xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ชำแหละการเมืองสัตว์นรก - ปลุกนายทหารรุ่นหนุ่มจับมือ ปชช.ขับไล่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” เปรียบนักการเมืองไทยเป็น “สัตว์นรก” ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี เล่นการเมืองแบบ “โจราธิปไตย” มีกลุ่มทุนเป็นเจ้าของพรรคใช้เงินลงทุนเพื่อเข้าสู่อำนาจแล้วโกงกิน ขณะเดียวกันก็ทำให้ทหารอ่อนแอ ไม่เป็นเสาหลักค้ำสถาบันกษัตริย์ ไม่ปกป้องดินแดน จวก ปชป.จัดงานหาทุนแค่บังหน้าทั้งที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน ย้ำต้องกำจัดนักการเมืองสัตว์นรก อยากเห็นประชาชนเรือนแสนเดินออกมาไล่รัฐบาล โดยมีนายทหารรุ่นหนุ่มที่รักบ้านเมืองออกมาคุ้มกัน



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”  

เมื่อเวลา 20.50 น. วันที่ 5 มี.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดยได้กล่าวถึงพิธีพระราชทานเพลิงสรีรสังขารหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า เมื่อได้ดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ยังรู้สึกว่าหลวงตายังอยู่กับพวกเราไปตลอด เพราะเราต่อสู้ด้วยการเอาธรรมนำหน้าตามที่หลวงตาเคยสอนตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มออกมาต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งการเอาธรรมนำหน้าก็คือการเอาความจริงมาพูด ตัวบุคคลไม่มีความหมาย ถ้าใครทำผิดธรรมเราก็มีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์

นายสนธิกล่าวต่อว่า วันนี้ตนเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปวางดอกไม้จันทน์แล้วนึกเสียดายที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้นั่งลงกราบขอขมาหลวงตาที่พรรคประชาธิปัตย์เคยจาบจ้วงท่านสมัยที่หลวงตาทำผ้าป่ารับบริจาคทองคำช่วยชาติและนำเข้าคลังหลวง แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์เอาเงินคลังหลวงไปใช้ จนคณะลูกศิษย์หลวงตาต้องออกมาประท้วง ทั้งนี้ หลวงตาไม่ได้ช่วยชาติเฉพาะเรื่องทองคำ แต่ยังช่วยโรงพยาบาลต่างๆ มากกว่ากระทรวงสาธารณสุขเสียอีก เมื่อครั้งที่ตนไปกราบหลวงตาและบอกท่านเรื่องการสูญเสียดินแดน ท่านก็บอกเรื่องนี้ยอมไม่ได้ เรามีหน้าที่รักษาแผ่นดินที่ปู่ยาตายายรักษาไว้ให้เรา เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า หลวงตากับพันธมิตรฯ ไม่ต่างกัน เราเดินทางตามท่าน เมื่อสิ้นท่านเรามีหน้าที่สืบทอดเจตนารมณ์ของท่าน และการต่อสู้ของเราคือการเอาธรรมนำหน้าทั้งสิ้น

หลังจากนั้นนายสนธิได้กล่าวถึงเหตุผลที่ประเทศไทยต้องล้างนักการเมืองเก่าให้หมดว่า เพราะการเมืองไทยวันนี้ได้พัฒนากลายพันธุ์เป็นการเมืองของวพวกสัตว์นรก ไม่เว้นพรรคไหน ล้วนเป็นสัตว์นรกทั้งสิ้น นักการเมืองไทย 99% เป็นพวกสัตว์นรก ที่เป็นสัตว์เพราะไม่มีจิตใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้อยู่อย่างเดียวอยากจะกินอะไรก็เข้าไปกัดกิน อยากกินของอาจมโสโครกก็เข้าไปกัดกิน อยากจะกัดใครก็กัด อยากจะถ่ายปัสสาวะรดใครก็ถ่าย และที่เป็นสัตว์นรกนั้นเพราะนรกเป็นที่รวมของคนบาป

นายสนธิกล่าวต่อว่า การเมืองพัฒนามาเป็นการเมืองสัตว์นรก หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 โดยคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นนักเรียนนอก ที่ต้องการให้ประเทศไทยเจริญแบบฝรั่งในลักษณะของความเท่าเทียมกัน ขณะที่รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อม แต่พระองค์ก็ทรงสละพระราชอำนาจ โดยทรงบอกว่าพระองค์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชนชาวไทยทั้งหมด ไม่ได้ให้บุคคลคณะใดคณะหนึ่ง ทั้งนี้ ตนเห็นว่าพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีวิสัยทัศน์นั้น หากได้นำประเทศอย่างจริงจังแล้วประเทศไทยจะไม่มีวันเสียหายอย่างทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในอดีต เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงรักษาจังหวัดตราดไว้ โดยยอมเสียพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้ฝรั่งเศส ทำให้มีหลักเขตที่ 73 เมื่อลากเส้นลงไปในทะเลแล้วไทยจะได้พื้นที่ 75% ของอ่าวไทย แต่พระปรีชาสามารถนี้ถูกทำลายสมัยรัฐบาลไทยรักไทยจนถึงรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ทำให้หลักเขตที่ 73 เปลี่ยนไป ทำให้ไทยจะได้พื้นที่เพียง 25% ที่เหลือ 75% เป็นของเขมร

นายสนธิกล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงเมื่อปี 2475 นั้น เป็นการเปลี่ยนคณะบุคคลที่เข้ามาปกครองประเทศเท่านั้น และหลังจากนั้น ก็มีพวกที่แวดล้อมสถาบันกษัตริย์ เป็นพวกที่มีศักดินา เป็นขุน เป็นคุณหลวง เป็นพระยา หรือเจ้าพระยา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง คนกลุ่มนี้คืออำมาตย์ในความหมายของคนเสื้อแดง พวกนี้ต้องการรักษาสถานภาพตัวเอง จึงตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาคือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคนี้จึงเป็นตัวแทนของกลุ่มอำมาตย์และเป็นที่รวมของนายทุนเก่า จนถึงยุคที่นายชวน หลีกภัย เข้ามา ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ใช้แนวทางเก่าในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร ถ้าทหารออกมาก็ด่าหมด จึงเป็นที่นิยมของคนภาคใต้และคนกรุงเทพฯ และอยู่มาตลอด

