“ปานเทพ” เผยที่ประชุมพันธมิตรฯ มีมติรณรงค์ “โหวตโน” ซัด 1 ปี สมรภูมิคอกวัวหาผู้กระทำผิดไม่คืบสะท้อนรัฐอ่อนแอ “ประพันธ์” ปัดขวางเลือกตั้ง-เรียกอำนาจพิเศษ ย้ำหวังเสียงไม่เลือกใครเป็นพลังเปลี่ยนแปลงชาติ ซัดบิ๊กท็อปบูตปากบอกว่ารัก “ป๋าเปรม” แต่เวลาป๋าถูกด่ากลับหัวหด “จำลอง” เผย “สมเกียรติ” นำทีมเดินสายขอนแก่นที่แรก อาทิตย์นี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายประพันธ์ คูณมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (12 เม.ย.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน โดยนายปานเทพเปิดเผยว่า วานนี้ (11 เม.ย.) ได้มีการประชุมของแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 2 รุ่น ร่วมกับคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร เพื่อหารือในยุทธศาสตร์ความเคลื่อนไหวให้มีเอกภาพและชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยหลังจากการประชุมได้มีมติชัดเจนว่า หากมีการเลือกตั้งจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน โดยไม่มีแนวทางอื่น
ทั้งนี้ เราถือว่าการเมืองในระบบเก่าไม่ว่าจะเป็นขั้วไหน ไม่ใช่ความหวังของประชาชนและประเทศชาติ ไม่ต้องการให้สิทธิของประชาชนไปสร้างความชอบธรรมแก่นักการเมืองเพื่อทำร้ายประเทศอีก ทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน ภาวะข้าวยากหมากแพง หรือแม้กระทั่งการสุ่มเสี่ยงอาจการสูญเสียดินแดน โดยหลังเทศกาลสงกรานต์จะมีการเปลี่ยนฉากบนเวทีเพื่อระบุ 2 แนวทางหลัก ทั้งเรื่องปัญหาเขตแดน และการรณงรงค์โหวตโน เพื่อเป้าหมายในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ ถ้ามีการเลือกตั้งก็หวังว่าประชาชนจะให้การสนับสนุนในทิศทางนี้ หลังจากนี้จะมีการส่งผู้แทนบางส่วนเดินสายให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ “โหวตโน” แก่ประชาชนทั่วประเทศ เหมือนการเดินสายหาเสียงอย่างต่อเนื่อง
นายปานเทพยังได้กล่าวถึงโอกาสครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์ 10 เม.ย.53 ที่ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งประชาชนและทหารด้วยว่า ผ่านมา 1 ปียังไม่มีความคืบหน้าในการสอบสวนหาผู้กระทำผิด ซ้ำร้ายทหารกลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ทำร้ายประชาชน ทั้งที่มีความชัดเจนว่าทหารไม่ได้พกอาวุธ และมีกองกำลังชุดดำแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งไม่ทราบว่ารัฐบาลทำการสืบสวนสอบสวนจับกุมได้ความคืบหน้าอย่างไร ทำให้ไม่มีความเป็นธรรมให้แก่ทั้งทหาร และประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องให้ความจริงจังในการสืบสวนให้มากกว่านี้ ไม่ปล่อยให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ตลอด เนื่องจากรัฐบาลก็ใช้เหตุการณ์ในช่วง เม.ย.-พ.ค.กล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง แต่อีกด้านกลับให้การสนับสนุนประกันตัวทั้งแกนนำและผู้ต้องสงสัย เป็นความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงที่ต้องตอบประชาชนให้ได้
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่ 2 ปีผ่านมาก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับปากเองว่าจะเร่งสืบสวนและจับกุมคนร้ายให้ได้ แต่บัดนี้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้บริหารจัดการความมั่นคงอ่อนแอมาก ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเลือกขั้วการเมืองไหน ประเทศไทยก็ยังต้องตกอยู่ในวังวนของความรุนแรงต่อไป หากไม่มีผู้ใดเข้ามาจัดการและยุติความรุนแรง จึงหวังว่าประชาชนจะตระหนักในเรื่องนี้และร่วมโหวตโนเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมือง ถ้าสำเร็จเราจะได้นักการเมืองที่มาแก้ปัญหาหลายเรื่อง และเอื้ออำนวยให้เกิดความหลากหลายทางการเมือง มีระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ” นายปานเทพกล่าว
