดไม่ออกว่า การที่ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้วกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนนั้น ผลลบจะมากกว่าผลบวกได้อย่างไร ผลเสียมันเสียหายอย่างไร ผมไม่ทราบครับ แต่ผลเสียหายแน่ๆ ก็เสียหายกับนักการเมือง เพราะเป็นการแสดงออกว่า ประชาชนไม่สนับสนุนพรรค และนักการเมืองปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้อาจารย์บอกว่า คำอธิบายของแกนนำพันธมิตรฯ ว่าโหวตโน ไม่มีเหตุผลและพยานหลักฐานในเชิงวิชาการสนับสนุนเลยว่า โหวตโนจะก่อให้เกิดการปฏิรูปในแบบไหน และอย่างไร ผมจะบอกอาจารย์ว่า นักวิชาการท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์เอาไว้ และเป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง อ.วิทยากร ลองไปอ่านดู ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์รัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์ บอกว่า หากผลการเลือกตั้งออกมาว่า มีผู้ใช้สิทธิ์ทำเครื่องหมาย หรือกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนสูงมาก ย่อมสะท้อนมิติทางสังคมที่ประชาชนจำนวนมากแสดงออกมาในรูปโหวตโน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากภาวะถดถอยในด้านความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมือง หรือนักการเมือง โดยแสดงออกจากการใช้สิทธิ์ออกเสียงไม่สนับสนุน ยิ่งเป็นการเลือกตั้งที่มีคู่แข่งน้อย หรือไม่มีคู่แข่งในระดับเดียวกันเลย แม้จะมีพรรคที่ชนะ แต่หากผลคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใครสูงมาก ยิ่งสะท้อนภาพชัดเจนถึงระดับการไม่สนับสนุนที่มีสูงมาก การโหวตโนจึงเป็นการแสดงออกของประชาชนที่ไม่สนับสนุนพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่มีผลในการปฏิเสธและต่อต้านนักการเมืองที่ประชาชนเห็นว่าไม่เหมาะสมจะมาบริหารปกครองประเทศ ครับอาจารย์ครับ และถ้าการแสดงออกมีจำนวนมากขึ้น ก็ยิ่งมีนัยสำคัญที่ประชาชนสามารถรวมพลังนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพื่อประโยชน์ชาติ ประโยชน์ประชาชนได้ เช่นเดียวกับการชุมนุมของพี่น้องประชาชน ก็มีพลังในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้เช่นกันครับ

เพราะฉะนั้นในทางวิชาการอธิบายได้อยู่แล้ว ในทางเหตุผล วิทยาศาสตร์ สังคม ก็อธิบายได้อยู่แล้ว ทำไมอาจารย์บอกไม่มสีหลักฐาน ซึ่งตรงนี้อยากจะกราบเรียนอาจารย์ว่า การปฏิรูปประเทศไทยเกิดขึ้นทุกครั้ง เกิดจากการลุกฮือขึ้นสู้ของพี่น้องประชาชนทั้งนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์ 14 ต.ค. เหตุการณ์เดือน พ.ค. รวมกระทั่งถึงเหตุการณ์ 193 วัน จึงนำมาสู่การเรียกร้องให้าการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครับพี่น้อง

ส่วนประเด็นที่ 3 ท่านบอกว่า การโหวตโนมันเป็นความเพ้อฝันของพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯ ค่อนข้างเพ้อฝันว่า หากโหวตโนมีมากกว่าคะแนนที่คนเลือกนักการเมืองในเขตนั้น หรือทั้งประเทศ แสดงว่าประชาชนปฏิเสธนักการเมืองในระบบเลือกตั้งปัจจุบัน และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบใหม่อย่างสำคัญ ความจริงทางการเมือง ท่านบอกว่าเรามีแนวร่วมลดลงกว่าการชุมนุมต่อต้านทักษิณมาก คงจะโน้มน้าวให้คนไปกาไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใครได้ไม่มากนัก อาจารย์ก็คอยดูแล้วกันนะครับว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คนไม่ประสงค์ลงคะแนนจะมากกว่าทุกครั้งหรือไม่ครับ แล้วถ้าหากมากกว่าทุกครั้งล่ะ อาจารย์จะแสดงความรับผิดชอบทางวิชาการอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าหากว่า มันมีอย่างเดียวว่า เราเพ้อฝัน หรืออาจารย์เพ้อฝันว่าจะไม่มีคนไปกาลงคะแนนโหวตโน ทั้งๆ ที่แม้ไม่รณรงค์คนไม่ประสงค์ลงคะแนนก็มีไม่น้อยกว่า 5% แล้วครับในวันนี้ ยิ่งดูผลสำรวจของเอแบคโพลล์ และโพลล์ทุกสำนัก มีไม่น้อยกว่า 40-60% ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร และ 30% ไม่ประสงค์เลือกพรรคใดเลยครับ นี่สะท้อนอยู่แล้วว่า เราไม่ได้คิดบนความเพ้อฝัน แต่เราคิดบนความรู้สึกนึกคิดของพี่น้องประชาชน ณ ขณะนี้ว่า เขารู้สึกไม่พอใจ เบื่อ และรังเกียจระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ปกคลุมไปทั่วทั้งประเทศ ครับอาจารย์ เพราะฉะนั้นผลโพลล์ถึงออกมาแบบนี้