พรรคประชาธิปัตย์มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อไอเอ็มเอฟเข้ามา ทำให้คิดว่าต้องเล่นเกมตะวันตก นั่นคือที่มาของการการตั้ง ปรส.ยึดทรัพย์สินของคนไทยไปขายฝรั่งราคา 10% แล้วฝรั่งก็มาเรียกเก็บคืนจากคนไทย 100% จากพรรคที่เคยมีอุดมการณ์ กลายเป็นพรรคที่เห็นความชั่วเป็นสิ่งถูกต้อง ในการเลือกตั้งปี 2544 เป็นครั้งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า การเมืองที่เล่นแบบเดิม แบบศักดินาที่ไม่ทำอะไรเลย หรือแบบชวนเชื่องช้านั้น เมื่อมาเจอกับทักษิณที่ตัดสินใจเร็ว ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ทำให้คนเห็นว่าแก้ปัญหาได้ แล้วประชาธิปัตย์ก็เห็นว่าทักษิณนั้นครอบงำสถาบันต่างๆ ทั้งตุลาการ ตำรวจ ทหาร จนรวบอำนาจได้หมด เพียงแต่ทักษิณประเมินพันธมิตรฯ ต่ำไป จนทำให้เกิดการประท้วงตั้งแต่ปลายปี 2548 ต่อเนื่องถึงปี 2549 จนเกิดการยึดอำนาจวันที่ 19 กันยายน

นายสนธิกล่าวต่อว่า การยึดอำนาจในวันที่ 19 ก.ย.49 นั้น เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ ประการแรกคือ คณะรัฐประหารให้เหตุผลว่า เพราะพันธมิตรฯ จะออกมาประท้วงทักษิณที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ แล้วทักษิณสั่งให้นายยงยุทธ และนายเนวิน เตรียมคนมาประทะให้ถึงเลือดถึงเนื้อ นี่คือข้ออ้างที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินนำทหารออกมายึดอำนาจ อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่เคยนำมาพูด คือ เป็นเพราะนายทหารกำลังจะถูกโยกย้ายจนสูญเสียอำนาจ พล.อ.สนธิอาจถูกย้ายหลังทักษิณกลับมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็จะถูกย้ายเช่นกัน จึงออกมาร่วมยึดอำนาจ เพราะฉะนั้นทหารยึดอำนาจในตอนนั้นเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน หรือเพราะเห็นว่าทักษิณเป็นตัวอันตรายต่อประเทศแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น ทหารสมัยนี้ถ้าเขาไม่ถูกขู่เข็ญว่าจะโดนถอดออกจากอำนาจ เขาจะไม่ทำอะไร ทหารไม่เป็นเหมือนสมัยก่อนแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเมืองสัตว์นรกทำให้เป็น เพื่อทำลายสถาบันทหาร ซึ่งการทำลายสถาบันทหารก็เท่ากับเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากสถาบันกษัตริย์มีทหารและประชาชนเป็นเสาค้ำยัน

นายสนธิกล่าวต่อว่า มีคำ 3 คำที่ใช้อธิบายลักษณะของการเมืองไทยทุกวันนี้ คือ คำว่า คณาธิปไตย หมายถึงประชาธิปไตยของหมู่คณะ ในที่นี้คือพรรคการเมือง เมื่อก่อนเราให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคก็ได้ แต่ต่อมามีการบังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรค เพื่อให้นายทุนการเมืองง่ายต่อการระดมทุน เพราะถ้าให้มี ส.ส.อิสระ จะต้องไปซื้อตัวเป็นรายบุคคลหลังจากเลือกตั้งแล้ว แต่ถ้าเป็นพรรค ก็จะมีกรรมการบริหารพรรคจัดตัวคนลงสมัคร แล้วจ่ายเงินให้ เมื่อได้เป็น ส.ส.เข้ามาแล้วก็ต้องทำตามมติพรรค แม้ว่าพรรคจะขายชาติก็ต้องนั่งอยู่เงียบๆ ระบบนี้ทำให้พรรคการเมืองกลายเป็นของครอบครัว เช่น พรรคชาติไทยพัฒนาก็เป็นของตระกูลศิลปอาชา ไทยรักไทยหรือเพื่อไทยก็เป็นของทักษิณ ชินวัตร และอีกหลายๆ คนก็แข่งกันตั้งพรรค ไม่ว่าจะเป็นนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ทั้งนี้เพื่อลงทุนทางการเมือง

นายสนธิกล่าวว่า เมื่อมีคณาธิปไตยก็ต้องมีธนาธิปไตย คือ ประชาธิปไตยที่ใช้เงิน ซึ่งคณาธิปไตยจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน และเงินก็มาจากนายทุน ซึ่งนายทุนบางคนก็ให้เงินหลายพรรค ตั้งแต่มีพรรคการเมืองมาเราจึงไม่เห็นกลุ่มธุรกิจที่หนีภาษีถูกจับได้แม้แต่คนเดียว แล้วคนไทยทั้งประเทศก็ต้องแบกภาระสินค้าราคาแพง ทักษิณเข้าใจประเด็นนี้จึงเอาเงินไปให้คนยากไร้ เมื่อได้เงินมาฟรีๆ ก็ไม่สนใจว่าของจะราคาแพง

