xs
xsm
sm
md
lg

"ดร.สมปอง" เตือนสภาก่อนผ่าน JBC ชี้ศาลโลกไม่เคยรับรองแผนที่เขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล
"ดร.สมปอง" ชี้การปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ทำเสร็จตั้งแต่ 103 ปีที่แล้ว JBC และ GBC ไม่มีอำนาจปักปันเขตแดน เตือนสภาก่อนลงมติรับรองผ่านบันทึกข้อตกลงเจบีซี 3 ฉบับ ขณะที่ MOU 43 หมกเม็ดใช้แผนที่เถื่อน 1 ต่อ 2 แสน เป็นมหันตภัยใหญ่หลวงนำไปสู่การเสียดินแดน ระบุศาลโลกไม่เคยพิจารณาไม่เคยรับรองแผนที่เขมร ส่วนเขตแดนทางทะเลไม่มีพื้นที่ทับซ้อน เขมรลากเส้นผ่านเกาะกูดไร้หลักการกฎหมายรองรับ

ขณะที่รัฐบาลกำลังเร่งรีบจะนำผลการประชุมคณะกรรมการ JBC ไทย-กัมพูชา 3 ฉบับ เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภาภายในสิ้นเดือนนี้ โดยหวังจะให้สภาผ่านบันทึกดังกล่าวได้ทัน ก่อนจะมีการประชุมร่วมกับทางกัมพูชาในต้นเดือนหน้าที่อินโดนีเซีย

เว็ปไซต์ฟิฟทีนมูฟ ได้เผยแพร่บทความของ ศ.ดร. สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ และทนายความประสานงานคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2502-2505 เรื่อง "จุดยืนที่เหนือกว่า" โดยระบุว่าการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาทำเสร็จไปตั้งแต่ 103 ปีที่แล้ว คณะกรรมการ JBC และ GBC ก็ไม่ใช่ “กรรมการปักปันเขตแดน” แต่เป็นเพียงคณะกรรมการ “ตรวจสอบ” หลักเขตแดน ส่วน MOU 43 เป็นมหันตโทษต่อประเทศชาติ เนื่องจากมีเงื่อนงำซ่อนเร้นและหมกเม็ดใช้แผนที่ระวางดงรัก 1: 200,000 ซึ่งฝรั่งเศสลากเส้นเองตามใจโดยไม่ได้ยึดตามสนธิสัญญา ขาดความธรรม และศาลโลกก็ไม่พิจารณาแผนที่ดังกล่าว ส่วนคำพิพากษาแย้งของผู้พิพากษาบางท่าน ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นเพียงความคิดเห็นอย่างที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าแผนที่ดังกล่าวเป็นแผนที่ที่ผิด สำหรับเขตแดนทางทะเลไม่มีพื้นที่ทับซ้อนแน่นอน เพราะเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดเป็นการลากเส้นเองโดยปราศจากหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย เนื้อหาบทความดังต่อไปนี้....

——————————————————

จุดยืนที่เหนือกว่า

ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งฝ่ายบริหารกำลังจะเสนอรายงานของ JBC ไทย-กัมพูชา เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติอันได้แก่รัฐสภาไทยรับรองให้ความเห็นชอบนั้น ข้าพเจ้าขอตั้งข้อสังเกตว่า เอกสารดังกล่าวได้ซ่อนเงื่อนงำอันจะนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างร้ายแรงของประเทศชาติ โดยสุ่มเสี่ยงต่อการหยิบยื่นดินแดนไทยทั้งหมดในบริเวณเขาบรรทัดซึ่งกำหนดให้เส้นสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตธรรมชาติตามความตกลงระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และได้มีการยืนยันโดยสนธิสัญญา ค.ศ. 1907

ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชานั้น ได้กระทำเสร็จสิ้นไปแล้วทุกขั้นตอนโดยคณะกรรมการปักปัน เขตแดน 2 ชุด ในการประชุมกรรมการชุดแรกในปี ค.ศ. 1905-1906 และในปี ค.ศ. 1907 กรรมการชุดที่สองได้ปักหลักเขตไว้เป็นที่เรียบร้อย โดยฝ่ายไทยได้เสียดินแดนเพิ่มเติม จากเดิมที่ทะเลสาบเป็นของไทยตั้งแต่แม่น้ำโรลูออส (สตรึง โรลูออส) และครึ่งหนึ่งของทะเลสาบ รวมทั้งเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ

ในปี ค.ศ. 1907 คณะกรรมการชุดที่สองได้ยืนยันเขตแดนธรรมชาติโดยใช้สันปันน้ำตามที่ได้ตกลงกันเมื่อปี ค.ศ. 1904 ตลอดแนวทิวเขาบรรทัด (เขาดงรัก) 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องบกถึงช่องสะงำ และได้ปักหลักเขตแดนเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่หลักที่ 1 ที่ช่องสะงำจนถึงหลัก 73 ที่หาดเล็ก เดิมใช้หลักไม้ (ค.ศ. 1907) ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นหลักหินเมื่อปี ค.ศ. 1918 รวมทั้งสิ้น 73 หลัก เป็นระยะทาง 603 กิโลเมตรโดยประมาณ กับบริเวณสันปันน้ำ 195 กิโลเมตรซึ่งเป็นเขตแดนธรรมชาติที่ไม่จำเป็นต้องปักหลัก รวมทั้งสิ้น 798 กิโลเมตร