ส่วนประเด็นต่อมา ท่านบอกว่า ในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมียุทธศาสตร์สำคัญเรื่องโหวตโนเลยว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ท่านยกตัวอย่างว่า การเลือกตั้ง 49 มีผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งโหวตโน เหตุที่เปลี่ยนแปลงเพราะศาลมีคำพิพากษาให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะแต่ทำไมอาจารย์ต้องตัดตอน ก่อนรณรงค์ให้โหวตโน และรณรงค์กดดันให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยไม่ส่งลงเลือกตั้งนั้น มันเป็นผลมาจากการกดดันของพี่น้องประชาชนก่อนไม่ใช่หรอครับ มันมาจากการเรียกร้อง กดดันของพี่น้องประชาชนที่คัดค้านระบอบทักษิณ พรรคการเมืองเหล่านี้เห็นแล้วว่า ทักษิณยุบสภาเอาเปรียบ ประกอบกับประชาชนทั้งประเทศไม่พอใจการเลือกตั้งที่ทักษิณรีบยุบสภาชิงความได้เปรียบ ประชาชนกดดันให้พรรคทั้งหลายอย่าลงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์อยากได้คะแนนเสียงจากประชาชน จึงไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วจึงรณรงค์ให้โหวตโน และที่ศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ก็เพราะกระแสการต่อสู้ของพี่น้องประชาชน ที่ลุกขึ้นมาสู้กับระบอบทักษิณอย่างมืดฟ้ามัวดินไม่ใช่หรอครับอาจารย์ครับ บ้านเมืองถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง ระบอบทักษิณถึงถูกทลายลงไป เพราะฉะนั้นท่านจะดูถูกดูแคลนพลังของพี่น้องประชาชนไม่ได้ แบะที่บอกว่า การโหวตโนไม่เคยมียุทธศาสตร์การเมืองในประเทศใดเลยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยทำมาแล้ว และเรื่องที่ไม่เคยทำก็สามารถทำขึ้นมาได้ เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของประเทศไทย และประชาชนไทยได้ครับพี่น้อง ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ไม่เคยทำ ยิ่งเรื่องไม่เคยทำเรายิ่งต้องทำและต้องคิด เพราะเรื่องอะไรที่เคยทำและซ้ำรอยนั้น นักการเมืองก็จับทางได้ ก็ดักทางถูกใช่ไหมครับ โหวตโนจึงเป็นเรื่องที่ภาคประชาชนคิดขึ้นมา โดยนักการเมืองดักทางไม่ถูก ไม่คิดว่าเราจะงัดกลยุทธ์นี้ขึ้นมาสู้

ส่วนประเด็นต่อมา ท่านบอกว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี่ต่างจากการเลือกตั้ง 49 ผมไม่ปฏิเสธต่างกันแน่ แต่ไม่ต่างกันตรงที่เลือกใครก็อัปรีย์ไปจัญไรมา เท่านั้นเองครับพี่น้องครับ มันไม่ลงเลือกตั้งพรรคเดียว มี 2 ขั้ว แต่ทั้ง 2 ขั้วก็อัปรีย์ไปจัญไรมา เลวพอๆ กัน เพราะฉะนั้นการที่ประชาชนกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใครนั้น มันจึงเป็นสิทธิ์ของพี่น้องประชาชน ที่เขาจะแสดงการปฏิเสธนักการเมือง และพรรคการเมืองที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นที่น่ารังเกียจและไม่เหมาะสมจะกลับมาปกครองบ้านเมืองทั้ง 2 ขั้ว เพราะฉะนั้นการที่ท่านประเมินว่า คนที่จะไปลงคะแนนเลือกตั้งคงไม่ถึง 10% ก็เป็นทัศนคติของอาจารย์ แต่ว่าถึงวันนั้นอาจารย์จะรู้เองว่า ถ้ามันมากกว่า 10% ล่ะครับ อาจารย์จะหักปากกาแล้วเลิกสอนหนังสือไปเลยรึเปล่าล่ะ แต่อย่างไรก็ตาม มันจะมากหรือมันจะน้อยเพียงใด แต่อย่างน้อยเราได้แสดงออกแล้วว่า มือของเรา สิทธิ์ของเราไม่สนับสนุนคนเลวคนชั่วให้มาปกครองบ้านเมือง นี่เราก็สุขใจแล้วใช่ไหมครับพี่น้อง แต่เรายังเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมรับระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ ก็พร้อมแสดงออกร่วมกับเรา แม้กระทั่งในวันที่ไม่มีการรณรงค์ก็ยังมีไม่น้อยกว่า 5-6% ถ้ามีการรณรงค์เราเชื่อแน่ว่า มันต้อง 10% บวกๆ ขึ้นไปแน่นอน ซึ่งถ้ามีผู้ไปใช้สิทธิ์ 30 ล้านคน 10% ก็ 3 ล้านแล้วครับ แล้วถ้ามีคนไปโหวตโน 10% 3 ล้าน คะแนนโหวตโน 3 ล้าน จะตัดคะแนนที่จะโหวตให้พรรคต่างๆ ลดลงไปด้วย ไม่ได้หมายความว่า คะแนนของพรรคเหล่านั้นจะหยุดอยู่ที่เดิมครับพี่น้อง ถ้าคะแนนโหวตโนเพิ่มขึ้น คะแนนโหวตปาร์ตี้ลิสต์ให้พรรคอื่นๆ จะลดลง เพราะคะแนนเหล่านั้นถูกดึงมาอยู่ที่โหวตโนแล้ว ถ้าหากมากกว่า 10% เป็น 15% ทุกคะแนนที่โหวตโนเพิ่มขึ้น มันจะตัดคะแนนของพรรคและนักการเมืองให้ลดลงโดยลำดับ ขณะนี้ประเมินได้ว่า จะมีผู้ไปใช้สิทธิ์จริงๆ ไม่เกิน 70% ถ้า 70% โหวตโนซะ 15% มีผู้ลงคะแนนให้พรรคต่างๆ ก็ต้องเหลือ 55% ถ้า 55% ตัดไปอีก 20% หรือ 15% โหวตฆ้พรรคอื่นๆ ก็จะเหลือพรรคหลัก ประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทย อยู่ 30% อาจจะแบ่งกันคนละ 15% แล้วพี่น้องลองคิดดูว่า ถ้าคะแนนโหวตโนสูสีกับพรรคประชาธิปัตย์ สูสีกับพรรคเพื่อไทย เขาอาจจะได้ 15% เราอาจจะ 12-13% หรือเราอาจจะได้ 15 เขาอาจจะได้ 12-13% มันย่อมมีความเป็นไปได้ และวันนั้นจะเป็นตัวชี้วัดว่า ประชาชนปฏิเสธการสนับสนุนพรรคการเมืองและนักการเมือง อย่างมีนัยสำคัญ และหลายพรรคอาจจะแพ้คะแนนโหวตโนอย่างพวกเราด้วยซ้ำไป ถ้าเรามีกว่า 10% เราจะเป็นคะแนนของพรรคโหวตโนที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุด และมีอำนาจต่อรองในทางสังคมที่มีพลังมากที่สุดครับ