เมื่อเป็นคณาธิปไตยก็มีการลงทุนทางการเมือง เงิน 2 พันล้านเมื่อก่อนอาจจะได้ ส.ส.200 คน แต่สมัยนี้คงไม่พอ เช่น ถ้าจะเอา ส.ส.สัก 50 คนในภาคอีสาน ตอนนี้มีหลายพรรคแย่งกัน ส.ส.คนหนึ่งอาจต้องใช้ 50-60 ล้าน เพราะฉะนั้น ส.ส.ทั้งภาคอีสาน 100 กว่าคน อาจต้องใช้เงิน 1 หมื่นกว่าล้าน

นายสนธิกล่าวต่อว่า ตอนตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆ ก็ไถเงินมาจากเจ้าสัว แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไถ เพราะโกงบ้านโกงเมืองมาได้เป็นแสนล้าน คนพวกนี้ก็เห็นว่าถ้าลงทุนเอาเงินไปซื้อเสียงแล้วได้อำนาจมาก็เข้ามาโกงต่อไปได้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้มีการซื้อ ส.ส.คนโคราชคนหนึ่งให้ย้ายพรรคในราคา 60 ล้าน เพื่อให้พรรคได้ ส.ส.เพิ่ม 1 คน ไม่นับเงินหาเสียงอีก ซึ่งรวมแล้วน่าจะตกประมาณ 100 ล้าน ซึ่งถ้าใช้เงิน 100 ล้านเพื่อให้ได้เป็น ส.ส. 4 ปีได้เงินเดือนไม่กี่ล้านคงไม่ทำ แต่พรรคการเมืองเห็นว่าวิธีนี้ได้ผลก็ทำ ยกตัวอย่าง ถ้าได้เป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงพลังงาน ก็สามารถหากินกับ ปตท.และอีกหลายๆ เรื่องเป็นหมื่นล้าน ทำให้นักการเมืองตอนนี้มีเงินหลายหมื่นล้าน เมื่อก่อนได้ 10 ล้านก็ดีใจตายแล้ว ตอนนี้ได้พันล้านยังบอกว่าน้อย ไม่พอ

นายสนธิกล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จัดงานหาทุนเข้าพรรคเป็นเพียงม่านบังตา เพราะที่จริงแล้วตอนนี้มีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน ยืนยันได้ โดยสันดานนักการเมืองนั้นก็จะแบ่งวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง สมมติว่าโกงมาได้ 100 ล้าน ก็เอาเข้าพรรค 50 ล้าน อีก 50 ล้านเข้ากระเป๋าตัวเอง นี่คือการลงทุนทางการเมือง มีคณะบุคคลตั้งพรรคการเมืองมาลงเลือกตั้งที่ต้องใช้เงิน เมื่อ 2 อย่างรวมกันจึงกลายเป็นโจราธิปไตย เป็นประชาธิปไตยของโจร การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นเพียงปาหี่ด่ากันไปมาแล้วก็จบลงด้วยการเลือกตั้งใหม่ เพื่อเอาโจรพวกนี้กลับเข้ามาไม่มีวันจบสิ้น

พวกเราเคยมีความหวังกับนายอภิสิทธิ์วันที่เข้ามาเป็นนายกฯ เพราะเราเห็นว่าเขาเหมือนหยดน้ำฝนในทะเลทรายที่แห้งแล้ง เราหวังว่าจะหยดฝนนี้จะสร้างความชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาให้ประเทศบ้าง แต่เราเข้าใจผิด แท้จริงแล้วเขาคือนักเลือกตั้งคนหนึ่งที่ถูกระบบกลืนเข้าไป การที่เขาจำเป็นต้องร่วมมือกับนายเนวิน ชิดชอบ พวกเราก็กล้ำกลืนพยายามททำใจว่าเป็นเพราะความจำเป็น ไม่เช่นนั้นจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เรามีความรู้สึกว่าการกระทำทุกอย่างของนายอภิสิทธิ์หาใช่ฝืนใจไม่ แต่เป็นการรู้ร่วมคิด ร่วมสังวาสกัน เพราะว่านายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์กลายพันธุ์ไปแล้ว หลังจากเขาเห็นตอนพรรคไทยรักไทยมีอำนาจแล้วเก็บเงินเก็บทองได้ และเห็นว่าการเมืองยุคนี้ต้องใช้เงิน พรรคประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นสัตว์นรกการเมืองไปอีกพรรค

นายสนธิกล่าวอีกว่า วันนี้หลักการไม่มีความหมายสำหรับพรรคเก่าเแก่ที่เราเคยมีความหวัง เราไปตั้งความหวังมากเกินไป ลืมไปว่าผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ที่เลวที่สุดคือการเมืองต้องการทำลายทหาาร ที่เป็นเสาหลักของชาติ บ้านเมืองต้องมีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งถูกหนุนด้วยประชาชนและทหาร ในสมัยทักษิณ สถาบันกษัตริย์สูญเสียฐานประชาชนไปให้ทักษิณจำนวนมากจากนโยบายประชานิยม จนเกิดพันธมิตรฯ ขึ้นมา และมีหลายๆ ฝ่ายมาร่วมกันรวมทั้งพวกห้อยโหนอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามาพึ่งพาเราในการล้มทักษิณ ส่วนทหารที่เคยเป็นเสาหลักค้ำสถาบันกษัตริย์นั้น ก็เริ่มเพี้ยนเมื่อทักษิณขึ้นมาและเอาคนของตัวเองขึ้นมา รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทหารขึ้นกับจอมทัพ แต่ตอนนี้ทหารขึ้นกับรัฐมนตรีกลาโหม เมื่อเรามีรัฐมนตรีกลาโหมที่เล่นการเมืองอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทหารก็ฉิบหาย เป็นทหารที่ไม่ทำหน้าที่ทหาร และแตกเป็นเสี่ยงๆ การเมืองก็ทำให้ทหารอ่อนแอต่อไป มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินก็ไม่ปกป้อง และไม่มีเอกภาพ ผบ.ทบ.กลายเป็นคนของนักการเมือง

