โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
ประชาชนจะหวังอะไรได้ในบ้านนี้ เมืองนี้ ในการแก้ไขปัญหาปากท้อง สินค้าขึ้นราคา รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง วิกฤติจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ดินถล่ม
ภัยพิบัติในภาคไต้ เหมือนสึนามิขนาดย่อม! กว่าล้านคนต้องลำบาก
จะมียุคใดชาวบ้านต้องอยู่ในสภาพอกไหม้ไส้ขม มีแต่ความทุกข์ระทมสุมอยู่ในหัวอก ก้มหน้าก้มตาท่องคาถา “ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน” เท่านั้น
เหลียวหาข้าราชการประจำ พวกมีอำนาจ ตำแหน่งใหญ่โต กำลังจ้องดูว่าพรรคใดจะเข้ามากุมอำนาจรัฐ จัดการประเทศ แบ่งกระทรวงกันบริหาร เหมือนเป็นทรัพย์สินของครอบครัว คิดโครงการรวมหัวคิว 30 เปอร์เซ็นต์
จะหวังพึ่งนักการเมืองเรอะ! ขออย่ากินมูมมาม ตะกละตะกลามให้มากกว่านี้ ยืดระยะเวลาความล่มจมของบ้านเมืองออกไป ถือว่าบุญแล้ว!
นักการเมืองซีกรัฐบาลรอให้ นายกฯ “มาร์ค โพเดียมเลี่ยมทอง” ตัดใจ กัดฟัน ยุบสภาฯ ตามคำประกาศหลายครั้ง ไปวัดดวงในสนามเลือกตั้ง
เมื่อยังไม่กำหนด ก็มีความไม่แน่นอนว่า “จะมีเลือกตั้งหรือไม่”
นายกฯ มาร์คเหมือนอยู่ในสภาพหลุด หลง จากสภาพความจริง! ไปแจกของให้ชาวบ้านเหยื่อภัยพิบัติธรรมชาติในภาคไต้ ยังแจกยิ้ม ใส่เสื้อสีขาวแขนยาว เป็นคุณหนูผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน ต่างจากชาวบ้านคนยากไร้
ยังทำตัวไม่ถูกกับกาละเทศะเหมือนเดิม แต่เป็นนักการเมืองเต็มบ้อง
ช่วงนี้กระแสของการเรียกร้องให้พักการเมือง 3-5 ปีเริ่มได้รับการตอบสนองของประชาชน ซึ่งเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองทุกวันนี้ แล้วสรุปได้ว่าการเมืองระบบเลือกตั้งไม่เหมาะสำหรับอนาคตของประเทศไทย
ถ้ายังจะมีเลือกตั้ง ต้องเผชิญการรณรงค์ให้ “ไม่เลือกใคร” Vote No!
คำถามที่นายกฯ มาร์ค ยังไม่ตอบ คือ “จะยุบสภาฯ ให้เปลืองเงินงบประมาณเกือบ 4 พันล้านบาททำไม ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกกว่า 6 เดือน”
ชาวบ้านมองว่า ยุบสภาฯ เลือกตั้งแล้ว พวกหน้าเดิมกลับเข้าสู่สภาฯ มีพฤติกรรมเดิม เสี่ยงกับการได้เสือหิว ไอ้ห้อย ไอ้โหนตัวใหม่เข้ามาอีก
แต่มีเหตุผลสำหรับการยุบสภาฯ เมื่อไม่ครบองค์ประชุมซ้ำซาก ต้องเลิกประชุมหลายครั้ง ส.ส. สันหลังยาวไม่สนใจทำหน้าที่ ทั้งๆ ที่แต่ละปีทำงานไม่กี่เดือน สัปดาห์ละไม่กี่วัน เริ่มทำงานในช่วงบ่ายโน่น ลงชื่อแล้วก็โดดร่ม!