น้องๆ เขียนมาบอกว่า ขณะนี้ อ.เจิมศักดิ์ กำลังออกรายการตอบโจทย์ ชี้แจงเรื่องชกข้ามรุ่น ไม่ได้กล่าวหา แต่รู้ว่าประพันธ์มีพฤติกรรมอย่างนั้นหรือเปล่า ความจริงเทปนี้ผมฟังแล้ว วันนี้รายการตอบโจทย์เขาเอามาออกเฉยๆ แล้วพยายามชี้แจงว่า ทำไมวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ ทำไมสนับสนุนอภิสิทธิ์อย่างเดียว ประเด็นนี้ผมพูดแล้ว ใครดูรายการตอบโจทย์ก็ดูได้ ฟังประพันธ์ไปได้ เปิด 2 จอก็ได้นะครับ แล้วเขาจะมีวันพรุ่งนี้อีกตอน ของผมคงออกวันพฤหัสฯ แล้วเขาคงสัมภาษณ์คุณสนธิในประเด็นนี้ ซึ่งผมตอบไปแล้ว

พี่น้องครับ ข้อเขียนของ อ.วิทยากร เชียงกูล ด้วยความเคารพ ท่านพยายามจะเสนอการปฏิรูปการเมือง ว่าการปฏิรูปการเมืองนั้น ระบบอื่นปฏิรูปไม่ได้ต้องระบบเลือกตั้งเท่านั้น เพราะว่าถ้าระบบอื่นมันจะมีลักษณะเป็นชนชั้นนำนิยม ไม่มองการปฏิรูปจากล่างขึ้นบน คือภาคประชาชนอย่างแท้จริง ผมอยากจะกราบเรียนอาจารย์ครับ ถ้าอาจารย์มีความศรัทธาในการจะปฏิรูปประเทศชาติจริง อาจารย์แค่ฝากความหวังและอนาคตไว้กับการเลือกตั้ง อาจารย์ก็ผิดแล้วครับ ไม่รู้ว่าใครจะเพ้อฝัน เพราะผมไม่เชื่อว่าการเมืองในระบอบเลือกตั้ง โดยเฉพาะที่มีนายอภิสิทธิ์มาแหลอยู่ อีก 100 ชาติก็ปฏิรูปบ้านเมืองไม่ได้ นายอภิสิทธิ์พูดเรื่องปฏิรูปตั้งแต่มาเล่นการเมืองแล้ว เป็น ส.ส.มากี่สมัย มาวันแรกรับพระบรมราชโองการ ก็ประกาศว่า แถลงเป็นครั้งแรกหลังจากรับพระบรมราชโองการว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกาศจะยึดหลักนิติธรรมนิติรัฐ สร้างสามัคคีในชาติ ให้สัญญาว่าจะรับใช้พี่น้องทุกภาค จะเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก และจะนำพาประเทศชาติให้พ้นจากการเมืองล้มเหลว แต่ปรากฏว่า มาถึงวันนี้จนจะเลือกตั้งใหม่แล้ว การปฏิรูปยังไปไม่ถึงไหนเลย แล้วทำไมอาจารย์ยังหวังกับนักการเมือง นักเลือกตั้ง ว่าจะนำการปฏิรูป ที่เรากำลังรณรงค์อยู่นี่แหละคือการปฏิรูปจากล่างสู่บน คือจากประชาชนขึ้นไปสู่ระดับบริหารประเทศ โครงสร้างชั้นบน เมื่อประชาชนตื่นแล้วและเป็นพลัง จึงจะนำไปสู่การปฏิรูป ถ้าอาจารย์ก็ดี อ.ประเวศ ก็ดี ท่านอานันทน์ ปันยารชุน ก็ดี อยากจะปฏิรูปประเทศ มันต้องสามัคคีกับพลังของพี่น้องประชาชน จึงจะเกิดการปฏิรูป ไม่ใช่รับใช้นักเลือกตั้ง นักการเมือง การได้งบประมาณ 600 ล้าน ที่นักการเมืองโยนให้ แล้วได้ทำงาน จัดประชุม ทำงานในทางความคิด ทางปัญญา ทำเปเปอร์มาเล่มหนึ่ง มันไม่มีวันปฏิรูปสำเร็จหรอก การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนลุกขึ้นมาร่วมมือกันกับปัญญาชนที่มีความคิดปฏิรูปการเมืองเท่านั้นครับ จึงจะเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้นมุมมองอย่างนี้เป็นมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างอาจารย์กับพวกเรา เพราะฉะนั้นเรื่องโหวตโนนั้น เรามีความชัดเจน เราไม่ได้เพ้อฝัน เราไม่ได้อุดมคติลอยๆ เราไม่ได้คิดแบบโรแมนติก แบบมีความสุขเพ้อเจ้อ ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีความคิดเพ้อเจ้อ มีอุดมคติเลื่อนลอย มักจะเป็นนักวิชาการที่อยู่บนหอคอยงาช้างตีนไม่ติดดิน ไม่ได้คลุกคลีกับการต่อสู้กับประชาชน จะเป็นพวกเพ้อฝันซะมากกว่า เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเรามีมุมมองต่างกันได้ ท่านก็มีมุมมองของท่านผมก็เคารพ แต่ถ้าผมไม่เห็นด้วย ท่านก็ต้องเคารพความเห็นของพวกผมด้วยเช่นกัน เมื่อท่านอยากให้เราเคารพความคิดเห็นท่าน ท่านก็ต้องเคารพความคิดเห็นของพวกเราเช่นกัน และพวกเรามีเหตุผลในเชิงหลักการ วิชาการ พร้อมจะตอบโต้ ชี้แจง แลกเปลี่ยนได้ทุกวเทีครับพี่น้องครับ ไม่มีปัญหาเลย

ทีนี้มาพูดถึงบทความของคุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผมคิดว่า เป็นบทความที่น่ารังเกียจ เพราะ 1.คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย เคยเป็นคนที่ผ่านการต่อสู้ในยุค 14 ต.ค.และผ่านการต่อสู้ร่วมกับพี่น้องประชาชนมาบ้าง บนเวทีนี้เคยมาขึ้นเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เข้าใจ และ 2. ทุกเวทีที่มีพรรคการเมือง คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย มักเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้องแวะเสมอ สมัยพรรคพลังธรรม ก็เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่พรรคหนึ่ง จนกระทั่งยุบพรรคไป ท่าน พล.ต.จำลอง ก็ทราบดีว่า ในยุคสมัยที่คุณวัยวัฒน์ สุรวิชัย ไปอยู่ในพรรคพลังธรรมนั้นเป็นอย่างไร พล.ต.จำลอง บอกผมแล้ว แต่ผมไม่อยากพูดถึง เอาว่า วันนี้คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย มาอยู่ที่พรรคการเมืองใหม่ มาอยู่ในฐานะอะไร ทราบว่า มาทำตัวเป็นนักวิชาการในพรรคการเมืองใหม่ แต่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรค ไปเร่ขายความคิดในเชิงวิชาการที่นู้นที่นี่แล้วก็มาที่พรรคการเมืองใหม่ เขาก็มีกิจกรรมอะไรของเขาก็ว่าไป แต่เมื่อการประชุมเมื่อวานนี้ ที่พรรคการเมืองใหม่มีการประชุมเสร็จ แล้วพี่น้องประชาชนไปร่วมประชุมและมีมติ มีความเห็นไม่ให้พรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง คุณชัยวัฒน์ กลับมีความไม่พอใจอย่างรุนแรงกับพี่น้องประชาชน และไม่พอใจ ASTV กับคุณสนธิ โดยเขียนบทความลงเฟซบุ๊คตัวเอง ด้วยถ้อยคำอันรุนแรงและไม่เหมาะสม ถ้าหากว่าเป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อน เป็นมิตรที่เห็นๆ และมีความคิดต่าง เขาไม่ควรจะเขียนและใช้คำพูดแบบนี้ คำพูดที่เขาใช้ เช่น หาว่าการลงมติเมื่อวานนี้ก็ผลเป็นไปตามคาด คือโจรห้าร้อยชนะพระร้อยรูป ว่างั้นครับพี่น้อง ไม่รู้มีคนอ่านให้ท่านฟังหรือยัง หาว่าพี่น้องประชาชนที่ไปประชุมเมื่อวานนี้ และไปลงมติแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับกรรมการพรรคการเมืองใหม่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นเป็นโจรห้าร้อย คุณตำหนิ คุณว่า คุณกล่าวหาประชาชนอย่างนี้ได้อย่างไร คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย คุณเป็นนักกิจกรรม เป็นนักเคลื่อนไหวมวลชน ผมถามหน่อยใครเป็นพระร้อยรูป พระร้อยรูปที่นั่งหน้าสลอนอยู่ข้างหน้าเวทีที่จัดฉากมานั่นหรอ ไม่ถึงร้อยรูปหรอก 70-80 คนเท่านั้นเอง นั่นหรือคือพระ ไม่ใช่หน้าม้าหรอ คือ คุณเปรียบเทียบมันก็ผิดแล้ว