นายสนธิกล่าวต่อว่า ต่อไปการปกปครองประเทศจะอยู่ในมือของสัตว์นรกการเมืองทั้งหมด ถ้าทหารไม่สามารถเป็นตัวคานอำนาจได้ นักการเมืองก็ทำอะไรก็ได้ตามใจ เขาทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทหารชั้นผู้ใหญ่กลายเป็นทหารที่กะล่อน ไม่ดูแลผู้น้อย ไม่รักษาศักดิ์ศรี ผู้บังคับกองพันนายทหารรุ่นหนุ่มเคียดแค้นใจมากที่นายตัวเองเป็นแบบนี้ การที่พรรคประชาธิปัตย์เอา พล.อ.ประวิตรมา และการจับมือกับนายเนวิน ถือว่าเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง

นายสนธิกล่าวว่า ตนอยากเห็นประชาชนที่รักชาติร่วมมือกับทหารที่รักบ้านรักเมืองและอยากกู้ศักดิ์ศรีทหารคืนมา ตนฝันเห็นประชาชนเดินออกมาเป็นแสนคน และทหารรุ่นหนุ่มที่รักบ้านเมืองออกมาคุ้มกันพร้อมอาวุธ ส่วนตำรวจนั้นหมดหวังไปแล้วเพราะไปอยู่ใต้อุ้งตีนนักการเมือง ประเทศจะอยู่ได้ต้องล้มสัตว์นรกพวกนี้ลงไปให้ได้ และนักการเมืองในอนาคตต้องเสียสละ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ไม่ใช่ลงทุนเพื่อเข้ามายกมือในสภาแล้วโกงกินทุกยอ่าง รวมทั้งขายแผ่นดินให้เขมร ไม่เช่นนั้นชาติบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่เห็นด้วยต้องออกมา ทหารที่รักบ้านรักเมืองต้องออกมาร่วมกับเราขับไล่รัฐบาลชุดนี้

คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล”ปราศรัย

วันนี้ใครได้เห็นงานพระราชทานเพลิงศพขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์บ้าง ยกมือหน่อยครับ ผมไม่ได้ไป แต่ผมนั่งภาวนา และผมกราบท่านเมื่อตอนเที่ยงบนโต๊ะหมู่บูชาที่ผมตั้งพิเศษสำหรับท่านโดยเฉพาะ และผมมามองดู ผมมาดูวัตรปฏิบัติขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ ตลอดจนคำสอนที่ท่านเคยเมตตาสอนผมเป็นส่วนตัวแล้ว ผมมีความรู้สึกว่าท่านอยู่กับพวกเราตลอด เพราะว่าทุกอย่างที่ท่านสอนนี่พวกเราทำอยู่ตลอดเวลาในขณะนี้

พี่น้องจำเรื่องเก่าๆ ที่เล่าให้ฟังได้ไหมว่า ตอนที่ลุกขึ้นมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใหม่ๆ นั้น ท่านเป็นคนพูดเอง ท่านบอกว่า เราขอบิณฑบาตทั้งสนธิ และทักษิณ มาพบกัน เพื่อที่จะให้ชาติบ้านเมืองมันสงบ ผมก็ไป แต่ทักษิณไม่ไป ทักษิณส่งผู้ว่าฯ ไป ท่านก็ตวาดไล่ผู้ว่าฯ กลับไป บอกว่ามาทำไม เสร็จแล้วท่านก็เดินขึ้นกุฏิ พอท่านรู้ว่าทักษิณไม่ไป แล้วท่านก็หันมาพูดบอกว่าทักษิณมันหมดบุญแล้วนะ

พอออกมาต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร นั้น ท่านก็บอกว่าให้เอาธรรมนำหน้า คำว่าธรรมที่ท่านหมายถึงนั้นก็คือให้เอาความจริงมาพูด เพราะว่าหลวงตาเวลาท่านดุคน หรือถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน คนบ้านนอก คือท่านด่าใคร ท่านเอาธรรมด่า ขนาดพระมหาเถรชั้นผู้ใหญ่ แต่พรรษาน้อยกว่าท่าน ไปกราบท่าน ท่านยังด่าหน้าตาเฉยเลย พอด่าจบท่านบอกว่า ท่านต้องไม่โกรธผมนะ เพราะผมใช้ธรรมว่าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจะมียศอะไรก็ตาม ยศท่านจะใหญ่กว่าธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าธรรม ก็คือความจริงซึ่งยืนอยู่บนสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับทุกวันนี้ที่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็น อ.ปราโมทย์ ปานเทพ อ.เทพมนตรี ประพันธ์ คูณมี ผม หลายๆ คนนั้น ขึ้นมาบนเวที เราเอาธรรมนำหน้า คือเราเอาความจริงนำหน้า เมื่อเราเอาความจริงนำหน้าแล้ว ตัวบุคคลไม่มีความหมาย จะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือจะเป็นใครก็ตาม ถ้าใครทำผิดธรรม เราก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์เขา ใช่/ไม่ใช่พี่น้อง

ทำไมผมถึงกล้าพูดว่า องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเป็นตัวแทนของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะท่านทำได้สมบูรณ์แบบมาก ท่านทำเพื่อชาติ ท่านทำอะไรเพื่อชาติ ท่านช่วยชาติใช่มั้ย ท่านเอาผ้าป่า ทอดผ้าป่าเพื่อเอาทองคำไปช่วยชาติ ใช่/ไม่ใช่ ท่านไม่ได้ช่วยตัวท่านเอง เกือบ 20,000 ล้าน ที่ท่านทำให้ ท่านทำจากน้ำพักน้ำมือของท่าน และท่านใช้ธรรม และท่านมีความอดทน ท่านไม่ได้ต่างกว่าพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว

