xs
xsm
sm
md
lg

“ศรีศักร วัลลิโภดม” ชี้ยุคนี้ไม่มีคลั่งชาติ มีแต่พวก “รักชาติ” กับ “ขายชาติ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ให้สัมภาษณ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 มี.ค. 2554
นักวิชาการประวัติศาสตร์ “ศรีศักร วัลลิโภดม” เผย ในจุดประกาย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ชี้ ต้นเหตุปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนกัมพูชาฝ่ายเดียว เพราะไทยฮั้วกัน มีผลประโยชน์ทับซ้อน “ฮุนเซน” หยิบเรื่องนี้หวังหาคะแนนเสียง หวั่นผลกระทบหนักกลายเป็นสินค้า “วัฒนธรรมจอมปลอม” ส่วนข้อกล่าวหา “คลั่งชาติ” ในเมืองไทยไม่มี เป็นเรื่องเมกอัพขึ้นมา ฉะนักวิชาการบางคนตัดต่อคำพูด หวังให้ศาลโลกอ้างว่าเป็นของเขมร รับเชื้อชาตินิยมสมัยจอมพล ป.เป็นคอนเซปต์ที่ผิด แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่คนไทยหลากหลายเผ่าพันธุ์แต่มีสำนึกร่วมกัน ก่อนทิ้งท้ายแท้จริงคนไทยมีแต่พวก “รักชาติ” กับ “ขายชาติ” เท่านั้น

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 3 มี.ค.54 ในเซกชั่นจุดประกาย ได้ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการประวัติศาสตร์อิสระ ในหัวข้อ “คลั่งชาติ หรือ รักชาติ บทเรียนจากปราสาทพระวิหาร” ซึ่งเป็นการกล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการบางคนนำวาทกรรมคำว่าคลั่งชาติ ชาตินิยม ไปจนถึง ราชาชาตินิยม และ เสนาอำมาตย์ชาตินิยม เพื่อโจมตีให้กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

การสัมภาษณ์ดังกล่าวเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า ทำไมปราสาทพระวิหารถึงกลายเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียว รศ.ศรีศักร เห็นว่า เป็นเรื่องของการฮั้วกัน เพราะฝ่ายไทยเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน สมัยรัฐบาลก่อนมีการพัฒนาตะเข็บชายแดนตั้งแต่สามเหลี่ยมมรกตไปจนถึงทะเล เขาพระวิหารก็เป็นส่วนหนึ่งของตะเข็บชายแดน แต่รัฐบาลก่อนมีอันเป็นไป เขมรเลยร่วมกับยูเนสโกเอาองค์กรมรดกโลกเข้ามา แล้วพอเริ่มทำมาสเตอร์แพลนก็ไม่เคยเปิดเผย

ทั้งนี้ ตนได้ตั้งคำถามว่า ทำไมมรดกโลกถึงขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทซึ่งไม่สมบูรณ์ ต้องขึ้นทั้งไซต์ (Site) อย่างกรณีปราสาทพระวิหารก็ต้องมีพื้นที่รอบๆ ที่เรียกว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แต่ทางไทยขอสงวนสิทธิ์ในพื้นที่ตรงนี้ ศาลโลกก็ไม่ชัดเจน แล้วเขมรก็ยอมรับมาตลอด เพราะฉะนั้นจะเป็นมรดกโลกของเขมรฝ่ายเดียวไม่ได้

“ในความเห็นของผมมันต้องร่วมกัน เพราะหลักฐานของพฤติกรรมของคนตรงนั้น พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั้งสองฝ่ายมาทำพิธีกรรมร่วมกัน เป็นแหล่งชุมชนแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ก็ควรจะเป็นของทั้งสองฝ่าย แล้วทำไมมรดกโลกไปขึ้นให้เขมรฝ่ายเดียว และกำลังพยายามจะให้มีการบริหารจัดการด้วย สิ่งที่ผมสนใจคือ ความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในเขตชายแดนทั้งหมด เขาเดือดร้อน ต้องอพยพตั้ง 2-3 หมื่นคน แล้วพื้นที่ทำกินก็ถูกรังแก ถูกรุกโดยเขมร ทุนข้ามชาติเข้ามาเชื่อมโยงกับทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลเขมร คบคิดกัน ไม่ใช่เขมรรุกอย่างเดียว ไทยยอมทั้งสิ้น เพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน” รศ.ศรีศักดิ์ กล่าว