และอันแรก คุณหาว่า ASTV เข้าไปยึดพรรคการเมืองใหม่ ว่าไปนู้นครับ มันเป็นเรื่องที่ ASTV เข้าไปยึดพรรคการเมืองใหม่ได้อย่างไรครับคุณชัยวัฒน์ เพราะว่าเมื่อวานนั้นมันเป็นเรื่องพี่น้องสมาชิกพรรค และสมาชิกพี่น้องพันธมิตรฯ ที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ ไปร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยความสุจริต และความเป็นอิสระของเขาเอง เขาไปด้วยตัวเขาเอง ทำไมคุณดูถูกพี่น้องประชาชนว่าไปเพราะเถ้าแก่บงการ เพราะคุณสนธิสั่ง แค่นี้คุณก็ผิดแล้ว แล้ว 2. ASTV ไม่เคยไปสั่งให้พี่น้องไปทำอะไรเลย คุณสนธิไม่เคยสั่ง และผมไม่เคยสั่ง ผมพูดแต่เพียงว่า เมื่อพรรคการเมืองใหม่เป็นของเรา และพี่น้องพันธมิตรฯ เป็นเจ้าของ พี่น้องที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ และเป็นพันธมิตรฯ ควรไปร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อบอกให้กรรมการบริหารพรรคเขาทราบว่า ประชาชนต้องการอย่างไร หลังจากนั้นแล้วแต่พี่น้องจะไป ปรากฏว่าทุกคนที่เขาไปเขามีปัญญา เขามีความรู้ เขามีเหตุมีผล มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง คุณบงการเขาไม่ได้ต่างหา คุณสั่งเขาซ้ายหันขวาหันไม่ได้ต่างหาก คุณไปล็อบบี้ให้เขาเห็นด้วยกับคุณไม่ได้ต่างหาก แล้วคุณเขียนด่าเขาอย่างนี้ คุณมีความเป็นสุภาพบุรุษ มีความเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาชนจริงหรือเปล่า ถ้าคุณมีเหตุผลดีว่า การลงเลือกตั้งมันจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง พี่น้องประชาชน กับขบวนการต่อสู้อย่างไร คุณทำไมไม่มีปัญญาเอาเหตุและผลนั้นมาโน้มน้าวชี้แจงให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ และเห็นคล้อยตามด้วย เมื่อไม่สามารถให้เหตุผลให้พี่น้องคล้อยตามได้ เห็นด้วยได้ แล้วคุณจะตำหนิ ด่าว่าประชาชนว่าเขาเป็นโจรห้าร้อย ผมคิดว่าคุณใช้ไม่ได้ในมุมนี้

ที่สำคัญ ผมไม่รู้ทำไมคุณเดือดร้อน คุณดิ้นรน คุณออกอาการกระฟัดกระเฟียด หัวฟัดหัวเหวี่ยงกับพี่น้องประชาชน ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หรือว่าคุณรับงานใครมาทำ ผมไม่เข้าใจเลย คุณรับงานใครมาทำ คุณถึงอยากให้พรรคการเมืองใหม่กับพี่น้องพันธมิตรฯ ขัดแย้งกัน คุณเดินสายล็อบบี้ เขียนบทความวิชาการให้นายเจิมศักดิ์เอาไปอ่านออกรายการ 92.25 ให้นายเจิมศักดิ์เอาไปลงคอลัมน์แนวหน้า ในสารส้ม คุณเดินสายพูดคุยกับคนนั้นคนนี้เพื่อให้มาต่อต้านการโหวตโนของพี่น้องประชาชน คุณทำเพื่ออะไรครับ คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย แล้วคุณมาบอกว่า การพูดการปลุกระดมให้ประชาชนโหวตโน เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียว แล้วคุณคิดว่าประชาชนที่นี่กินแกลบหรอ เขาก็คิดเองเป็นเมื่อเราพูดไปแล้ว มันให้ด้านเดียวอย่างไร ความเห็นของคนอื่นแย้งมา ถามมา โต้แย้งมา บทความคนนั้นเขียน เราก็มาอ่านให้ฟังแล้วโต้แย้ง ถกเถียงกัน เราถึงได้เกิดปัญญา เพราะเถียงแล้วคุณเขียนมาแล้ว คุณก็โต้เขาไม่ได้ คุณก็แพ้เหตุผลเขา มีใครในประเทศนี้ที่สามารถเขียนโน้มน้าวให้พี่น้องประชาชนคล้อยตามได้ ก็อัญเชิญมาซิครับคุณชัยวัฒน์ เราสู้กันด้วยปัญญา สู้กันด้วยความคิด เพราะฉะนั้นไม่มีใครบงการ บอกว่าแม้ตั้ง พล.ต.จำลอง ก็ยืนดูตาปริบๆ ควบคุมไม่ได้ ลุงจำลองก็เห็นด้วยกับโหวตโน เขายืนดูอย่างไร เขาสนับสนุนเต็มร้อย เขาพูดอยู่ตั้งหลายร้อยรอบแล้ว คุณเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ที่ไหน เขาก็เห็นด้วยว่าเวลานี้ไม่มีพรรคการเมือง นักการเมืองคนไหนที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำประเทศ ทางออกที่ดีที่สุดของเราก็คือ โหวตโน แล้วท่านก็เห็นด้วย นี่ยังอุตส่าเขียนพาดพิง และอ้างว่า เหมือนกับว่า พล.ต.จำลอง ทำอะไรไม่ได้ ขวางกระแสไม่ได้ ก็ท่านเป็นคนไปประชุมแล้วแจ้งมติให้คุณสนธิทราบเอง คุณชัยวัฒน์ไม่รู้หรือ

อีกประเด็นหนึ่งบอกว่า ทั้งหมดเถ้าแก่สั่งมา ก็คือ เถ้าแก่สนธิ ใช้โหวตโนเป็นเครื่องมือเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว วัตถุประสงค์ส่วนตัวตรงไหน ได้แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา เงินทองไหลมาเทมารึเปล่าครับพี่น้อง ธุรกิจร่ำรวยขึ้นรึเปล่าที่ชวนพี่น้องโหวตโน มันตรงกันข้าม ที่คุณชวนให้พรรคการเมืองใหม่ส่งเลือกตั้ง คุณได้ประโยชน์อะไรบอกพวกเราหน่อย คุณจะได้เป็นอะไร คุณอยู่ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับไหน แล้วใครได้ประโยชน์ส่วนตัว พวกเราไม่มีประโยชน์ส่วนตัว เราคิดทุกอย่างบนประโยชน์บ้านเมืองและส่วนรวม เป็นที่ตั้ง ผมไม่เข้าใจว่า คุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย กำลังทำอะไร

