พท.ชูโพลทุกสำนักให้คะแนนฝ่ายค้านมากกว่ารัฐ ด้านทีมซักฟอกยังอารมณ์ค้าง จวกรัฐดีแต่แถ “สุรพงษ์” ซัด “จุติ” ตอบคำถาม 3 จี ไม่ได้ ด้าน “ชวลิต” ฉะ “ปู่จิ้น” กำกวม “อนุดิษฐ์” สับ “เจ๊วา” ตอบปาล์มกำปั้นทุบดิน “ซูการ์โน” หยัน “มาร์ค” ช่วยการศึกษาเด็กใต้ไม่ได้
วันนี้ (22 มี.ค) ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นเป็นแบบคู่ขนานกับสำนักโพลต่างๆ ในหัวข้อ “ความเชื่อมั่นฝ่ายค้านและรัฐบาลต่อการบริหารประเทศหลังการอภิปรายฯ” โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างในภาคกลาง จำนวน 1,400 ตัวอย่าง ภาคเหนือและอีสาน 3,150 ตัวอย่าง และกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,400 ตัวอย่าง โดยกลุ่มเป้าหมายมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ทั้งชายและหญิงไม่จำกัดการศึกษาและอาชีพ ในระหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยผลการสำรวจพบว่า คะแนนนิยม ของพรรคเพื่อไทยในกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (1-20 มีนาคม 2553) โดยเพื่อไทยมีคะแนนนิยมสูงถึง 56% ประชาธิปัตย์ 38 % พรรคภูมิใจไทย 3% ส่วนในภาคเหนือพรรคเพื่อไทยขยับขึ้นมาสูงถึง 74 % ประชาธิปัตย์ลดลงเหลื่อเพียง 18% ขณะที่ภูมิใจไทย 8% ส่วนภาคอีสาน คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทย พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ 82% ประชาธิปัตย์มีเพียง 7% ขณะที่ภูมิใจไทย อยู่ที่ 11%
นายจิรายุกล่าวต่อว่า ส่วนหัวข้อที่ประชาชน รู้สึกต่อการให้คะแนนนิยมของพรรคการเมืองโดยให้คะแนน ว่ารัฐบาลไร้ฝีมือ ปล่อยปะละเลย อันดับที่ 1-10 คือ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนที่ไร้ประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์ม ไข่ชั่งกิโล และปัญหาราคาข้าวที่มีปัญหา การปล่อยให้มีการทุจริตในวงราชการที่พบเห็นในรัฐบาลนี้ การ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติที่ไม่ทำอย่างจริงจัง การเล่นพรรคเล่นพวกแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ความฉับไวในการแก้ไขปัญหาภัยภิบัติที่ด้อยคุณภาพ และมีฝีมือ ประสบการณ์และผลงานในการแก้ไขปัญหายาเสพติดการใช้วาทะกรรม ทางการเมือง มากว่าการลงมือทำของรัฐบาล การประครองเก้าอี้ด้วยการยอมมองไม่เห็นความผิดของพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่าข้อ เท็จจริง
นายจิรายุยังกล่าวต่อว่า โพลทั้ง 3 สำนัก เช่น กรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่ประชาชนให้คะแนนรัฐบาลสอบตก โดยฝ่ายรัฐบาลได้ไปเพียง 4.28 คะแนน ชนิดที่ว่าหากเป็นนักเรียนนักศึกษาต้องรีไทร์หรือให้ออกสถานเดียว ขณะที่ฝ่ายค้านได้ไปถึง 6.48 คะแนนและที่สำคัญประชาชนยังเชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่าถึง 49.8 ขณะที่ 19.7% เชื่อถือข้อมูลของรัฐบาล ขณะที่สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ให้คะแนน “ฝ่ายรัฐบาล” โดยนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ไป 5.81 อันดับ 2 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ไป 5.21 ขณะที่ฝ่ายค้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงได้ไปถึง 6.42 อันดับ 2 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ 6.20 ส่วน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนรัฐบาลเพียง 5.69 คะแนน และให้คะแนนฝ่ายค้านถึง 5.89 คะแนนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า คณะกรรมการติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฯ และคณะกรรมการติดตามการทำงานของรัฐบาล (คตร.) ระบุตรงกันว่า การตอบคำถามของรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของรัฐบาลนั้นพบว่ารัฐบาลตอบ ไม่ตรงคำถาม และตอบไม่ตรงประเด็นเบี่ยงเบน ไม่ยอมรับความจริง และ คล้ายทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ปฎิเสธเสียงแข็ง ชนิดแถไปดื้อๆ และที่สำคัญกลับไม่ลงโทษครม.ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยพรรคได้สรุปประเด็นที่รัฐบาลตอบไม่ตรงประเด็นในการอภิปรายมาพูดเพื่อชี้ แจงต่อประชาชนอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ ต้องยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์ เบี่ยงประเด็นได้เก่ง ซึ่งหากบริหารประเทศได้เก่งแบบนี้ ประชาชนคงไม่ต้องมาแย่งกันซื้อน้ำมันพืช เติมน้ำมันรถแพง หรือมีคนเจ็บคนตายอย่างแน่นอน