ตอนที่ท่านเริ่มผ้าป่าช่วยชาติใหม่ๆ ใครบ้างที่กระแนะกระแหนท่าน มากมายไปหมด หนังสือพิมพ์แทบจะทุกฉบับ คอลัมนิสต์ต่างๆ แม้กระทั่งคนอย่างเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ยังกระแนะกระแหนท่านในขณะนั้น แต่ท่านอดทน เพราะว่าท่านรู้ว่าท่านใช้ธรรมเป็นตัวนำหน้าและท่านมีจิตที่บริสุทธิ์

วันนี้ผมดูในทีวีแล้ว ผมเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งอยู่ข้างหน้า ถัดไปด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายอะไรก็ตามของเขา ผมยังมีความรู้สึก ถ้าพี่น้องติดตามเรื่องนี้ ผมหวังว่านายอภิสิทธิ์ เวลาที่ไปวางดอกไม้จันทน์ที่โลงท่าน เสียดายที่เขาไม่ได้ก้มลงกราบแล้วตั้งจิตภาวนะขอขมา ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยจาบจ้วงท่านในช่วงแรกที่ท่านระดมทองคำ แค่ยกมือไหว้ ยื่นไป แล้วก็ยกมือไหว้ แล้วก็เดินออก ให้เป็นพิธี ผมขำตรงไหนรู้มั้ย ผมขำตรงที่ว่า ก็ไม่ใช่เพราะพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพราะนายจัตุมงคล โสณกุล ที่ลูกชายอยู่พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้นหรือ ที่เป็นตัวการที่เอาทองคำในคลังหลวงนั้นแยกออกมาต่างหาก แล้วจะเอาเงินในคลังหลวงนั้นไปใช้ในกรณีนั้น แล้วหลวงตาไม่ยอม จนกระทั่งลูกศิษย์ต้องลุกขึ้นมาประท้วง ไปประท้วงที่แบงก์ชาติ มายืนต่อสู้กันตั้งหลายยก หลายเวลา จำได้มั้ยพี่น้อง ฝีมือพรรคประชาธิปัตย์

แล้วพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นพวกที่ออกมาจาบจ้วงองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ แต่วันนี้งานศพท่านก็ไปนั่งหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยม เพื่อที่จะให้เห็นว่าตัวเองนั้นไป เพราะฉะนั้นแล้วผมถึงบอกว่า ในที่สุดแล้วอะไรมันก็หนีธรรมไม่พ้น เรื่องชาติ ท่านช่วยชาติ ท่านช่วยไม่ใช่เฉพาะเรื่องทอง ท่านช่วยโรงพยาบาลทุกโรงพยาบาล ท่านช่วยโรงพยาบาลมากกว่ากระทรวงสาธารณสุขช่วยเสียอีก เพราะท่านช่วย ท่านช่วยด้วยจิตใจท่าน นอกจากท่านช่วยโรงพยาบาลแล้ว ท่านยังบอกให้พี่น้องรักษาชาติ รักษาบ้าน รักษาเมือง

เมื่อผมไปกราบท่านในเรื่องของการที่แผ่นดินไทยจะสูญเสียให้เขมร ท่านบอกว่า ไม่ได้ เรามีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ตามที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ได้สร้างแผ่นดินนี้ขึ้นมา ท่านเป็นคนพูดเอง เพราะฉะนั้นนอกจากท่านช่วยชาติแล้ว ท่านยังต้องให้พวกเรามาปกป้องแผ่นดินอีก เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าหลวงตากับพันธมิตรฯ ไม่ได้ต่างกันเลย จริงๆ แล้วเราเดินตามเส้นทางของท่าน

ศาสนา ท่านเน้นในเรื่องพระธรรมวินัย ท่านเน้นมาก ท่านไม่สนใจเลยว่าใครจะได้พัดยศอะไรทั้งสิ้น ท่านเน้นว่าพระนั้นต้องไม่ถือเงิน ท่านเน้นมากว่าพระนั้นต้องไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก วัดป่าบ้านตาดเป็นวัดที่ธรรมชาติที่สุด ธรรมดาที่สุด กุฏิพระนั้นไม่มีไฟฟ้า ตอนที่ผมบวชอยู่ต้องจุดเทียนไข เพื่อที่จะสวดมนต์ มืดสนิท พอดับเทียนไขแล้วมันมืดสนิทไปเลย ยกเว้นตัวศาลาเท่านั้นเองที่จะมีไฟฟ้า เพราะฉะนั้นท่านเน้นในเรื่องของความที่เป็นสมถะ

ศาสนา ท่านเน้นให้คนทำดี ท่านบอกตลอดเวลาเลย ท่านพูดบอกว่านรกมีจริง และสวรรค์มีจริง ท่านสอนพวกเรามาตลอด

สุดท้าย คือเรื่องสถาบันกษัตริย์ ท่านเป็นคนเล่าให้คนใกล้ชิดฟัง รวมทั้งผมด้วย ท่านบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวเราคือพระอรหันต์องค์หนึ่งนะสนธิ ท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่าฌาณของพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นฌาณที่ชัดเจน แล้วฌาณของท่านยังสูงกว่าพระอริยสงฆ์หลายๆ รูปเสียด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้เราได้สูญเสียยิ่งกว่าปูชนียบุคคล พ้นจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แล้ว ก็เหลือเพียงหลวงตามหาบัว เมื่อหมดหลวงตามหาบัวแล้ว พวกเรามีหน้าที่ที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ณของการเอาธรรมนำหน้าของท่านเดินไปข้างหน้า และทุกวันนี้เราก็ไม่ได้ทรยศต่อเจตนารมณ์ของท่าน พวกเรามาที่นี่ พวกเราเอาธรรมนำหน้ากันทั้งสิ้น ถูก/ไม่ถูก พี่น้อง