ทั้งนี้ นายปานเทพยังได้เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์การชุมนุมก็ยังดำเนินต่อไปปกติ และจะมีกิจกรรมในช่วงนี้เพื่อธำรงประเพณีสงกรานต์ในที่ชุมนุม ทั้งการตักบาตรทำบุญ รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ การละเล่นแสดงวัฒนธรรมบนเวทีมากกว่าการปราศรัย โดยหลังเทศกาลสงกรานต์ก็จะกลับเข้าสู่การชุมนุมโดยปกติ จะมีการเปลี่ยนฉากบนเวทีอีกด้วย
ขณะที่ นายประพันธ์กล่าวว่า จุดยืนในการโหวตโนไม่ใช่การขัดขวางการเลือกตั้ง หรือสนับสนุนการเมืองที่มาจากนอกระบบ แต่หากบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงในทางอื่นที่ทำให้เกิดการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองนอกเหนือจากระบบที่มีอยู่ พวกเราก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือกำหนดให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมีการเลือกตั้งเราก็จะรณรงค์ให้ประชาชนร่วมโหวตโนให้มากที่สุดตามสำนึกและความตื่นตัวของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เพื่อแปลงเสียงของประชาชนที่ไม่เลือกใครต่อประชาชนที่ไม่ไปใช้สิทธิ เนื่องจากเบื่อหน่ายการเมือง มารวมเป็นพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ เพราะตนเชื่อว่าประเทศหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยเร็วก็ยากที่จะเป็นการเมืองที่สร้างสรรค์และก้าวหน้าได้
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองยังอยู่ในสภาพความขัดแย้ง แตกต่างทางความคิด มีการเผชิญหน้า โดยเฉพาะการมีแนวคิดท้าทายสถาบันเบื้องสูง ไม่เคารพกฎกติกาของบ้านเมือง แต่รัฐบาลก็นิ่งเฉย ไม่ทำหน้าที่ในการดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย กลับปล่อยปละละเลย โดยในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ยังสะท้อนให้เห็นว่ามีความมุ่งมั่นท้าทายต่อสถาบันสูงสุดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและกองทัพในการระงับยับยั้ง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่ปรากฏว่าออกมาทำหน้าที่ปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติด้วย การที่คณะนายทหารผู้บัญชาการเหล่าทัพนำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่ตบเท้าเข้าแสดงมุทิตาจิตต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี แต่กลับไม่ดำเนินการต่อกลุ่มบุคคลที่โจมตี พล.อ.เปรมอย่างรุนแรง ไม่ให้เกียรติ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
“ผู้นำเหล่าทัพให้ความเคารพ พล.อ.เปรม มาบอกว่ารักป๋าเฉพาะเวลาที่ต้องการสร้างภาพหาเสียงกับสังคม แต่เวลาที่ป๋าโดนโจมตีด่าทออย่างเสียหาย กลับหดหัวไม่ออกมาดูแลรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันสูงสุดถูกล่วงเกินอย่างรุนแรง ทหารเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาดูแลทำหน้าที่ของตัวเอง ผมจึงอยากเรียกร้องไปถึงนายทหารเหล่านี้ว่า อย่าดีแต่มาแสดงภาพทางการเมืองในรูปแบบเก่าๆ ที่ประชาชนเบื่อ หากเคารพรักสถาบันและ พล.อ.เปรมจริงๆ ต้องออกมาทำหน้าที่ รวมไปถึงรัฐบาลด้วย” นายประพันธ์กล่าว
ด้าน พล.ต.จำลองกล่าวว่า ในส่วนของการเดินสายให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องโหวตโนแก่ประชาชนที่จะเริ่มที่ จ.ขอนแก่น เป็นจังหวัดแรกนั้น จะมีการเลื่อนจากเดิมวันที่ 20 เม.ย.มาเป็นวันที่ 17 เม.ย. โดยจะมีนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ และคณะ ไปทำหน้าที่เสวนาให้ความรู้เช่นเดิม ส่วนกรณีที่นายสาย กังกะเวคิน ส.ว.ระยอง เสนอในที่ประชุมวุฒิสภาว่า เมื่อนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ยอมรับแล้วว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่ของไทย และเป็นเขตอุทยานแห่งชาติตามที่ประกาศในพระราชกฤษฎีกา 2541 จึงควรดำเนินการผลักดันให้ทหารและประชาชนชาวกัมพูชาที่ได้รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวออกไปจากเขตแดนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราแสดงจุดยืนมานานแล้ว แม้ว่าอาจจะช้าไปบ้าง แต่ทำก็ดีกว่าไม่ทำ