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ตนได้ทำการอภิปราย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ใน ประเด็นการให้สัมปทาน 3 จี กับ บริษัท ทรูฯ แบบไม่โปร่งใส ก็ตอบแบบเลี่ยงบาลี ทั้งๆที่ประชาชนสนใจว่า นายจุติ บินเครื่องบิน เจ๊ตส่วนตัวของใครไปต่างประเทศจริงหรือไม่ และตอบไม่ชัดเจน ว่าเกี่ยวข้องกับคนในบริษัทเอกชนด้านการสื่อสารหรือไม่อย่างไร ซึ่งขณะที่อภิปรายฯ พรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบคนใกล้ชิด นายอภิสิทธิ์ เวชชีวะ และบิดาของนายอภิสิทธิ์ มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทเอกชนที่ เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐบาล แต่โฆษกส่วนตัวนายเทพไท เสนพงศ์ กลับออกมาเฉไฉว่าคนนามสกุลเวชชาชีวะก็เคยอยู่พรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่เกี่ยวกัน เพราะวันนี้คนพรรคเพื่อไทยนามสกุลเดียวกันก็อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย แต่คำถามก็คือ บิดาของนายกฯและญาติไปเป็นกรรมการในบริษัทคู่สัญญาของรัฐได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือการที่ นายจุติ ไม่สามารถตอบตนได้เลยว่า เหตุใดถึงไม่มีการประมูลราคาของโครงการนี้ก่อนหน้าที่จะตัดสิน ทั้งนี้ตนจะนำเรื่องนี้ไปสัมมนาในวันพฤหัสบดีนี้
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปัญหาบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด และการซื้อที่ดิน ซึ่งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับตอบแบบลุยถั่วตอบตามเอกสารที่มีคนเขียนให้ ส่วนข้อเท็จจริงกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายปลัด มท.ก็ตอบแบบต้องตีความกำกวม ทั้งๆที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ตอบคำถามในกรณีปัญหาน้ำมันปาล์มนั้น นางพรทิวา ตอบแบบกำปั้นทุบดิน เช่น ปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด ทั้งๆที่เป็นการรับผิดชอบโดยตรงแต่กลับโยนเผือกร้อนไปมา การ ประกันราคาข้าวที่ชาวนาออกมาประท้วงก็ทำมึน ซึ่งในบางทีแล้วตนอาจจะผิดเองที่ตั้งคำถามไม่ตรงกับคำตอบของนางพรทิวา ส่วนผลการโหวตไว้วางใจถือเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ของ นายอภิสิทธิ์ นายกฯ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่านางพรทิวา ตอบไม่เคลียร์แต่กลับได้คะแนนไว้วางใจมากกว่าตนเอง ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในประเด็นการทุจริตน้ำมันปาล์มว่า ขอท้าหากมีการโกงจริงจะลาออกจากตำแหน่งนั้น ตนคิดว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการลาออก เพราะหากทาง ปปช.มีการชี้มูลความผิดว่ามีการทุจริตจริง นายสุเทพ ก็คงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้อยู่แล้ว
นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนได้อภิปรายในประเด็นความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเรื่องของการศึกษาของเด็กในพื้นที่นั้นกำลังเกิดวิกฤติ ที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าตัวชี้วัดทุกตัว แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็กลับไม่ได้ตอบว่าจะมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ในวันนี้ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนมา 7 ปี ซึ่งปัญหาที่ตามมาคืความยากจน โดยรัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยประชาชนได้อย่างไร
ด้าน นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่ไร้วิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ นายอภิสิทธิ์ไม่เคยที่จะคิดว่าจะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า และการพัฒนา รวมไปถึงความขัดแย้งที่มีทั้งในประเทศและระดับประเทศ ซึ่งสาเหตุของปัญหาทั้งหมด ก็คือการทำงานล่าช้าของรัฐบาลชุดนี้