พี่น้องครับ วันนี้ผมมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง แล้วก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วพี่น้องจะเห็น เมื่อกี้นี้ อ.ปราโมทย์ และ อ.ปานเทพ ได้พูดถึงวิธีการ พูดถึงหลายๆ อย่างแล้ว ก่อนที่จะไปถึง อ.ปราโมทย์ อ.ปานเทพ ผมอยากให้พวกเราเข้าใจตรงนี้สักนิดหนึ่ง การเมืองทำไมผมถึงบอกว่าเมืองไทยต้องล้างนักการเมืองให้หมด พี่น้องเห็นด้วยมั้ย

เดี๋ยวฟังเหตุผลผมให้ดีๆ การเมืองเมืองไทยวันนี้มันได้พัฒนา กลายพันธุ์มาเป็นการเมืองของพวกสัตว์นรกทั้งหลาย ไม่เว้น ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม ล้วนแต่เป็นสัตว์นรก ส่วนใหญ่ทั้งสิ้น 100 เปอร์เซ็นต์ 99 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกสัตว์นรก สัตว์นรกนั้นชื่อบอกอยู่แล้วว่าเป็นสัตว์ เมื่อสัตว์แล้ว ไม่มีจิตใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ใช่/ไม่ใช่ ถ้าเป็นสัตว์แล้ว รู้อยู่อย่างเดียวว่าตัวเองมีหน้าที่อยากจะกินอะไร ก็เข้าไปกัด ไปกิน อยากจะกินของโสโครก อาจม ก็เข้าไปกิน ใช่/ไม่ใช่ อยากจะกัดใครก็กัดคนนั้น อยากจะยกขาข้างหนึ่งแล้วก็ปัสสาวะรดใคร ก็ปัสสาวะรดคนนั้นไป นั่นคือสัตว์ แล้วไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เป็นสัตว์ที่มาจากนรก เพราะนรกนั้นเป็นที่รวมของคนที่ทำบาป คนชั่วช้าสามานย์

เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมมันถึงพัฒนา การเมืองเมืองไทยทำไมถึงพัฒนามาเป็นการเมืองสัตว์นรกไปได้

พี่น้องครับ ถ้าเรามองย้อนหลังไปนิดหนึ่ง การเกิดของพรรคการเมืองนั้น เกิดขึ้นหลังปี พ.ศ.2475 หลังจากที่เมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลง แล้วเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงแบบไหน เมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพราะว่าคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักเรียนนอก ไปเรียนที่ฝรั่งเศสมา ทหารบางคนไปเรียนที่ฝรั่งเศส ไปเห็นวิวัฒนาการประชาธิปไตยที่เขาเข้าใจว่าเขาเข้าใจดีจากต่างประเทศ เมื่อกลับมาที่เมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ก็มีความรู้สึกว่าเมืองไทยนั้นต้องเจริญ คนพวกนี้ตีความหมาย ให้คำจำกัดความของคำว่าเจริญนั้น ในรูปแบบ ลักษณะของการ ความเท่าเทียมกัน แต่ว่ารัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านเป็นคนซึ่งมองการณ์ไกล ทั้งหมดนี้ ที่พูดทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นคนที่กษัตริย์นิยม แต่ผมเป็นคนที่เห็นว่าสถาบันกษัตริย์นั้น เมื่อเรามีพระเจ้าอยู่หัวที่มีพระปรีชาสามารถ และมีวิสัยทัศน์นั้น หากพระเจ้าอยู่หัวได้นำประเทศอย่างจริงจังแล้ว ประเทศชาติจะไม่มีวันพินาศฉิบหายเหมือนวันนี้

ถ้าไม่ใช่พระปรีขาสามารถของรัชกาลที่ 5 แล้ว เมืองไทยวันนี้ย่อมไม่มี ใช่/ไม่ใช่พี่น้อง ถ้าไม่มีพระปรีชาสามารถของรัชกาลที่ 5 วันนี้ จ.ตราด ต้องเป็นของฝรั่งเศสไป แต่พระองค์ท่านยินดีเสียสละเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ เพื่อแลกกับ จ.ตราด เพื่อให้ชายแดนไทยนั้นต่อเนื่องไปที่ระยอง จันทบุรี และตราด นั่นคือที่มาของหลักเขตที่ 73 ที่ปักอยู่ที่ จ.ตราด แล้วเมื่อลากเส้นเข้าไปในทะเลแล้ว ประเทศไทยจะเป็นเจ้าของทรัพยากรของพลังงานถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ในพื้นที่ที่ทับซ้อนตรงนั้น

แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน กลับโดนความถ่อยสถุน และความเห็นแก่ได้ของนักการเมืองในช่วงหลัง ไล่มาตั้งแต่ยุครัฐบาลชุดพรรคไทยรักไทย มาจนกระทั่งรัฐบาลชุดพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ทำลายพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และยกแผ่นดินไทยให้เขมร ทำให้หลักเขตที่ 73 นั้น จะต้องเลื่อนการปัก และเมื่อลากเส้นลงทะเลแล้ว จะทำให้พื้นที่ที่เราเคยได้ 75 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 75 เปอร์เซ็นต์นั้น จะเป็นของเขมรไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

พ่อแม่พี่น้องที่รักชาติ ที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ หรือไม่เป็นพันธมิตรฯ นี่คือความจริง เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อการปฏิวัติปี 2475 เกิดขึ้นแล้ว คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองในส่วนบนเท่านั้นเอง คำว่าส่วนบนก็หมายความว่า แทนที่พระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชอำนาจ ก็กลายเป็นคณะราษฎร์ คณะบุคคลคณะหนึ่ง จะเป็นคนซึ่งตัดสินใจแทนพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสอย่างชัดเจน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า "ประชาชนยังไม่พร้อม" แต่พระองค์ท่านก็พร้อม พร้อมที่จะคืนอำนาจ พระองค์ท่านประกาศชัดว่า ข้าพเจ้าขอคืนอำนาจอันนี้ให้กับประชาชนชาวไทย มิได้ให้กลุ่มใด หมู่คณะใดหมู่คณะหนึ่ง นั่นคือสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทำ และพระองค์ท่านได้มองเห็นตรงนี้ เห็นมานานแล้ว