ชาวบ้านบอกว่า “เออ! รีบยุบสภาฯ ก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่ต้องเลือกตั้งใหม่นะ!” ให้นักการเมืองพักงานยาวสัก 5 ปี บ้านเมืองจะได้ฟื้นตัวจากการจมปลักอยู่ในวังวนของการทุจริต คอรัปชั่น กินคำโตแบบไม่อายฟ้าดิน
ความพยายามผสมกับการดันทุรังของ นายกฯ มาร์ค ต้องการดันร่างข้อตกลง JBC 43 ให้ผ่านสภาฯ ต้องล้มเหลวซ้ำซาก แต่ยังไม่รู้สึกอาย
ส.ส. ค่ายสะตอส่วนหนึ่งเอาตัวรอด ไม่อยากเสี่ยงกับโทษขายชาติ ทำให้เสียดินแดน อธิปไตยให้กัมพูชา อ้างอุทกภัยเพื่อลงพื้นที่เยี่ยมชาวบ้าน เร่งหาเสียง ไม่อยากสอบตก ไม่สนใจคำขู่ของ “รองฯ เทือก” ว่าจะไม่ส่งลงเลือกตั้ง
บารมีของนายกฯ มาร์คและ รองฯ เทือก ใช้ไม่ได้กับความกลัวของ ส.ส.ไม่อยากมีคดีอาญา ไม่อยากติดคุก ไม่อยากโดนตราหน้าว่าขายชาติ
ดูแล้วพวกที่สนใจ JBC MOU43 เหลือไม่กี่คน เช่น นายกฯ มาร์ค รองฯ เทือกรมต.กษิต และ “หริโชค” กับกลุ่มย่อย ยังไม่แสดงตัวชัดเจน แต่จ้องดูโอกาส ถ้าเบี้ยวการประชุมสภาฯ ได้ ก็ทำ เพราะการรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
เมื่อ ส.ส. ค่ายสะตอ ยังไม่เอาด้วย นับประสาอะไรจะหวังพึ่งเสียงของพรรคร่วมรับประทาน! ฝ่ายค้านรักตัวเองมากกว่ารัก “ทักษิณ” แน่นอน!
ชาวบ้านยิ่งเซ็งหนัก เมื่อรู้ว่านักการเมืองรุ่นเก๋าเตรียมส่งทายาทอสูรลงสมัคร ส.ส. ทั้งๆ ที่ไม่ได้พิสูจน์ความสามารถ ความสำเร็จในการทำงาน
เรียนหนังสือจบ ทำงานธุรกิจครอบครัว ศึกษาเล่ห์เหลี่ยมลวดลายของพ่อ แม่แล้ว เริ่มได้ความคิดว่าเป็นนักการเมืองดีกว่า มีโอกาสรวยกว่าพ่อ
หรือบางคน พ่อแม่เห็นว่าว่างงาน ไร้อาชีพ ก็บอกว่า “เออ! เมื่อลูกไม่มีงานทำสมัคร ส.ส. ก็แล้วกัน จะได้มีอาชีพการเมือง ร่ำรวยเร็ว”
นักการเมืองอยากให้ลูกตัวเองเดินตามรอย ก็มีคำถาม “จะให้ลูกชั่วกว่าตัวเอง หรือทำดีต่อบ้านเมืองเพื่อล้างบาป” ถ้าจะทำดี ทำเดี๋ยวนี้ก็ได้ นั่นแสดงว่าอยากให้ลูกมีอำนาจ จะได้คุ้มครองปกป้องผลประโยชน์ครอบครัว
เราจึงเห็นความดันทุรัง ฝืนโชคชะตา ไม่เจียมกะลาหัวของคนกระสันในอำนาจการเมือง นึกว่าประชาชนนิยม ที่แท้ก็ใช้หัวคะแนนและเงินซื้อเสียง
การเมืองแบบไร้ทางเลือก ทำให้เราจมอยู่ในวงจรอุบาทว์ ถ้าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ย่อมนำไปสู่สภาพเลวร้ายกว่า ลูกโกงน้อยกว่าพ่อ ถือเป็นความล้มเหลว! อสูรน้อยปัจจุบันได้พิสูจน์ความพยายามเทียบชั้นความชั่วเท่าพ่อแม่
เมื่อการเมืองระบบเลือกตั้งล้มเหลว ประชาชนส่วนหนึ่งอยากเสี่ยง อยากลองกับแบบอื่นๆ ยังดีกว่าได้พวกหน้าเดิมเข้ามาสร้างความอุบาทว์ต่อไป
ถ้านายกฯ มาร์คอยากกู้ชื่อ เกียรติภูมิ เป็นผู้นำที่คนไทยไม่ลืม ช่วยนำนักการเมืองกว่า 2 พันคนเลิกราจากการเมืองตลอดชีวิต ได้มั้ยนิ! อิอิอิ!!!