รศ.ศรีศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่อยากจะไปทะเลาะกับเขมร ซึ่งไม่มีประโยชน์ เพราะประชาชนเขมรน่าสงสาร ถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชาเคยพยายามปลุกผีเรื่องปราสาทพระวิหาร เรื่องความยิ่งใหญ่ของเขมรในอดีต เพราะเขมรถูกกดมาตลอด ตอนนี้สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ใช้เรื่องปราสาทพระวิหารหาคะแนนเสียง เมื่อมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็เลยไปกันใหญ่ เมื่อใช้เรื่องนี้มาด่าทอเมืองไทยเลยมีปฏิกิริยาจากผู้ที่รักชาติรักแผ่นดินขึ้นมา ซึ่งสาเหตุใหญ่คือการคอรัปชั่นที่นำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อนในประเทศไทย แล้วทำกันครบวงจร ใช้สื่อ ใช้นักวิชาการเข้ามาเกี่ยวข้อง

• ฉะมรดกโลกชั่วร้าย สร้างสินค้า “วัฒนธรรมจอมปลอม”

เมื่อถามว่า ถ้ามองข้ามเรื่องเส้นแบ่งพรมแดนไป คนในพื้นที่ตรงนั้นระหว่างไทย-กัมพูชา อยู่ร่วมกันอย่างไร รศ.ศรีศักร กล่าวว่า คนในพื้นที่รู้ว่าตรงไหนพื้นที่ใครโดยไม่เกี่ยวกับรัฐ แต่มีความเอื้ออาทรต่อกัน เฉกเช่นช่องตราเมือนที่มีปราสาทเก่า ซึ่งทำไว้เป็นฮินดู พอฮินดูหมดไปก็เอาไว้ไหว้ผี ซึ่งการทำพิธีกรรมทั้งสองฝั่งทำร่วมกัน แล้วก็มาค้าขาย ตรงไหนที่เป็นช่องเป็นด่านคนก็สัมพันธ์กัน ถ้ามีเหตุกระทบกระทั่ง มีเหตุการเมืองหรือผลประโยชน์เข้ามาก็เป็นเพราะคนจากข้างนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเหตุการณ์ปราสาทพระวิหาร คนทั้งสองฝ่ายเดือดร้อน แต่คนที่เข้ามาทำให้เกิดปัญหามาจากที่อื่น

เมื่อถามถึงผลกระทบกับคนเขมรจากการที่ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก รศ.ศรีศักร กล่าวว่า เมื่อพื้นที่ตรงนั้นพัฒนาแล้ว เดี๋ยวนี้คนเขมรขึ้นไปหากินไม่ได้ ถูกไล่ลง แต่คนกลุ่มอื่นเข้ามาแทนที่ กลายเป็นแหล่งการค้า มีโรงแรม มีคาสิโน (บ่อนการพนัน) พื้นที่เหล่านี้คนเขมรและคนไทยเข้าไม่ได้ เหมือนกับกรณีมรดกโลกหลวงพระบางในลาว ตอนนี้คนหลวงพระบางถอยออกมาหมดแล้ว เหลือแต่วัฒนธรรมจอมปลอมเป็นสินค้า มีการให้เช่าที่ ขายที่ คนต่างชาติเข้ามาแต่งงานปะปนกันก็เป็นตลาดนานาชาติ ซึ่งเมืองมรดกโลกฮอยอันในเวียดนามก็เหมือนกัน

