โฆษก กก.ป้องกันราชอาณาจักร ยัน “มาร์ค” ทำเสียดินแดน ยอมรับข้อตกลงต่างชาติทำทหารเข้าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไม่ได้ จึงสลายม็อบหวังปิดปากแทน หยันคะแนน ปชป.ตก โต้นายกฯ ด่าม็อบถ่วงความจริง ซัดกลับไม่ดูตัวเอง ไร้สปิริต ส่งทีมฟ้อง ป.ป.ช.ฟันละเว้น ม.157 พรุ่งนี้ฉะรัฐจุ้นกระบวนการยุติธรรม แนะจับตาฮั้วประมูลรถไฟฟ้า 3 สาย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "นายประพันธ์ คูณมี" ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (6 มี.ค.) ที่สะพานมัฆวานฯ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า ตลอดการชุมนุมที่ผ่านมาสามารถยืนยันได้ว่ารัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ทำให้ประเทศได้สูญเสียดินแดนไปแล้ว ภายใต้ความตกลงที่ไปยอมรับกระบวนการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และอาเซียน ที่ส่งกองกำลังอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ และทำให้มีการหยุดยิง โดยที่กัมพูชายึดครองพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารอยู่ ซึ่งถึงขณะนี้ก็ยังมีการส่งกำลังทหารเข้ามายึดครองพื้นที่ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทหารไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้เลย ซึ่งรัฐบาลไม่กล้าพูดความจริงตรงนี้ และคาดว่าหากผู้แทนทหารอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา ทางกัมพูชาก็จะให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แน่นอน เพื่อยืนยันกับอาเซียนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่ในทะเลที่มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล
“วันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่สนใจเกี่ยวกับปัญหาชายแดนของประเทศเลย ทั้งที่ปราสาทพระวิหาร และตลอดตะเข็บชายแดยไทย-กัมพูชา ทำให้ประชาชนจะได้รับผลกระทบในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียดินแดนอีกกว่า 1.8 ล้านไร่ เป็นผลจากการทำงานของรัฐบาลที่ล้มเหลว ไปทำข้อตกลงที่เสียเปรียบกัมพูชา จึงพยายามกลบเกลื่อนโดยการสลายการชุมนุม เพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้นำเสนอข้อเท็จจริงเช่นนี้” นายประพันธ์กล่าว
โฆษกคณะกรรมการฯ กล่าวอีกว่า จากการเปิดโปงข้อเท็จจริงในการบริหารบ้านเมืองที่ล้มเหลวของพันธมิตรฯ ทำให้โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ในการชนะในการเลือกตั้ง ถูกปิดตามลงไปตามลำดับ เพราะประชาชนผิดหวังจากการทำงาน การที่นายอภิสิทธิ์ ไปบรรยายที่สถาบันพระปกเกล้าแล้วระบุว่า การที่ประชาธิปไตยของไทยยังไม่พัฒนาเพราะนักการเมืองโกงกิน และคนบางกลุ่มมีการใช้ความรุนแรงนั้น ตนเห็นว่าปัญหาที่เกิดมาจากนักการเมือง ไม่ใช่จากประชาชน โดยเฉพาะตัวนายอภิสิทธิ์เองที่ไม่เคยแก้ปัญหา โดยไม่เคยแสดงบรรทัดฐานของความเป็นนักการเมืองที่ดี เมื่อทำผิดไม่แสดงสปิริตรับผิดชอบ ดื้อด้านดันทุรังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ฟังเสียงประชาชน ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถอยหลังลงคลอง ดังนั้นการมาโทษว่าการชุมนุมของประชาชนเป็นตัวถ่วงประชาธิปไตยนั้น จึงไม่เป็นความจริง
นายประพันธ์ยังเปิดเผยด้วยว่า วันพรุ่งนี้ (7 มี.ค.) ทางทีมกฎหมายของพันธมิตรฯ จะไปยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) กล่าวโทษนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ฐานกระทำความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 และมีพฤติกรรมไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน รวมทั้งยังมีการร่างคำร้องเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการยื่นถอดถอนไปพร้อมกันด้วย ซึ่งนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ อยู่หว่างการร่างคำร้อง คาดว่าสามารถยื่นได้ตามกำหนด
นายประพันธ์กล่าวด้วยว่า การยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ และยื่นถอดถอนต่อรัฐสภานั้น ก็เพื่อเป็นการฟ้องประชาชนว่ารัฐบาลทำผิดกฎหมายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ แม้ว่าวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะมีพฤติกรรมแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่ต่างจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม โดยมีการแทรกแซงศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นกรณีปล่อยตัว 7 แกนนำคนเสื้อแดง ทั้งนี้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์หวังดึงคนเสื้อแดงมาเป็นพวก เพื่อต่อต้านการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และสร้างการเคลื่อนไหวอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเบี่ยงเบนประเด็น ทั้งนี้ในอีกหลายๆคดีก็มีการแทรกแซงในชั้นไต่สวน อย่างกรณีซิตี้การ์เด้นท์ ที่นำพื้นที่ในสนามบินสุวรรณภูมิไปให้เอกชนหาประโยชน์ โดย ป.ป.ช.ไม่ชี้มูลความผิดทางอาญา แต่มีคำสั่งให้เอกชนจ่ายค่าเช่าชดเชยย้อนหลัง ทำให้รัฐเสียหายอย่างร้ายแรง
“หากการเมืองในระบอบนายอภิสิทธิ์ นายเนวินยังอยู่ ทุกเรื่องที่คณะกรรมการไต่สวนว่ามีการทุจริตก็จะกลับมติ และวิ่งเต้นแทรกแซงให้ ป.ป.ช.ให้มีข้อวินิจฉัยในทางที่มีประโยชน์ต่อนักการเมืองตลอด” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้นักการเมืองโดยเฉพาะรัฐบาลมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง และหวังกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ทำเป็นหูทวนลมกับข้อเท็จจริงที่ภาคประชาชนพยายามนำเสนอ โดยเฉพาะกรณีทุจริต โดยตนอยากให้จับตาการประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง มูลค่าหลายแสนล้านที่จะมีการเร่งประมูล เพื่อนำเงินจากบริษัทพรรคพวกตัวเองซึ่งมีการฮั้วไว้แล้วมาเป็นทุนในการเลือกตั้ง รวมทั้งกรณีการแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มที่รัฐบาลไม่ยอมให้มีการนำเข้าเสรี เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการแข่งขันในการนำเข้า ทำให้นักการเมืองงเสียประโยชน์ โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์ม ที่เลือกการอนุมัตินำเข้าครั้งละไม่มาก หวังให้เอกชนมาวิ่งเต้นเพื่อขอโควต้าไปจำหน่าย เป็นช่องทางหากินของนักการเมือง