xs
xsm
sm
md
lg

เสนาะ เทียนทอง 2549 - เสนาะ เทียนทอง 2554 เชื่อหรือไม่ เวลา 5 ปี ทำให้คนกลายเป็นหมาได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พี่น้องประชาชนที่รัก การทำงานให้กับส่วนรวม โดยเฉพาะการทำงานใหญ่ให้กับประเทศชาติ คงหลีกเลี่ยงกับความล้มเหลว ความผิดพลาดไปไม่ได้ เหตุเพราะมันเป็นธรรมชาติของคนทำงาน แต่ความผิดพลาดจากการทำงานที่เกิดจากผลของการวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อน โดยใช้ข้ออ่อนด้อย ใช้ช่องว่างของกฎหมาย แล้วภายหลังถูกสังคมจับได้ เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจยอมได้ และผมก็เชื่อว่าเพราะพวกเราไม่อาจยอมจำนนกับสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของวันนี้ วันที่พวกเราต้องพร้อมใจกันตะโกนดังๆที่ข้างหูของท่านว่า ท่านหมดเวลา หมดความไว้วางใจที่จะเป็นผู้นำประเทศแล้ว”

ข้อความข้างต้น คือ ย่อหน้าสุดท้ายในแถลงการณ์ของนายเสนาะ เทียนทอง เมื่อวันที่ 17เมษายน พ.ศ. 2549 ที่แจกจ่ายให้กับประชาชนซึ่งไปฟังการปราศรัยขับไล่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยนายเสนาะได้ขึ้นเวทีปราศรัยเปิดโปงความชั่วร้ายของ นช.ทักษิณ ในวันนั้นด้วย

จุดประสงค์ของการออกแถลงการณ์นี้คือ “เพื่อแจ้งข้อเท็จจริงบางประการให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ ในขณะเดียวกันก็เพื่อกราบขอโทษพี่น้องประชาชน ในฐานะที่ครั้งหนึ่งผมมีส่วนร่วมในการช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้บุคคลบางกลุ่ม บางคน มีอำนาจก่อเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ให้แก่บ้านเมืองในครั้งนี้”

บนเวทีปราศรัยในคืนนั้น นายเสนาะเปิดเผยถึงเหตุผลที่ไม่สามารถอยู่กับพรรคไทยรักไทยได้ว่า เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนทรยศต่อคำพูดที่เคยให้ไว้กับตนเรื่องการใช้หนี้แผ่นดิน ที่เคยรับปากจะใช้หนี้แผ่นดินหากได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มีรัฐบาลชุดไหนเลวทรามได้เท่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน และรู้สึกเสียดายที่เชื่อคนง่าย เชื่อว่าคนที่ตนให้การสนับสนุนเป็นคนดี แต่กลับเป็นคนที่โกงทุกอย่างที่ขวางหน้าและยังเป็นการโกงที่ถูกต้องตามกฏหมาย ด้วยการใช้อำนาจในทุกรูปแบบเพื่อแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

“ผมอยู่ในเวทีการเมืองมานานกว่า 30 ปี ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนเลวทรามเท่ากับรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะเป็นรัฐบาลที่โกงทุกอย่างที่ขวางหน้า”

ก่อนหน้านั้น เมื่อคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 บนเวทีการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงของกลุ่มพันธมิตรฯ นายเสนาะ พร้อมนายประมวล รุจนเสรี และนายบุญถึง ผลพาณิชย์ ได้ไปร่วมการชุมนุม โดยนายเสนาะขึ้นปราศรัย ตอนหนึ่งว่า

“ผมขอกราบอภัยอีกครั้งที่เมื่อปี 2543 ไปหลงกับคำพูดของคนคนหนึ่งที่บอกว่า พี่เหนาะ ผมพร้อมแล้ว เงินส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้ลูก 3 คน เงินส่วนหนึ่งสองตายายชาตินี้กินยังไงก็ไม่หมด และเงินส่วนที่เหลือผมจะใช้หนี้แผ่นดิน น้องทักษิณยังจำได้หรือไม่กับคำคำนี้ ผมคิดว่าคนคนนี้เมื่อเลวร้ายแล้วจะกลับใจ แต่ตอนนี้พอรู้แล้วเลยร้องอ๋อ ว่าที่เลวมาจากโกงชาติโกงแผ่นดินนั่นเอง มันกล้าทำถึงขนาดเผาบ้านเมืองเอาเงินประกัน หมอนี่คิดอะไรเป็นชั้นๆ ไตร่ตรองทุกขั้นทุกตอน สมัยที่ผมเป็นผู้จัดการรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตอนนั้นมีปัญหาการเงินการคลัง ไม่มีใครมาเป็นรัฐมนตรี เพราะว่านายอำนวย วีรวรรณ ลาออกกะทันหัน พ.ต.ท.ทักษิณส่งคนเข้ามาทำงานแล้วลอยค่าเงินบาท โดยเสวยสุขอยู่คนเดียว ขณะที่คนเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ แล้วยังมาลอยหน้าลอยตากลับมาเป็นผู้นำประเทศ”

ในหนังสือ รู้ทันทักษิณ 4 เรื่อง นายเสนาะเขียนบทความเรื่อง จะเอาทักษิณหรือประเทศไทย โดยเล่าว่า รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผิน

ตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรค คือทำธุรกิจกับการเมือง วิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค ต่อมาตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมืองผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี

เมื่อก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก

มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับ พ..ต.ท.ทักษิณด้วยซ้ำ ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม โดย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็นรมว.คลัง

ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ไปซุบซิบกับ พล.อ.ชวลิต และนายโภคิน พลกุล อดีต รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทนง

คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คือ พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหนผมไม่รู้ อันนี้ไม่มีใบเสร็จ

“แต่ถ้าถามผมว่าผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤตคนเดียวคือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มากๆ หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤตเพราะได้ประกัน”

ในข้อเขียนเดียวกันนี้ นายเสนาะกล่าวถึง นช.ทักษิณ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ไม่มีสภาวะผู้นำโดยเฉพาะในระดับประเทศ เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจ ก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ

พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ

“การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง

แต่ทักษิณตอบว่า โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือหรือ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ”

เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ

แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่า “โธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็คนของเรา”

นายเสนาะยังเล่าต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ หากรัฐมนตรีคนไหนเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ “เยส” อย่างเดียว เช่น นายพินิจเคยพูดว่า “ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย” หรือนายเนวิน ก็มักพูดว่า “ดีนายๆ”

ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเองไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนๆนี้คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ

ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องขอใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ

รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่า มูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง เมเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิด ไม่ต้องสงสัย

ผมเคยพูดกับคุณหญิงอ้อว่า “น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม” เขาพากันตอบว่า “ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ” เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า “ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ” คุณหญิงอ้อเขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ก็รู้ แต่ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย”

นายเสนาะเล่าว่า สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง.ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ มันเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8 มิ.ย. 2548 ประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ

ถ้ามันเอาชีวิตได้ มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ผมพูดตรงๆ ไปว่า เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว

สิ่งสำคัญนายกฯ ก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และผมยังพูดอีกว่า ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่า อย่าให้พี่เป็นหมาเลย
กำลังโหลดความคิดเห็น