“นั่นคือ ความชั่วร้ายของมรดกโลก ซึ่งทำผิดอุดมคติ แล้วคนท้องถิ่นได้อะไร แล้วคุณก็ชื่นชมกับศิลปวัฒนธรรม มันปลอมทั้งนั้น เพราะมันไม่สัมพันธ์กับชีวิตคนอีกต่อไปแล้ว ภาพที่เราเห็นมันไม่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต แต่มันถูกแช่แข็งไว้เพื่อเป็นสินค้าเท่านั้นเอง” รศ.ศรีศักร กล่าว

รศ.ศรีศักร กล่าวต่อว่า ตนเห็นด้วยในการอนุรักษ์ให้เป็นมรดกของโลก ให้เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ไม่ใช่แหล่งค้าขายมรดกโลกที่เข้ามาในเอเชียอาคเนย์ทั้งหมด ซึ่งมันเป็นการทำลาย ไม่เหมือนมรดกโลกในยุโรปที่คนท้องถิ่นช่วยจัดการ และภูมิใจว่าอยู่ในตำแหน่งที่เป็นมรดกโลก มีการดูแลรักษาอย่างดี แต่อย่างมรดกโลกที่สุโขทัยและอยุธยา คนพื้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมเลย มีแต่นักวิชาการกับไกด์ พูดแต่สิ่งห่างตัว ไม่เห็นวิถีชีวิตของคน เป็นมรดกโลกเพื่อจะหาเงินเท่านั้นเอง คนท้องถิ่นอย่างมากก็เป็นลูกจ้าง เป็นทาสติดดิน

• สลดคนไทยบางส่วนโดนตะวันตกครอบงำ

เมื่อถามถึงการใช้คำว่า “คลั่งชาติ” มาเรียกฝ่ายที่คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรฝ่ายเดียว รศ.ศรีศักรมองว่าเป็นการกล่าวหา ซึ่งความคลั่งชาติในเมืองไทยไม่มี เป็นเรื่องที่เมคอัพ (Make up) ขึ้นมาเท่านั้นเอง คนไทยมีความรักแผ่นดินเกิด เขายอมเสียดินแดนไม่ได้ นั่นไม่ใช่ความคลั่งชาติ แต่มันคือ แพทริออทิซึม (Patriotism) ซึ่งเป็นสำนึกของมนุษย์ทุกคน อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกไร้พรมแดน ซึ่งเป็นเรื่องของการครอบงำโดยตะวันตกในกระแสโลกาภิวัฒน์ แล้วทีอเมริกาโดนบอมบ์ตึกเวิลด์เทรด ก็ตามไปอัดเขาถึงอิรักนั่นไม่ใช่ชาตินิยมหรือ

“พวกนี้ถูกครอบงำโดยชาติตะวันตกนี่น่าเสียใจมากนะครับ เพราะไม่เคยมองแบบว่าตะวันออกเขาอยู่กันอย่างไร ผมคิดว่านี่อันตราย และที่อันตรายที่สุดที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีปราสาทพระวิหารคือประชาชนเดือดร้อน ถูกแย่งที่ทำกิน แย่งทรัพยากร ซึ่งเป็นเหมือนกันแทบทุกภาคในประเทศไทย เพราะฉะนั้นมันตอบคำถามว่าคนที่เดือดร้อนที่เข้ามาในกรุงเทพฯ สมัชชาคนจนที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เวลานี้ไม่ได้มีแต่ภาคอีสาน มาจากทั่วประเทศ ทุกคนพูดถึงเรื่องการถูกแย่งที่ทำกิน แย่งที่อยู่อาศัย และแย่งทรัพยากร นี่คือเรื่องใหญ่ในเมืองไทย สาเหตุอันเดียวกันคือคอรัปชั่นของนักการเมือง และข้าราชการที่เป็นกันแทบทุกรัฐบาล” รศ.ศรีศักร กล่าว

