xs
xsm
sm
md
lg

“สดศรี” ติดเบรก รบ.เร่งยุบสภา แนะให้แก้ กม.ลูกก่อน หวั่นถูกฟ้อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สดศรี สัตยธรรม
กกต.เตรียมใช้เหตุ กกต.ไม่พร้อมออกประกาศวิธีการเลือกตั้ง ชี้ มีข้อบกพร่องให้พรรคการเมืองโต้แย้ง และ กกต.อาจถูกฟ้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ แถม ม.7 รธน.แก้ไขไม่เปิดช่องให้ กกต.รวบออกประกาศเกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมือง-พ.ร.ป.กกต. ได้ ขณะเดียวกัน โต้ไม่สนหากถูกกล่าวหาเป็นต้นเหตุยื้อยุบสภา 9 พรรค จับสลากแถลงผลงาน 2 รอบ เริ่ม เม.ย.และ ก.ค.นี้

วันนี้ (7 มี.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า จะหารือกับ กกต.เกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกตั้งที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้ เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.แล้ว กกต.ก็ได้เตรียมพร้อมทุกอย่างเป็นการภายในแล้ว โดยเฉพาะร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93-98 และร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ และร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เนื่องจากทั้ง 3 ฉบับ ล้วนเกี่ยวพันกันและเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญที่ได้มีการแก้ไข

อย่างไรก็ตาม หาก กกต.ได้หารือกับนายกฯ ก็จะต้องชี้แจงให้เข้าใจว่า แม้มาตรา 7 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขจะระบุว่าหากมีการยุบสภาแล้วการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มา ซึ่ง ส.ว.ไม่แล้วเสร็จ ให้ กกต.ออกประกาศกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการเลือกตั้งเพื่อใช้กับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ระบุให้ กกต.ออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต.และเกรงว่า หาก กกต.มาใช้อำนาจตามมาตรา 7 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมาออกประกาศเกี่ยวกับกฎหมายอีก 2 ฉบับ ก็อาจถูกโต้แย้งตีความยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลฎีกา และกลายเป็นปัญหากล่าวหา กกต.ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาในภายหลังได้

“คาดว่า ที่ประชุม กกต.คงจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับให้แล้วเสร็จเสนอต่อ ครม.ได้ในสัปดาห์หน้า เพราะสัปดาห์นี้ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารเลือกตั้งติดภารกิจเดินทางต่างประเทศ แต่ก็จริงอยู่หากไม่มีการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ก็ไม่ได้ทำให้มีปัญหากับการจัดการเลือกตั้ง แต่ทั้ง 2 ฉบับเป็นส่วนประกอบที่จะต่อเนื่องจากการเลือกตั้ง เช่น ในเรื่องการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองให้กับพรรคการเมืองที่กฎหมายปัจจุบันให้ใช้จำนวน ส.ส.สัดส่วนมาเป็นหนึ่งในตัวคำนวณ ถ้าไม่แก้ไขเป็นใช้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อตามรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับใหม่ การจัดสรรเงินให้กับพรรคการเมืองก็ทำไม่ได้ หรือการที่รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม กำหนดว่าหลังยุบสภาแล้วให้กรรมการบริหารพรรคการเมือง และสาขาพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ถ้าไม่มีการแก้ไขจะมีปัญหาเรื่องขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณี พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ที่เขียนเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของ กกต.ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง หากไม่มีการแก้ไขให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม กกต.ก็ต้องแบ่งเขตโดยยึดกฎหมายเดิม ดังนั้นจึงควรมีการแก้ไขกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จก่อนจึงค่อยยุบสภา ซึ่งหากจะมีการเลือกตั้งในเดือน มิ.ย.ตามที่นายกฯระบุ การยุบสภาก็ต้องเกิดขึ้นในช่วงเดือน เม.ย.ซึ่งระยะเวลา 1 เดือนกว่าก่อนเลือกตั้ง คิดว่า หากสมาชิกรัฐสภาช่วยกันผลักดันร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ก็น่าจะผ่านการพิจารณา 3 วาระรวดได้ไม่ยาก”