และ 4. บอกพรรคการเมืองใหม่ มีความคิด มีเกียรติศักดิ์ศรี ไม่ยอมทำตามอำนาจเก่า และเดินหน้าต่อ ปฏิบัติการยึดอำนาจโดยใช้ ASTV และความคิดด้านเดียวของคนที่ฟังมาตลอด 2 สัปดาห์ เป็นเครื่องมือ สมาชิกกรรมการพรรคการเมืองใหม่ รู้สึกหดหู่เศร้าใจที่ฝูงชนที่ถูกจัดตั้งมา มีพฤติกรรมเถื่อนไม่แพ้พวกเสื้อแดง เปรียบว่าพวกเราที่ไปประชุมมีพฤติกรรมเถื่อน ถอยแบบพวกเสื้อแดง ไปนู้นเลยคุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผมว่าคุณกินยาผิดเพี้ยนไปแล้ว คุณเถียงสู้เขาไม่ได้ และคุณปิดไมค์ไม่ให้เขาพูด คนที่เขามีความเห็นแย้งคุณก็ตัด คุณก็ล็อบบี้เอาเฉพาะพวกคุณพูด คุณทำไมไม่ดูตัวคุณเองว่า คุณมีพฤติกรรมอันเหมาะสมหรือเปล่าในเวทีที่ประชุมเมื่อวานนี้ พอคนอื่นจะแสดงความคิดเห็นคุณก็ตัดบทให้เฉพาะพวกตัวเองพูด แล้วใครกันแน่เป็นคนจัดตั้งมา พอคุณจัดตั้งมาแต่แพ้พลังพี่น้องประชาชนที่ไมีจัดตั้งมา เลยกล่าวหาว่า เถ้าแก่สั่งลุย เสี่ยงสั่งลุย ว่างั้นครับพี่น้อง ตลกครับ ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนี้จะมีวิธีคิดแบบนี้

และบอกว่า พรรคการเมืองใหม่มีความคิด มีเกียรติศักดิ์ศรี ไม่ยอมทำตามอำนาจเก่า คืออะไรผมไม่เข้าใจ ไม่ยอมทำตามอำนาจเก่า ตกลงพันธมิตรประชาชนนี่เป็นอำนาจเก่าหรอ หรืออำนาจเก่าอันไหน คุณเขียนนี่คุณง่วงนอนรึเปล่าตอนเขียน

เรายอมรับ พันธมิตรฯ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี พรรคการเมืองใหม่ก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่เกียรติและศักดิศรีของพรรคการเมืองใหม่ อยู่ที่เคารพเกียรติและศักดิ์ศรีของพี่น้องประชาชนหรือเปล่า ถ้าไม่เคารพเกียรติและศักดิ์ศรีของพี่น้องประชาชน อยากฆ่าตัวตายทั้งคณะก็รีบลงมติส่งผู้สมัครเลือกตั้งซิคณะกรรมการบริหาร ก็จะได้รู้ เพราะฉะนั้นไม่เข้าใจว่าเขาเขียนตอนง่วงรึเปล่า แล้วเอาพี่น้องประชาชนที่ไปประชุมเมื่อวานนี้เปรียบเทียบกับพวกเสื้อแดง หาว่าเราเป็นพวกเถื่อนพวกถ่อย แต่พอพวกตัวเองปิดไมค์ ไม่ให้เขาพูด ล็อบบี้เฉพาะตัวเองพูด จัดฉากเอาป้ายขึ้นมา ดอกไม้มาแสดงละคร กลายเป็นไม่เถื่อน แต่พอประชาชนจะพูดไม่ให้เขาพูดตัดบท และตัวเขาเองก็เดินสายไปล็อบบี้คุณทิพย์ บอกคุณทิพย์พูดเก่งน่าจะลงผู้แทน ลง ส.ส. คุณจะได้เป็นตัวแทนในนามพรรคการเมืองใหม่ เขาบอกเขามาไม่ได้มาทำเพื่อตัวเขาเอง เขาไม่ได้หวังประโยชน์อะไร คุณชัยวัฒน์ไม่อายหรอที่คุณไปล็อบบี้เขา ผมไม่เข้าใจ ไม่อยากจะพูดถึงเขาเท่าไหร่

นายชัยวัฒน์ ผมไม่รู้ว่าแกเป็นอะไร ไปกินยาผิดอะไรมา และไม่รู้วันนี้แกทำงานให้ใคร ผมไม่รู้เลยว่า ที่มาเสนอในสิ่งที่เป็นเรื่องที่เป็นปฏิปักษ์และขัดแย้งกับพี่น้องประชาชนมีเจตนาอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปรียบเทียบพี่น้องเป็นโจรห้าร้อย ผมรับไม่ได้จริงๆ คุณชัยวัฒน์ คุณพลาดไปแล้ว คุณควรเลิกความคิดนี้เสีย ถ้าคุณอยากเลือกตั้งคุณก็ไปตั้งพรรคของคุณ คุณเป็นหัวหน้าพรรคเอง และไปลงเลือกตั้งพรุ่งนี้ก็ยังทันนะ ไปเซ้งพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วไปเป็นหัวหน้าพรรคเองเลย แล้วลงสมัครรับเลือกตั้งก็ได้ถ้าคุณไม่แคร์พี่น้องประชาชน ใช่ไหมครับพี่น้องครับ แล้วทำเป็นอ้างว่า ในที่สุดเป็นการเอาประชาชนมาฟังความเห็นเฉยๆ หนทางกฎหมายอยู่ที่หัวหน้าพรรคจะต้อง เปิดกฎระเบียบ ปัดโธ่เอ๊ย ประชาชนที่นี่เขารู้ระเบียบก่อนคุณอีก ว่ายังไงก็ต้องเป็นมติพรรค ทุกคนที่เขาไปเพราะเขารู้ เขาต้องการไปบอก เพราะเขานึกว่ากรรมการบริหารพรรคเป็นคนที่มีสติสัมปัชชัญะ และมีวิจารณญาณในการรับฟังความเห็นของประชาชน เขาถึงไปบอก แต่ท้ายที่สุดบอกแล้วคุณก็ต้องไปประชุมลงมติ แต่คุณอยากลงมติโดยสวนกระแสกับประชาชน หรือจะเห็นคล้อยตามความเห็นของประชาชน ก็อยู่ที่คุณจะเลือกทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้นเองครับ ไม่ใช่เขาไม่รู้ แล้วกฎหมายเลือกตั้งผมพูดให้พี่น้องฟังหลายรอบแล้ว ไม่ลงเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่มีผลยุบพรรค มันต้อง 8 ปีและการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย นี่เพิ่งเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 แม้กระทั่งพรรคเพื่อฟ้าดิน บอกไปถึงพี่น้องพรรคเพื่อฟ้าดินว่า ท่านจะไม่ส่งคราวนี้ก็ไม่ถูกยุบพรรค เพราะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น ผมเป็นคนร่าง และเพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 2551 มันไม่มีผลย้อนหลังไปถึงพรรคการเมืองอื่นที่ตั้งมาก่อน แม้จะตั้งมา 100 ปีก็ไม่มีปัญหา ผลของกฎหมายจะนับ 1 ก็ตั้งแต่ประกาศใช้ วันนี้เพิ่งใช้มาได้ 3-4 ปี ไม่ครบ 8 ปี ไม่ลงคราวนี้ พรรคเพื่อฟ้าดินก็ไม่ถูกยุบ แต่ถ้าจะลงสัก 1 คน หรือ 10 คน เพื่ออาศัยลงแล้วไปรณรงค์ให้ประชาชนโหวตโนในเชิงยุทธวิธี ก็เป็นเรื่องที่ทำได้