เมื่อถามว่า รศ.ศรีศักร เองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกคลั่งชาติด้วย รศ.ศรีศักร ตอบว่า นักวิชาการที่ออกมาต่อว่าตนก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย เพราะเขาเอาคำพูดของตนไปตัดต่อ ตนเขียนหนังสือ “เขาพระวิหาร : ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม” ตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่องนี้ขึ้นมา ตนเขียนว่ามันควรจะเป็นมรดกโลกร่วมกันด้วยเหตุผลอะไร ไม่ใช่เพราะเขมรเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่เปลี่ยนผ่านของตนทั้งสองฝ่าย หากเราพัฒนาร่วมกันโดยเสมอภาคกัน มันจะเป็นประโยชน์กับคนทั้งสองฝ่ายที่เขาเป็นญาติพี่น้องกัน พวกนักวิชาการเหล่านี้ตัดต่อมาแต่พูดไม่หมด แล้วจะไปโยงกับเรื่องรัฐบาลไทยกำลังจะไปขึ้นศาลโลก ศาลโลกก็จะอ้างว่านักวิชาการไทยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่ามันเป็นของเขมร ก็จบ

• ชี้ไม่มี “คลั่งชาติ” มีแต่คน “รักชาติ” กับ “ขายชาติ”

ในตอนท้ายเมื่อถามว่า ระหว่างเรื่อง “สำนึกรักแผ่นดินเกิด” หรือ “สำนึกชาติภูมิ” ต่างจากคำว่า “คลั่งชาติ” อย่างไร รศ.ศรีศักรกล่าวว่าเป็นคนละเรื่อง ความเป็นชาตินิยมอย่าไปมองว่ามันอยู่โดดๆ มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากการถูกรุกราน เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมโดยฝรั่งมาเอาเราเป็นดินแดน พอเรามีโอกาสเราก็ต้านด้วยการเป็นอิสระ แต่การเป็นอิสระต้องแสดงอาการชาตินิยม ก็สร้างอัตลักษณ์ขึ้นมา ทุกประเทศทำแบบนี้หมด

รศ.ศรีศักร กล่าวต่อว่า มาถึงสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้านในลักษณะที่ผิด เพราะไปเอาคอนเซ็ปต์ของพวกนาซีเข้ามา มีการเขียนประวัติศาสตร์ “เชื้อชาตินิยม” ซึ่งตนเป็นคนแรกที่พูดว่าไม่ใช่ เชื้อชาตินิยมเป็นคอนเซ็ปต์ที่ผิด เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสืบสายเลือดบริสุทธิ์ มันก็ปะปนกันหมด เราสร้างประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมตั้งแต่หลวงวิจิตรวาทการเรื่อยมา แล้วมันก็กระทบคนในประเทศ เพราะคนของเรามีหลายชาติพันธุ์ผสมปนเปกัน แต่มันมีสำนึกมาตุภูมิ สำนึกท้องถิ่นร่วมกัน

“คุณเกิดเมืองนี้ คุณจะตายเมืองนี้ แต่มันมีความหลากหลายได้ใช่ไหม คุณเกิดในประเทศไทยต้องสำนึกตรงนี้ นี่คือ เรื่องธรรมดา มีความหลากหลายในเผ่าพันธุ์แต่มีสำนึกในแผ่นดินเกิดร่วมกัน คุณเกิดบ้านไหนต้องรักบ้านเกิด นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ที่มีนักประวัติศาสตร์บางประเภทที่บอกว่าเราไปดูถูกเขมร เพราะเอาพฤติกรรมสมัยจอมพล ป. มาพูด เวลานี้มันหมดไปแล้วก็ยังไปขุดขึ้นมา คนไทยมันไม่มีพวก “ชาตินิยม” กับพวก “คลั่งชาติ” หรอก มันมีแต่พวก “รักชาติ” กับพวก “ขายชาติ” เท่านั้นเอง และผมประกาศตัวเต็มที่ว่าผมเป็นคนรักชาติรักแผ่นดินเกิด” รศ.ศรีศักร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น