นางสดศรี ยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาดังกล่าวคงไม่ทำให้ กกต.ถูกกล่าวหาว่า เป็นต้นเหตุให้รัฐบาลประกาศยุบสภาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งเชื่อว่านักการเมือง และพรรคการเมืองเองต่างก็สบายใจมากกว่าถ้ากฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับผ่านการพิจารณามากกว่าจะให้ กกต.มาออกเป็นประกาศ เพราะเวลานี้ถ้าในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง กกต.เตรียมทุกอย่างไว้แล้วทั้งเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 เขต พบว่า มี 53 จังหวัดที่การเพิ่มลดของจำนวนประชากรไม่มีผลต่อเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส.ดังนั้น ก็จะยึดการแบ่งเขตในปี 48 เป็นหลัก ส่วน 23 จังหวัดมีการเพิ่มลดของจำนวนประชากรที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส.โดยกทม.ได้รับผลกระทบมากที่สุดมีการลดลงของจำนวน ส.ส.จากเดิม 36 คน เหลือเพียง 33 คน ซึ่งขณะนี้สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศจำนวนราษฎร ณ 31 ธ.ค.53 แล้วว่า มีทั้งสิ้น 63,878,267 คน เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีจำนวน ส.ส. 375 คน ก็จะพบว่าจำนวนประชากร 170,342 คน ต่อจำนวน ส.ส.1 คน ส่วนเศษที่เหลือก็จะไปอยู่ในจังหวัดที่มีประชากรในเศษที่ลดหลั่นกันไป

นางสดศรี กล่าวถึงการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงาน กกต.และผู้แทนพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภา เพื่อจับสลากลำดับในการออกอากาศแถลงผลงานของพรรคการเมืองประจำปี 2554 โดยจะเป็นการจัดสรรเวลาให้ออกอากาศสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ห้วงเวลาการจัดสรรที่ 1 จะออกอากาศระหว่างวันที่ 18-28 เม.ย.นี้ และห้วงการจัดสรรที่ 2 จะออกอากาศระหว่างวันที่ 18-28 ก.ค.นี้ แต่ทั้งนี้ หากมีการยุบภาเกิดขึ้น ก็จะต้องงดการออกอากาศแถลงผลงานของทุกพรรค

อย่างไรก็ตาม ผลการจับสลากพรรคที่จะได้แถลงผลงานตามลำดับ 1.พรรคกิจสังคม 2.พรรคมาตุภูมิ 3.พรรคประชาธิปัตย์ 4.พรรคภูมิใจไทย 5.พรรคชาติไทยพัฒนา 6.พรรครวมชาติพัฒนา 7.พรรคเพื่อแผ่นดิน 8.พรรคประชาราช 9. พรรคเพื่อไทย โดยเนื้อหาของเทปผลงานที่แต่ละพรรคจะต้องจัดส่ง เพื่อนำมาออกอากาศนั้น ต้องจัดทำด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ไม่กระทบสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งเนื้อหาการแถลงผลงานไม่ควรเชื่อมโยงเหตุการณ์ในทางรุนแรง เสียดสี ความขัดแย้งในสังคม และควรเป็นการแถลงผลงานมากกว่าการแถลงนโยบายของพรรคการเมือง

ทั้งนี้ พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบต่อข้อความ หรือถ้อยคำ หรือรูปแบบที่ปรากฏในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอให้พรรคการเมืองต้องประชาสัมพันธ์ในเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ ว่า เทปหรือวัสดุดังกล่าวเป็นการแถลงผลงานของพรรคการเมืองตามมาตรา 79 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ซึ่งถ้อยคำ ข้อความ หรือรูปแบบ ใดที่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 12 ของประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องแนวทางปฏิบัติสำหรับการจัดสรรเวลาออกอากาศให้แก่พรรคการเมืองให้การแถลงผลงานของพรรคการเมืองทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐ พ.ศ.2554 นายทะเบียนอาจสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือสั่งระงับการออกอากาศของพรรคนั้นๆ ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น