วันนี้ (22 มี.ค) ที่พรรคเพื่อไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นเป็นแบบคู่ขนานกับสำนักโพลต่างๆ ในหัวข้อ “ความเชื่อมั่นฝ่ายค้านและรัฐบาลต่อการบริหารประเทศหลังการอภิปรายฯ” โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างในภาคกลาง จำนวน 1,400 ตัวอย่าง ภาคเหนือและอีสาน 3,150 ตัวอย่าง และกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,400 ตัวอย่าง โดยกลุ่มเป้าหมายมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ทั้งชายและหญิงไม่จำกัดการศึกษาและอาชีพ ในระหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยผลการสำรวจพบว่า คะแนนนิยม ของพรรคเพื่อไทยในกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (1-20 มีนาคม 2553) โดยเพื่อไทยมีคะแนนนิยมสูงถึง 56% ประชาธิปัตย์ 38 % พรรคภูมิใจไทย 3% ส่วนในภาคเหนือพรรคเพื่อไทยขยับขึ้นมาสูงถึง 74 % ประชาธิปัตย์ลดลงเหลื่อเพียง 18% ขณะที่ภูมิใจไทย 8% ส่วนภาคอีสาน คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทย พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ 82% ประชาธิปัตย์มีเพียง 7% ขณะที่ภูมิใจไทย อยู่ที่ 11%
นายจิรายุกล่าวต่อว่า ส่วนหัวข้อที่ประชาชน รู้สึกต่อการให้คะแนนนิยมของพรรคการเมืองโดยให้คะแนน ว่ารัฐบาลไร้ฝีมือ ปล่อยปะละเลย อันดับที่ 1-10 คือ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนที่ไร้ประสิทธิภาพ การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์ม ไข่ชั่งกิโล และปัญหาราคาข้าวที่มีปัญหา การปล่อยให้มีการทุจริตในวงราชการที่พบเห็นในรัฐบาลนี้ การ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติที่ไม่ทำอย่างจริงจัง การเล่นพรรคเล่นพวกแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ความฉับไวในการแก้ไขปัญหาภัยภิบัติที่ด้อยคุณภาพ และมีฝีมือ ประสบการณ์และผลงานในการแก้ไขปัญหายาเสพติดการใช้วาทะกรรม ทางการเมือง มากว่าการลงมือทำของรัฐบาล การประครองเก้าอี้ด้วยการยอมมองไม่เห็นความผิดของพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่าข้อ เท็จจริง
นายจิรายุยังกล่าวต่อว่า โพลทั้ง 3 สำนัก เช่น กรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่ประชาชนให้คะแนนรัฐบาลสอบตก โดยฝ่ายรัฐบาลได้ไปเพียง 4.28 คะแนน ชนิดที่ว่าหากเป็นนักเรียนนักศึกษาต้องรีไทร์หรือให้ออกสถานเดียว ขณะที่ฝ่ายค้านได้ไปถึง 6.48 คะแนนและที่สำคัญประชาชนยังเชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่าถึง 49.8 ขณะที่ 19.7% เชื่อถือข้อมูลของรัฐบาล ขณะที่สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ให้คะแนน “ฝ่ายรัฐบาล” โดยนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ไป 5.81 อันดับ 2 นายกรณ์ จาติกวณิช ได้ไป 5.21 ขณะที่ฝ่ายค้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงได้ไปถึง 6.42 อันดับ 2 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ 6.20 ส่วน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนรัฐบาลเพียง 5.69 คะแนน และให้คะแนนฝ่ายค้านถึง 5.89 คะแนนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า คณะกรรมการติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฯ และคณะกรรมการติดตามการทำงานของรัฐบาล (คตร.) ระบุตรงกันว่า การตอบคำถามของรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของรัฐบาลนั้นพบว่ารัฐบาลตอบ ไม่ตรงคำถาม และตอบไม่ตรงประเด็นเบี่ยงเบน ไม่ยอมรับความจริง และ คล้ายทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ปฎิเสธเสียงแข็ง ชนิดแถไปดื้อๆ และที่สำคัญกลับไม่ลงโทษครม.ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยพรรคได้สรุปประเด็นที่รัฐบาลตอบไม่ตรงประเด็นในการอภิปรายมาพูดเพื่อชี้ แจงต่อประชาชนอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ ต้องยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์ เบี่ยงประเด็นได้เก่ง ซึ่งหากบริหารประเทศได้เก่งแบบนี้ ประชาชนคงไม่ต้องมาแย่งกันซื้อน้ำมันพืช เติมน้ำมันรถแพง หรือมีคนเจ็บคนตายอย่างแน่นอน
