ผ่าประเด็นร้อน
หากนับตามปฏิทินเวลา และหากเป็นไปตามคำพูดของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ประกาศว่าจะมีการยุบสภาภายในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม นั่นก็หมายความว่ายังเหลือเวลาอีกประมาณแค่เดือนเศษเท่านั้น ในช่วงเวลานี้ก็อยู่ในช่วงของการพิจารณากฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งจำนวน 3 ฉบับ ซึ่งทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยนำเข้าสู่สภาฯ แล้ว
อีกไม่กี่วันก็จะนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี เมื่อสำรวจดูบรรยากาศความรู้สึกของชาวบ้านกลับไม่ได้คึกคักเท่าที่ควร เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ค่อยตั้งความหวังไว้มากนัก ราวกับว่าถึงจะเลือกตั้งใหม่ก็งั้นๆ อะไรประมาณนั้น
เมื่อพิจารณาจากความคิดเห็นของชาวบ้านผ่านทางผลสำรวจของสำนักต่างๆ รวมไปถึงความคาดหมายของ กกต.ก็ล้วนออกมาในทิศทางเดียวกัน นั่นคือคาดหมายว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรง มีการซื้อเสียง และทุจริตกันอย่างมโหฬาร
จากคำพูดของ กรรมการการเลือกตั้ง ที่ดูแลในเรื่องพรรคการเมืองอย่าง สดศรี สัตยธรรม ก็บอกว่า ยังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง และล่าสุดยังเตรียมก่อเหตุปาไข่เน่าเข้าใส่ นายกรัฐมนตรี มันก็สะท้อนให้เห็นสัญญาณความรุนแรงที่จะต้องเกิดขึ้นระหว่างที่มีการหาเสียงเลือกตั้งอย่างแน่นอน
นับว่าสอดคลองกับบรรยากาศที่เป็นอยู่จริงในเวลานี้ เมื่อกลุ่มการเมือง “คนเสื้อแดง” ที่เคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทย เพราะมีที่มาจากคนๆเดียวกันคือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งที่ผ่านมายังไม่อาจประสบความสำเร็จตามเป้าหมายของตัวเอง ทำให้สถานการณ์ลากยาวมาถึงวันนี้
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นแม้เวลาผ่านมากว่า 2 ปี ก็ยังล้มเหลว ไม่อาจดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด รวมไปถึงการสร้างความ “ปรองดอง” ได้อย่างที่เคยพูดเอาไว้ มิหนำซ้ำรัฐบาลชุดนี้ยังเป็นรัฐบาลที่ชาวบ้านรู้สึกว่ามีการทุจริตกันอย่างมากมาย อาจจะมากกว่าในยุคของรัฐบาลที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร เสียด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องอื่นๆก็ยังไม่ประสบความสำเร็จให้เห็นผลสักเรื่องเดียว แม้หากจะกล่าวว่า “ล้มเหลว” ก็อาจจะเกินเลยไป แต่เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงแล้ว ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะสร้างความผิดหวังมาตลอด
เป็นความผิดหวังที่เริ่มสะท้อนออกมาเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้เห็นคะแนนความไว้วางใจที่ ส.ส.ในสภามีให้กับรัฐมนตรีบางคน บางพรรคที่มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตอื้อฉาวมากที่สุด แต่กลับได้รับเสียงโหวตไว้วางใจมากที่สุด ขณะที่นายกรัฐมนตรีที่มีการสร้างภาพลักษณ์ที่ใสสะอาด ยึดมั่นในเรื่องความซื่อสัตย์ กลับไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่เกิดขึ้น เฉยเมย รับรู้ว่านี่คือเรื่องราวธรรมดาของระบอบประชาธิปไตยในรัฐสภา เป็นเรื่องของเสียงข้างมากที่ต้องปฏิบัติตาม
กลายเป็นว่าทั้งภาวะผู้นำ ผลงานของเขาล้วนทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ผิดไปจากความคาดหมายของชาวบ้าน จนเสียแรงที่เคยให้การสนับสนุนให้กำลังใจ เพราะสิ่งที่ นายกฯอภิสิทธิ์ แสดงออกมาเหมือนกับว่าต้องการเพียงแค่ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปวันๆเท่านั้น ไม่สนใจสิ่งรอบข้างว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่สนใจว่าเกิดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเป็นกระบวนการสร้างภาพที่ถูกจับได้ไล่ทันแล้ว
เมื่อหันไปมองทางด้านฝ่ายค้านก็ไม่ได้แตกต่างกัน ทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร นั่นคือหวนกลับมาสู่อำนาจโดยที่ไม่ต้องรับผิดใดๆทั้งสิ้น ก่อกวนทุกวิถีทาง โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะบอบช้ำเพียงใด
เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขดังกล่าวที่มีอยู่ในเวลานี้ และคาดหมายว่าจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในอนาคต ทั้งในระหว่างการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง ทำให้การเมืองยัง “จมปลัก” อยู่ในภาวะความ “สิ้นหวัง” เพราะพฤติกรรมทั้งในและนอกสภาของพวก “นักเลือกตั้ง” เหล่านี้ล้วน “สกปรก” ไม่แพ้กัน
ความสิ้นหวังที่กำลังเกิดขึ้นยังมีไปถึง “กองทัพ” อีกด้วยเพราะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในทุกสถานการณ์ที่ “ไม่ปกติ” ทุกครั้ง ชาวบ้านไม่อาจพึ่งพาได้เลย เนื่องจากผู้นำกองทัพหลายคนต่างทำตัวเป็น “ทหารธุรกิจ” ทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “พวกมาเฟีย” เรียกค่าคุ้มครอง ขณะที่การทำงานในหน้าที่รับผิชดชอบของตัวเองกลับล้มเหลว โดยพิสูจน์ให้เห็นได้จากกรณีชายแดนด้านไทย-กัมพูชา และการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
ดังนั้น เมื่อผลสำรวจชาวบ้านที่ออกมาล้วนต้องการได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เก่งและซื่อสัตย์ เข้าใจปัญหาของประชาชน ทำงานฉับไว แต่เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงที่เป็นอยู่มันก็ทำได้เพียงแค่ฝัน และเป็นฝันที่ลมๆ แล้งๆ เสียด้วย เพราะเมื่อมีตัวเลือกที่เป็นอยู่ ผลที่จะออกมามันคงไม่ผิดไปจากความคาดหมาย นอกเสียจากไม่มีการเลือกตั้ง แต่นาทีนี้ก็ดันไว้ใจใครไม่ได้เสียอีก!!