ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าภายในสัปดาห์นี้คงมีความชัดเจนสำหรับการยุบสภา และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญคงจะมีข้อสรุปเกี่ยวกับกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งจำนวน 3 ฉบับว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ในวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคมนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการกำหนดเอาไว้คร่าวๆว่าจะมีการเลือกตั้งในราวปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกรกฎาคม แต่ทุกอย่างยังไม่ชัวร์ หากยังไม่อาจกำหนดวันยุบสภาเป็นที่แน่นอนได้ เนื่องจากติดอยู่ที่เงื่อนไข “พิเศษ” บางอย่าง แต่ถึงอย่างไรภายในสัปดาห์นี้ทุกอย่างก็ต้องชัดเจน และหากให้เดากันแบบไม่มีข้อมูลภายในมากนักเชื่อว่าภายในวันนี้ (9 พฤษภาคม) หรือวันรุ่งขึ้น ก็น่าจะมีคำตอบออกมาแล้ว
เมื่อทุกอย่างสรุปออกมาแบบชัดเจน นั่นก็หมายความว่ากำลังนับถอยหลังสู่โหมดการเลือกตั้งเต็มตัว ขณะเดียวกันมันก็ได้เวลาเริ่มรณรงค์สำหรับการ “โหวตโน” หรือ “ไม่เลือกใคร” ทันทีเหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าพิจารณาเปรียบเทียบให้เห็นภาพในช่วงเวลาแบบนี้ มันก็เหมือนกับ “วันสุกดิบ” ก่อนถึงวันจริง กำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องข้อมูล เหตุผล เตรียมตอบคำถามให้เคลียร์ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมไม่ไปเลือก “คนที่เลวน้อยที่สุด” เข้าไป เหมือนอย่างที่นักการเมืองบางคนพยายามชี้นำกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนให้เกิดความเข้าใจผิด เพื่อที่ตัวเองจะได้ประโยชน์
เมื่อพิจารณาจากผล โพล หรือผลสำรวจชาวบ้านจากการสุ่มตัวอย่างทั่วประเทศของ เอแบคโพล ล่าสุดที่เพิ่งแผยแพร่เมื่อวานนี้ (8 พฤษภาคม) หากตัดตอนเอาเฉพาะบางเรื่องก็จะพบว่ามีคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกใครหรือพรรคไหนเกินกว่าร้อยละ 52 ขณะที่ตัดสินใจเลือกทั้งพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ห่างกันมากนักนั่นคือ อยู่ในระดับร้อยละ 34-39 ซึ่งมันมีโอกาสพลิกกลับไปกลับมาได้ตลอดจนถึงวันเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากตัวเลขในกรณี “ยังไม่ตัดสินใจ” ที่ยังมีมากถึงกว่าร้อยละ 52 ถือว่ายังมีอยู่สูง และเมื่อย้อนไปเปรียบเทียบกับผลสำรวจในครั้งที่ผ่านมาผลก็ออกมาในลักษณะเดิม ทำให้ต้องมีคิดกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจยังต้องการพิจารณาองค์ประกอบหลายๆอย่างแล้วค่อยมาสรุปและตัดสินใจก่อนวันเลือกตั้ง ขณะที่ยังมีอีกจำนวนหนึ่งเป็นพวก “เซ็ง-เบื่อ-เหม็นขี้หน้า” พวกนักการเมืองที่เป็นประเภท “เขี้ยวลากดิน” ฉ้อฉล กลับเข้ามาทุกครั้ง เลือกตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มีแต่พวกหน้ายับ หน้าเดิมๆ หรือบางทีตัวเองสังขารฝืนไปไม่ไหวก็ส่งเมีย ลูกหลานให้มา “รับช่วง” สืบทอดเป็น “ทายาทอสูร” ไม่มีวันสิ้นสุด
เชื่อหรือไม่ว่า ผลการเลือกตั้งทุกครั้งเราก็จะได้ตัวแทนประเภทที่เป็นนักเลือกตั้ง เป็น “นักลงทุน” ทางการเมือง ทำมาหากินอยู่กับการเมืองมาเกือบตลอดชีวิต หากินอยู่กับงบประมาณ ทั้งที่เมื่อพิจารณาจากคำพูดคำจา รูปร่างหน้าตาล้วนแล้วแต่ อัปลักษณ์ น่ารังเกียจ แต่ก็ยังคงมีคนประเภทนี้วนเวียนเชิดหน้าอยู่ในสังคมสังคมอำนาจ แม้บางคนจะถูกตัดสิทธิห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ในความเป็นจริงก็ยัง “หน้าด้าน” ท้าทายสั่งการ ชักใยพรรคการเมือง ยังควบคุม ส.ส. เหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งเราก็จะได้เห็นบทบาทนักการเมืองประเภทนี้อยู่เจนตา เช่น บรรหาร ศิลปอาชา เสนาะ เทียนทอง เนวิน ชิดชอบ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ทักษิณ ชินวัตร สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมไปถึง “นักโต้วาที” ชั้นเซียน อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น คนพวกก็ยังโลดแล่นมีอิทธิพล เข้าไปแบ่งสันอำนาจกันอย่างสนุกสนาน ด้วยเหตุผลง่ายๆเพียงแค่ว่า พวกเขา หรือทายาท หรือ “หุ่นเชิด” ของพวกเขาผ่าน “พิธีกรรม” จากการเลือกตั้ง ถือว่ามีความชอบธรรมจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เหมือนกับว่าประชาชนยกประเทศให้ไปแล้ว
ด้วยเหตุผล บทบาทและหน้าตาของแต่ละคนดังกล่าวมา อีกทั้งเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งคราวนี้จะมีคนพวกนี้กลับมาอีกหรือมีอิทธิพล สุมหัวแบ่งเค้กประเทศไทยกันอีกรอบหรือเปล่าที่ทำให้ชาวบ้านที่เริ่ม “เหลืออด” ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร หรือพรรคใด เมื่อเป็นแบบนี้มันก็น่าจะเป็นโอกาสสูงไม่น้อยหากมีการรณรงค์ ให้ข้อมูลที่เป็นจริงที่พวกเขาสัมผัสได้อยู่แล้วว่านักการเมืองที่กำลังเวียนว่ายกันอยู่นั้นมัน “เลวพอกัน” ไม่มีใครเลวน้อยกว่าใคร อาจต่างกันเพียงแค่ว่าใคร “หน้าหล่อ”หรือ “หน้าเหลี่ยม” ปากห้อย ตัวดำ ตัวสั้นเท่านั้นเอง
ดังนั้น เมื่อถึงคราวดีเดย์ยุบสภากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ อีกด้านหนึ่งมันก็ถึงเวลาดีเดย์สำหรับการณรงค์เพื่อ “โหวตโน” ไม่เลือกตั้ง เพื่อล้างนักการเมืองพันธุ์ชั่ว ด้วยการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ และอย่าได้แปลกใจที่ล่าสุดกระแสเริ่มมีการตื่นตัวพุ่งสูงขึ้น มันก็ทำให้นักการเมืองพวกนี้มันปั่นป่วนหวาดผวากันไปตามๆ กัน และหาทางขัดขวางกันทุกวิถีทาง เพราะนี่คือสัญญาณอันตรายสำหรับพวกเขานั่นเอง!!