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ตนได้ทำการอภิปราย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ใน ประเด็นการให้สัมปทาน 3 จี กับ บริษัท ทรูฯ แบบไม่โปร่งใส ก็ตอบแบบเลี่ยงบาลี ทั้งๆที่ประชาชนสนใจว่า นายจุติ บินเครื่องบิน เจ๊ตส่วนตัวของใครไปต่างประเทศจริงหรือไม่ และตอบไม่ชัดเจน ว่าเกี่ยวข้องกับคนในบริษัทเอกชนด้านการสื่อสารหรือไม่อย่างไร ซึ่งขณะที่อภิปรายฯ พรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบคนใกล้ชิด นายอภิสิทธิ์ เวชชีวะ และบิดาของนายอภิสิทธิ์ มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทเอกชนที่ เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐบาล แต่โฆษกส่วนตัวนายเทพไท เสนพงศ์ กลับออกมาเฉไฉว่าคนนามสกุลเวชชาชีวะก็เคยอยู่พรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่เกี่ยวกัน เพราะวันนี้คนพรรคเพื่อไทยนามสกุลเดียวกันก็อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย แต่คำถามก็คือ บิดาของนายกฯและญาติไปเป็นกรรมการในบริษัทคู่สัญญาของรัฐได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือการที่ นายจุติ ไม่สามารถตอบตนได้เลยว่า เหตุใดถึงไม่มีการประมูลราคาของโครงการนี้ก่อนหน้าที่จะตัดสิน ทั้งนี้ตนจะนำเรื่องนี้ไปสัมมนาในวันพฤหัสบดีนี้
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปัญหาบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด และการซื้อที่ดิน ซึ่งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับตอบแบบลุยถั่วตอบตามเอกสารที่มีคนเขียนให้ ส่วนข้อเท็จจริงกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายปลัด มท.ก็ตอบแบบต้องตีความกำกวม ทั้งๆที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ตอบคำถามในกรณีปัญหาน้ำมันปาล์มนั้น นางพรทิวา ตอบแบบกำปั้นทุบดิน เช่น ปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด ทั้งๆที่เป็นการรับผิดชอบโดยตรงแต่กลับโยนเผือกร้อนไปมา การ ประกันราคาข้าวที่ชาวนาออกมาประท้วงก็ทำมึน ซึ่งในบางทีแล้วตนอาจจะผิดเองที่ตั้งคำถามไม่ตรงกับคำตอบของนางพรทิวา ส่วนผลการโหวตไว้วางใจถือเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ของ นายอภิสิทธิ์ นายกฯ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่านางพรทิวา ตอบไม่เคลียร์แต่กลับได้คะแนนไว้วางใจมากกว่าตนเอง ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในประเด็นการทุจริตน้ำมันปาล์มว่า ขอท้าหากมีการโกงจริงจะลาออกจากตำแหน่งนั้น ตนคิดว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการลาออก เพราะหากทาง ปปช.มีการชี้มูลความผิดว่ามีการทุจริตจริง นายสุเทพ ก็คงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้อยู่แล้ว
นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนได้อภิปรายในประเด็นความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเรื่องของการศึกษาของเด็กในพื้นที่นั้นกำลังเกิดวิกฤติ ที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าตัวชี้วัดทุกตัว แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็กลับไม่ได้ตอบว่าจะมีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ในวันนี้ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนมา 7 ปี ซึ่งปัญหาที่ตามมาคืความยากจน โดยรัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยประชาชนได้อย่างไร
ด้าน นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่ไร้วิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ นายอภิสิทธิ์ไม่เคยที่จะคิดว่าจะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า และการพัฒนา รวมไปถึงความขัดแย้งที่มีทั้งในประเทศและระดับประเทศ ซึ่งสาเหตุของปัญหาทั้งหมด ก็คือการทำงานล่าช้าของรัฐบาลชุดนี้