ทีนี้ พอหลัง 2475 แล้ว มันก็เกิดคนซึ่งแวดล้อมสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นพวกศักดินา ไม่ว่าจะเป็นพวกพระยา ท่านขุน เจ้าพระยา คือสมัยก่อนนั้นตำแหน่งศักดินาจะมีกันเยอะ คุณหลวงก็มี ท่านขุนก็มี พระก็มี พระยาก็มี เจ้าพระยาก็มี สกุลใหญ่ๆ ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นพวกซึ่งแวดล้อมอยู่ในสถาบันกษัตริย์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวเองต้องการจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง กลุ่มคนพวกนี้ก็คือกลุ่มอำมาตย์ที่แท้จริงในความหมายของพวกเสื้อแดง นี่คืออำมาตย์ยุคแรก คนพวกนี้ต้องการที่จะรักษาสถานภาพของตัวเอง ก็เลยจำเป็นที่จะต้องมีพรรคการเมืองของตัวเองเกิดขึ้น และนั่นคือการเกิดของพรรคประชาธิปัตย์

เพราะฉะนั้นแล้วพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นนั้น เพื่อรักษาและอนุรักษ์สถานภาพของตัวเอง เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองอื่นๆ เกิดขึ้นมา และมาทำลายโครงสร้างเก่าๆ ซึ่งตัวเองเคยอยู่ ตัวเองเคยมีความสุขกับมัน โครงสร้างเก่าๆ หลายโครงสร้างนั้นก็เป็นโครงสร้าง บางโครงสร้างเป็นโครงสร้างที่ดี อย่างเช่นโครงสร้างของสถาบันกษัตริย์ แต่โครงสร้างบางโครงสร้างก็เป็นโครงสร้างที่ใช้ไม่ได้ ก็จำเป็นจะต้องถูกทำลายไป แต่จะอย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้ว พรรคประชาธิปัตย์นั้น คือจุดกำเนิดที่ให้กำเนิดโดยพวกกลุ่มอำมาตย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่หัวหน้าพรรคคนแรก นายควง อภัยวงศ์ ไล่มาเรื่อยๆ พรรคประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นที่รวมของอำมาตย์ ที่รวมของศักดินา และที่รวมของนายทุนเก่า นายทุนเก่าก็คืออย่างเช่นพวกนันทาภิวัฒน์ โดยใช้ตัวแทน คือคุณบุญยิ่ง นันทาภิวัฒน์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว หรือพวกอำมาตย์รุ่นใหม่ อย่างเช่น คุณพิสิฎฐ ภัคเกษม

พิสิฏฐ์ ภัคเกษม คืออดีตเลขาธิการสภาพัฒนาแห่งชาติ หรือแม้กระทั่งคนอย่างคุณชวน หลีกภัย ก็ต้องถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามา แต่ว่าใช้ปรัชญาของการรักษาและอนุรักษ์ของเก่าเอาไว้ ด้วยเหตุนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยต้องเดินหน้าต่อไป และพรรคประชาธิปัตย์ก็เลยเป็นศัตรูกับเผด็จการตลอด เผด็จการทหารเกิดขึ้นทุกครั้ง เกิดขึ้นเมื่อไร พรรคประชาธิปัตย์ก็จะเป็นคนซึ่งออกมาดุด่าว่าทหาร กระแนะกระแหนทหาร ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมนูญ เทียนเงิน คุณใหญ่ ศวิตชาติ สมัยก่อนขึ้นมาปากกล้า พูดบนสนามหลวง ด่าเผด็จการ ก็เลยเป็นที่นิยมชมชอบของคนใต้ เป็นที่นิยมชมชอบของคนในกรุงเทพมหานคร ในขณะนั้น

พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรคที่อยู่มาอย่างเก่าแก่ อยู่มาตลอด จุดเปลี่ยนของพรรคประชาธิปัตย์ พี่น้องเชื่อไหมว่า จุดเปลี่ยนของพรรคนี้เปลี่ยนตรงนี้ จุดเปลี่ยนของพรรคนี้ จุดเริ่มจุดแรกที่เปลี่ยน ก็คือในช่วงที่ IMF บุกเข้ามาในประเทศไทย และยึดเศรษฐกิจไทย และบังคับให้รัฐบาลชุดคุณชวน หลีกภัย ที่มีรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่ชื่อนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นจุดเปลี่ยนจุดแรก เป็นจุดเปลี่ยนจุดแรกที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีความรู้สึกว่าตัวเองนั้น จำเป็นจะต้องเล่นเกมทางตะวันตก ก็คือต้องยอมทางฝรั่ง เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องได้ นั่นคือที่มาของการยึดทรัพย์สินของคนไทย แล้วขายต่อไปให้พวกฝรั่งในราคาถูก ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่าทรัพย์สินมูลค่า 100 บาท ขายให้ฝรั่งราคา 10 บาท แล้วฝรั่งเอาทรัพย์สินนี้มาเก็บคืนกับคนไทยในราคา 100 บาท เพราะฉะนั้นแล้ว จุดขายชาติครั้งแรกของพรรคประชาธิปัตย์ นอกเหนือจากการเสียดินแดนเมื่อปี 2505 ด้วยการว่าความของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แล้ว ก็คือ ปรส. นั่นคือเอาทรัพย์ของคนไทยยกให้ฝรั่งไปให้หมด เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ฝรั่งมาขายให้กับคนไทย

