xs
xsm
sm
md
lg

“เทพไท” เย้ยโฟนอินแม้ว แค่กลยุทธ์กล่อมลูกพรรค สยบศึกชิงอำนาจภายใน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เทพไท เสนพงศ์
โฆษกมาร์ค ซัดโฟนอิน “ทักษิณ” กล่อมลูกพรรค ถือเป็นกลยุทธ์หลอกลวงไข่แม้ว สยบความเคลื่อนไหวเสนอตัวแคนนิเดตนายกฯ หยัน โจกแดงตีตนไปก่อนไข้ กลัวทหารบล็อกซื้อเสียง เชื่อสังคมเห็นจะกระบวนการปล่อยคลิปหาก “พสิษฐ์” ขึ้นเวทีแดง ส่งเสียงเชียร์ พรรครวมชาติเพื่อแผ่นดินถือเป็นตัวแปรสำคัญ ยาหอมอนาคตเป็นถึงพรรคร่วม

วันนี้ (6 เม.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯโฟนอินมายังพรรคเพื่อไทยว่า อย่าไปเชื่อคำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า จะยุบสภาในต้นเดือนพฤษภาคม เพราะไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ว่า เป็นสิทธิของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ ถือว่าเป็นกลยุทธ์หลอกลูกพรรคตัวเอง แต่นายกฯไม่ใช่คนกลับกลอก ไม่รักษาคำพูดเหมือนอดีตนายกฯบางคนที่ถูกซักฟอกเรื่องหนีภาษีจนสภาปิดไปแล้ว และประกาศว่าจะไม่ยุบสภาในที่สุดก็ยุบสภาทั้งๆ ที่สภาไม่มีความผิดใดๆ

นายเทพไท กล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนมาที่ประชุมพรรคทุกนัดน่าจะเป็นเพราะเกิดความระส่ำระสายภายในพรรค มีการแย่งชิงกลุ่มผู้สนับสนุนในแต่ละก๊วนที่ออกมาเชียร์หัวหน้าอย่างออกหน้าออกตา จนต้องทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกโรงมาหย่าศึกเหมือนการเบรก นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่ให้เคลื่อนไหวในฐานะแคนดิเดตนายกฯ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงนายมิ่งขวัญ ว่า ให้แนบชื่อในญัตติเหมือนกับหนังเรื่องแรกที่จบไปแล้ว แสดงให้เห็นว่า นายมิ่งขวัญ ตกเป็นเหยื่อให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลอกใช้เป็นครั้งคราว เหมือนเหยื่อคนอื่นๆ ที่ถูกใช้แล้วก็ทิ้งไป

ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมายืนยันว่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค ยังคงให้นายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ เป็นหัวหน้าพรรคต่อไป เพราะกลัวว่า จะมีการแย่งชิงตำแหน่งขึ้นมาอีก จึงยังให้นายยงยุทธเป็นหัวหน้าพรรคตามเดิม โดยมุ่งเน้นที่ตัวแคนดิเดตนายกฯมากกว่า และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะไม่ฟันธงว่าเลือกใครเป็นนายกฯ จนกว่าจะเลือกตั้งเสร็จ เพื่อหลอกลูกพรรคเพื่อให้ความหวังให้กับหัวหน้าก๊วนต่างๆ ต่อไป มิฉะนั้น จะเกิดการแตกพรรคออกมา จึงอยากแสดงความเห็นใจไปยังนายมิ่งขวัญที่ส่วนตัวเชียร์มาโดยตลอดเมื่อถูกฉีกหน้าด้วยการโฟนอิน นายมิ่งขวัญยังบากหน้าอยู่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เป็นเบี้ยในกระดานการเมืองอีกต่อไปหรือไม่

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนกรณี นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยแก้ตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินหักหน้านายมิ่งขวัญ เพราะกลัวว่า จะเสียหายจากกองเชียร์ ว่า เป็นการแก้ตัวเป็นน้ำขุ่นๆ ทั้งๆ ที่คนในพรรครู้ดีว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินสื่อความหมายอะไร แต่การพยายามปกปิดไม่ให้คนภายนอกรู้เรื่องภายในเป็นไปไม่ได้ เหมือนช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ปิดเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันมิดอย่างแน่นอน

โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยจัดตั้งหน่วยขึ้นมาติดตามพรรคเพื่อไทยในลักษณะไปเกาะติดหรือบล็อกแกนนำนั้น รัฐบาลชุดนี้ไม่เคยใช้กลไกรัฐไปรังแกหรือเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง จะไม่ใช้พฤติกรรมเหมือนกับรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้กับพรรคประชาธิปัตย์มาแล้วในปี 2548 ถ้าจะเรื่องนายทหารลงพื้นที่ ก็น่าจะเป็นเรื่องของหน่วยความมั่นคงที่ลงไปเกาะติดสถานการณ์และหาข่าวเชิงลึก เพราะขณะนี้มีกลุ่มบางกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวบนดินและบนดินเพื่อทำลายสถาบัน ซึ่งทหารก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ใครมาก้าวล่วงสถาบัน แต่คนในพรรคเพื่อไทยกำลังตีตนไปก่อนไข้กลัวว่า ทหารจะไปบล็อกตัวเองเพื่อไม่ให้ขยับตัวทำผิดกฎหมายและอาจจะผู้รู้ว่า จะถูกบล็อกไม่ให้ซื้อเสียง ถ้าเห็นว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐคนหนึ่งคนใดทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็สามารถร้องต่อ กกต.ได้อยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องออกมาตีโพยตีพายให้เป็นประเด็นทางการเมือง

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนการประกาศของกลุ่ม นปช.ที่จะนำ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาเปิดโปงการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้น คำพูดของผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นคำพูดที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และการออกมาพูดดังกล่าว น่าจะเป็นการแก้ตัวให้ตัวเองพ้นผิด หวังผลในการสู้คดีที่ถูกฟ้องร้องอยู่ในขณะนี้ แต่ที่สำคัญก็คือสังคมจะได้เห็นพฤติกรรมของนายพสิษฐ์ที่ผ่านมา ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอย่างไร การเอาคลิปของศาลรัฐธรรมนูญมาเผยแพร่และสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยก็ถือว่า เป็นกระบวนการเดียวกันและยังคงสมคบกันขยายผลเรื่องดังกล่าวบนเวทีคนเสื้อแดงในวันที่ 10 เมษายนนี้ด้วย

นายเทพไท กล่าวถึงการรวมพรรครวมชาติพัฒนา และเพื่อแผ่นดิน ในวันที่ 7 เมษายน ว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่พรรคการเมืองทั้งสองพรรคมารวมเป็นพรรคเดียวกัน ซึ่งทำให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกพรรคการเมืองง่ายขึ้น และการรวมตัวดังกล่าวก็ทำให้พรรคทั้งสองเปลี่ยนสภาพจากพรรคการเมืองเล็กเป็นพรรคขนาดกลาง สามารถต่อสู้ในสนามเลือกตั้งกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ และการเมืองในอนาคตก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองใหญ่กับพรรคการเมืองขนาดกลางที่เป็นตัวแปรทางการเมืองได้มากกว่าพรรคการเมืองเล็ก ยิ่งคะแนนนิยมทั้งสองขั้วสูสีกันมากเท่าไหร่ ก็เป็นโอกาสของพรรคการเมืองขนาดกลางที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ ดังนั้นก็สนับสนุนการรวมพรรคครั้งนี้ และเอาใจช่วยให้ประสบความสำเร็จ เพราะต่างเป็นพรรคร่วมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น