นอกจากนั้น ประเด็นสุดท้ายบอกว่า สิ่งที่วิญญูชนควรพิจารณาต่อไป คือ มติโหวตโนนั้นเป็นความเห็นบริสุทธิ์ อิสระ มีเหตุผลถูกต้อง และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิกที่แท้จริงรึเปล่า เพราะพวกโหวตโนยังตอบไม่ได้เลย แล้วจะทำอะไรต่อไป มีผลดีผลเสียอย่างไร ใครเป็นคนรับผิดชอบ บางคนตอบว่า จะไปถามแกนนำก่อน ไม่รู้แกนนำจะตอบได้ เพราะเพิ่งคิดเมื่อปลายเดือน มี.ค.นี้เอง พี่น้องครับ คุณชัยวัฒน์ต้องเข้าใจว่า ความคิดที่เราจะโหวตโนมันเป็นความคิดที่อิสระ บริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชน แล้วคุณมาอยู่กับประชาชน เคยมาสัมผัส หรือว่าคุณมาแบบผิวเผินคุณจึงไม่รู้จิตใจและจิตวิญญาณของพี่น้องประชาชน ถ้าคุณมาแบบสัมผัสกับพี่น้องประชาชนแบบเข้าใจจิตวิญญาณเขา คุณต้องรู้ว่าเขาคิดเป็น ส่วนที่คุณบอกว่า เรื่องโหวตโนนั้นเป็นเรื่องที่เพิ่งคิด ผมถามคุณชัยวัฒน์หน่อย คุณจะคิดมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วได้ไหม เรื่องโหวตโน มันไม่มีมนุษย์ตัวไหนคิดหรอก ถ้ายังไม่มีเลือกตั้งใครจะคิด ประหลาด หรือว่าคุณเป็นนักวางแผนระยะยาว ตั้งใจวางแผนจะโหวตโนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มองการณ์ไกลมาก วางแผนล่วงหน้าจะจัดยุทธศาสตร์โหวตโนอย่างนู้นอย่างนี้ บ้าแล้ว เสียสติแล้วไปคิดล่วงหน้ามาเป็นปี คนจะโหวตโนหรือไม่โหวตโน จะลงเลือกตั้งให้ใครไม่ลงเลือกตั้งให้ใคร ต่อเมื่อมันจะมีการเลือกตั้งเขาถึงจะคิด ใครจะคิดล่วงหน้าเป็นปี แล้วเมื่อคิดแล้วบอกว่าไม่มีคำตอบเลยว่าโหวตโนจะมีผลดีผลเสียอย่างไร คุณอยากรู้หรอ คุณมาเข้าคอร์สอบรมที่นี่ดีกว่า คุณมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วคุณจะรู้ว่าเขาพูดกันทุกวัน ผลดีอย่างไรผลเสียอย่างไร ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้คืออย่างไร แล้วโหวตโนจะเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างไร พลังของเราจะนำไปสู่การเรียกร้องให้การเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร คุณไม่มาฟังหรอ ทำไมคุณดูถูกภูมิปัญญาของคนที่นี่ เขาไม่ได้ด้อยปัญญา จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีปัญญามากกว่าคุณหลายร้อยเท่า เขาคิดเป็น ถ้าเขาคิดไม่เป็นเขาไม่มีพี่น้องประชาชนเรือนแสนเรือนล้านทั่วประเทศมาร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่อย่างทุกวันนี้หรอกคุณชัยวัฒน์ ที่คนรู้จักคุณก็ตอนมาขึ้นเวทีและไปออกรายการ ASTV แล้วทำไมวันนี้ถึงมาด่า ASTV ไม่เข้าใจ แต่ก่อนไม่เห็นมีใครรู้จักคุณเลย ที่มาขึ้นเวทีนี้แล้วไปออก ASTV เขาถึงอ๋อ อ.ชัยวัฒน์ สุรวิชัย มาวันนี้ทำเป็นบอกว่า ASTV เป็นเถ้าแก่บงการพรรคการเมืองใหม่ จะยึดนู้นยึดนี่ เขาเป็นปากกระบอกเสียงที่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง และประชาชนอย่างไม่กลัวเจ็บ กลัวจน กลัวตาย และไม่เคยก้มหัวให้กับอำนาจอธรรมใดๆ เขามีเกียรติยิ่งกว่าใครครับพี่น้อง

เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า สุดท้ายคุณบอกว่า คุณจะรณรงค์ให้ประชาชนไม่มาสนับสนุน ASTV อยากให้ ASTV จอดำ ผมขอเชิญคุณชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผมไม่รู้จะมีใครตามคุณไปสัก 20 คนรึเปล่า ประชาชนที่คุณว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าคุณมีประชาชนเยอะ เมื่อวานคุณน่าจะเอาไปสำแดงพลังที่ประชุมที่โผเล้ง หน่อย เพ้อเจ้อ ผมถึงบอกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมเพ้อเจ้อขนาดนี้ คุณจะเอาพลังมวลชนที่ไหน ตัวคุณมีคนเดินตามคุณ 2 คนถึงรึเปล่า เพราะฉะนั้นหากอะไรมันจริงมันเท็จ อะไรถูกไม่ถูกนั้น คุณควรจะแยกแยะได้ เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการเตือนกันด้วยความหวังดี ผมคิดว่าคุณเลิกล้มความคิดซะเถอะ ต่อให้คุณเขียนอีก 100 บทความ ผมคิดว่าคงมีกึ๋นอยู่เพียงเท่านี้ คงไม่มีภูมิปัญญาจะหักล้างเหตุผลพี่น้อง และพันธิมตรฯ ไม่ได้เป็นทาสของ ASTV ASTV ก็ไม่ได้เป็นนายพี่น้องประชาชน แต่เราอยู่กันด้วยความเข้าใจ และเรารู้ว่า ทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง และมีความสำคัญในการจะต่อสู้เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองร่วมกัน เราไม่เคยดูถูกกันเอง เราไม่เคยคิดว่าใครเป็นลูกหาบ เราไม่เคยดูถูกว่าใครเป็นหางแถวหัวแถว แต่เราทุกคนมีหน้าที่ บทบาทตามความเหมาะสม ทุกคนมีความสำคัญหมด เหมือนเพลงที่เราร้องอยู่ตรงนี้ว่า ทุกคนเป็นคนสำคัญหมดใช่ไหมครับพี่น้อง เพราะฉะนั้นคุณอย่าพยายามเสี้ยม พยายามสร้างความแตกแยก พยายามบอกว่า คนที่เคยเป็นพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง ตอนนี้ถอยออกไปแล้ว คนที่มาชุมนุมจึงน้อยลง อย่างที่คุณเขียน คุณเลิกได้เลย ถ้าพวกเราเหลือน้อยลง คุณก็มากวาด ลองดูซิว่ามันจะเหลือน้อยลงจริงรึเปล่า เราจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง พี่น้องสนับสนุนอย่างไร คุณเคยลืมหูลืมตาดูบ้างหรือเปล่า คุณอย่าประมาท และดูถูกพลังพี่น้องประชาชน พวกเราเป็นพลังที่ใครจะดูแคลนไม่ได้ครับ ผมไม่อยากตอบโต้คุณด้วยความรุนแรง พูดเพียงแค่นี้ก็หวังว่าคุณน่าจะคิดได้แล้วว่า บทความที่คุณเขียน และคุณพยายามเข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองใหม่ ผมไม่รู้ว่าคุณมาจากไหน ใครพาคุณเข้าไป และคุณมาทำงานโดยมีเป้าหมายเพื่ออะไรกันแน่ แต่ถ้าจะมาในลักษณะที่ไม่ได้ดั่งใจแล้วอาละวาด แพ้แล้วพาลพี่น้องประชาชนั้น จงเลิกเสียเถอะ และยุติสิ่งที่กระทำอยู่เสีย ทางที่ดีคุณควรให้ความคิดเห็น และแนวทางที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ถ้าคิดว่าตัวเองยังอยากเดินอยู่บนถนนของการเมืองภาคประชาชน อุตส่าไปตั้งชมรมธรรมาภิบาล หรือชมรมการเมืองภาคประชาชน ชื่ออะไรของคุณน่ะผมจำไม่ได้ ซึ่งก็มีคุณอยู่คนเดียว แต่การเมืองภาคประชาชนที่แท้จริง คุณกลับมาด่าเขา คุณกลับมาหาว่าเขาเป็นโจรห้าร้อย อย่างนี้สมควรแล้วที่จะอยู่คนเดียวต่อไป

พี่น้องครับ วันนี้พูดคุยกันแต่เพียงเท่านี้ ยืนยันได้ว่า ทั้งคุณสนธิ ทั้งลุงจำลอง เดี๋ยวจะมีพี่พิภพ ธงไชย มาพูดอีก ทุกคนเราเห็นว่าเรื่องใดที่เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง เราทำครับ เราไม่คิดว่าทำเรื่องนี้แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไรเป็นส่วนตัว เราทำเพื่อเห็นว่าเรื่องไหนเป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองเท่านั้น ทำแล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้จะเสีย จะเป็นจะตายอะไร ขอให้ชาติบ้านเมือง และพี่น้องประชาชนดีขึ้น เราก็มีความสุขใจแล้วครับ อะไรไม่ถูกไม่ต้อง แม้ว่าในหมู่พวกเรา เราก็ต้องพูดไม่ใช่ปกปิดกันเอาไว้ครับพี่น้อง พูดแล้วก็จบแล้วต้องเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกันว่าถ้าพวกเราพูดถูกคุณควรเคารพความคิดเห็นพวกเราก็เท่านั้นเองครับพี่น้องครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนนะครับ พบกันพรุ่งนี้ครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น