หลัก 73 ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คณะกรรมการปักปันได้ยึดถือตามพิกัดที่เล็งจากยอดเขาสูงสุดที่เกาะกูดมายังชายทะเลในอ่าวไทยทางทิศตะวันออกเป็นหลักเขตที่ 73 ตามรายงานปรากฏว่าฝ่ายฝรั่งเศสได้ขอให้เลื่อนไปอีกเล็กน้อยเนื่องจากหลักที่ 73 ซึ่งกำหนดไว้เดิมอยู่กลางหมู่บ้านของชาวกัมพูชา ไทยก็อนุโลมโดยขยับหลักที่ 73 พอให้พ้นบริเวณดังกล่าว ฉะนั้น การปักปันเขตแดนและปักหลักเขตที่แน่นอน (demarcation) จึงแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1908

เพราะฉะนั้น เมื่อเขตแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสก่อนที่จะเป็นประเทศกัมพูชา แล้วเสร็จมากว่า 103 ปีแล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องการปักปันหลงเหลืออยู่อีกต่อไป คณะกรรมการ JBC และ GBC ก็ไม่ใช่ “กรรมการปักปันเขตแดน” แต่เป็นเพียงคณะกรรมการ “ตรวจสอบ” หลักเขตแดนที่อาจชำรุดหรือสูญหายไปตามกาลเวลา อนึ่ง ในบริเวณ 195 กิโลเมตรที่ใช้สันเขาหรือสันปันน้ำเป็นเครื่องแสดงเขตแดนนั้น เนื่องจากสันปันน้ำเป็นหินธรรมชาติที่ชัดเจนและไม่มีวันเสื่อมสลาย จึงไม่มีปัญหาหรือข้อสงสัยหลงเหลืออยู่ทั้งฝั่งไทยและฝั่งฝรั่งเศสหรือผู้สืบสิทธิ์คือกัมพูชา

ปัญหาที่ตามมาคือ MOU 43 ซึ่งเป็นมหันตโทษต่อประเทศชาติ เนื่องจากเอกสารดังกล่าวมีเงื่อนงำซ่อนเร้นและหมกเม็ดแผนที่ระวางดงรัก 1: 200,000 จัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียวในปี ค.ศ. 1907 ในนามคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสโดยไทยมิได้มีส่วนร่วม ฝรั่งเศสได้รวมดินแดนในมลฑลบูรพา กล่าวคือ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ไว้ล่วงหน้าในแผนที่ดังกล่าว และจัดพิมพ์ขึ้นที่กรุงปารีสเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1908 ก่อนที่คณะกรรมการปักปันชุดที่สองปักหลักเขตแดนแล้วเสร็จ แผนที่ฉบับนี้เป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสด้วยวิธีการลากเส้นเขตแดนตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงและข้อบทแห่งสนธิสัญญา จึงผิดเพี้ยนจากเส้นเขตแดนที่แท้จริงและขาดความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง

อนึ่ง แผนที่ระวาง 1: 200,000 นั้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารมิได้วินิจฉัยความถูกต้อง เนื่องจากเป็นประเด็นนอกเหนือคำฟ้องเดิมของกัมพูชาซึ่งจำกัดเฉพาะตัวปราสาทและพื้นที่ที่ตั้งของปราสาท แผนที่ 1: 200,000 เป็นเพียงแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา เมื่อกัมพูชาพยายามขยายคำฟ้องโดยร้องขอให้ศาลพิจารณาสถานภาพของแผนที่ผนวก 1 และความถูกต้องของเส้นเขตแดนบนแผนที่ดังกล่าว ศาลจึงไม่พิจารณา แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้พิพากษา 3 ท่านยังได้วินิจฉัยในคำพิพากษาแย้ง และอีก 1 ท่านในคำพิพากษาเอกเทศว่าแผนที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ คำพิพากษาแย้งและเอกเทศนั้น ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา หาใช่เพียงความเห็นดังที่หลายท่านเข้าใจ และเป็นการยืนยันว่าแผนที่นั้นผิด ไทยน่าจะใช้ความผิดพลาดของแผนที่ 1: 200,000 ให้เป็นประโยชน์โดยเปิดเผยและตอกย้ำให้เป็นที่ทราบทั่วกันในทุกเวทีทั้งในและนอกประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ไม่ว่าโดยเสียดินแดนทางบกเพิ่มเติมอีกกี่ล้านไร่ หากหลักเขตที่ 73 ยังคงเดิม ไม่มีการเคลื่อนย้ายหรือรื้อถอน ความผิดพลาดของแผนที่ทางบกหาได้กระทบกระเทือนเขตแดนทางทะเลแต่ประการใด เขตแดนทางทะเลของไทยไม่มีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเส้นเขตแดนที่กัมพูชากำหนดขึ้นโดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ผ่านเกาะกูดนั้น เป็นเส้นที่ปราศจากหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย ปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยจึงไม่มี ไทยมิบังควรยอมรับเส้นเขตแดนไม่ว่าทางบก หรือทางทะเลที่กัมพูชาลากขึ้นโดยพลการ เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นการหยิบยื่นแผ่นดินไทยให้ผู้รุกรานโดยปราศจากการต่อสู้ทั้ง ๆ ที่หลักฐาน ข้อเท็จจริงและอำนาจต่อรองทั้งหมด รวมทั้งกำลังทหารที่เหนือกว่าอยู่ในมือ

ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
18 มีนาคม 2554
กำลังโหลดความคิดเห็น