จุดเปลี่ยนของพรรคประชาธิปัตย์จุดแรกตรงนั้น มากลายเป็นจุดเปลี่ยนจากคนซึ่งมีอุดมการณ์ มีหลักการ กลายเป็นคนซึ่งเริ่มเห็นความชั่วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตอนไหนพี่น้อง ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2541 40-41-42-43 ... 44 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามามีอำนาจ เพราะว่าเป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เห็นว่าการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่เล่นแบบเดิม คือเล่นแบบศักดินา เล่นแบบไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับคุณชวน ที่มีฉายาว่าชวนเชื่องช้า เมื่อมาเจอทักษิณ ซึ่งเป็นคนกล้าตัดสินใจ เป็นนักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ (ผูกขาดจากสัมปทานรัฐบาล) ก็เลยทำให้คนมีความรู้สึกว่า พรรคไทยรักไทยนั้นเป็นตัวแทนของประชาชนที่สามารถแก้ไขปัญหาประชาชนได้ ตรงนั้นก็เลยเป็นบทเรียนให้พรรคประชาธิปัตย์ยอมรับ และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เริ่มเห็นแล้วว่าทักษิณนั้นรวบอำนาจด้วยการที่เข้าไปครอบงำในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะครอบงำสถาบันตุลาการ ครอบงำสถาบันตำรวจ ครอบงำสถาบันทหาร ครอบงำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทักษิณนั้นสามารถจะรวบอำนาจได้หมด

เผอิญทักษิณ ชินวัตร มาประเมินพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่ำจนเกินไป การประเมินพันธมิตรฯ ต่ำนั้น ก็เลยก่อให้เกิดการประท้วงทักษิณ ชินวัตร อย่างรุนแรง และอย่างสงบ อหิงสา มาตลอด ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2548 ต่อเนื่องมาปี พ.ศ.2549 เหตุการณ์ 19 กันยายนนั้นเกิดขึ้น การยึดอำนาจครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุ 2 ประการ ประการแรก เหตุผลที่คณะยึดอำนาจให้ก็คือว่า เนื่องจากว่าทักษิณ ชินวัตร มีกำหนดจะกลับจากต่างประเทศ ใช่/ไม่ใช่ พี่น้อง แล้วพวกเราพร้อมที่จะชุมนุมเพื่อขับไล่ทักษิณที่สนามบิน และทักษิณก็บอกให้นายยงยุทธ ติยะไพรัช และนายเนวิน ชิดชอบ ให้เตรียมคนเพื่อมาปะทะกับเรา ให้ถึงเลือดถึงเนื้อ นี่คือข้ออ้างที่ทหาร ก็คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน บอกว่าจำเป็นจะต้องเอาทหารออกมาเพื่อทำรัฐประหารและยึดอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือด

แต่อีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครพูด การที่ทหารตัดสินใจออกในครั้งนั้น ก็เพราะว่าทหารกำลังจะสูญเสียอำนาจ เนื่องจากว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รู้ว่าถ้าปล่อยให้ทักษิณกลับมา ตัวเองจะต้องถูกย้ายแน่นอนจากผู้บัญชาการทหารบก และในขณะเดียวกัน ทำไม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตอนนั้นถึงเข้ามาร่วมกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เพราะว่าตัวเองก็จะถูกย้ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ทหารที่ทำในขณะนั้นเพียงเพื่อผลประโยชน์ ปกป้องตำแหน่งตัวเองเท่านั้น มิได้ทำเพราะเห็นว่าประชาชนกำลังเดือดร้อน และมิได้ทำจริงๆ ก็เพราะเห็นว่าทักษิณนั้นเป็นตัวอันตรายของชาติบ้านเมือง นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น และไม่มีใครมาปฏิเสธเรื่องนี้

สังเกตอย่างหนึ่ง เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือแม้กระทั่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อใดก็ตามที่รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก เป็นคนที่สามารถจะพูดจาได้ หรือสามารถจะควบคุมได้ หรือสามารถจะเป็นเพื่อนฝูงได้ จำได้มั้ยว่าอนุพงษ์ เผ่าจินดา นั้น เดินตามก้นสมัคร สุนทรเวช ตลอดเวลา จำได้หรือเปล่า แม้กระทั่งที่ถูกกระแสสังคมบีบให้ออกมาประกาศว่ารัฐบาลชุดสมชายนั้นใช้ไม่ได้ ต้องพิจารณาตัวเอง ตัวเองก็เพียงแต่พูดด้วยวาจา และเมื่อสมชายไม่พิจารณาตัวเอง ตัวเองก็ได้แต่แบ๊ะๆๆ เห็นหรือยังพี่น้อง

เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องจำไว้ เมื่อใดก็ตามที่พวกทหาร ซึ่งมีอำนาจบนแผ่นดิน ไม่ได้ถูกข่มขวัญหรือขู่ขวัญด้วยการถูกถอดถอน พวกเขาจะไม่ทำอะไร ถ้าเขาจะทำ ทำในกรณีเดียวเท่านั้น ก็คือเมื่อตัวเองจะต้องหลุดจากตำแหน่ง เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าวันนี้ทหารไม่ใช่เป็นเหมือนสมัยก่อนไปแล้ว และทำไมถึงไม่เป็นสมัยก่อน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเหตุใดทหารถึงเป็นเช่นนี้ ที่ทหารเป็นเช่นนี้เพราะการเมืองสัตว์นรก และทำไมการเมืองสัตว์นรกมาทำให้ทหารเป็นเช่นนี้ เพราะว่าพวกนี้ต้องการจะทำลายสถาบันทหาร เมื่อทำลายสถาบันทหาร เท่ากับ เหมือนกับทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เอากันสั้นๆ ผมจะยกคำพูด 3 คำพูดให้ฟัง 3 คำพูดนี้ผมเชื่อว่า อ.ปราโมทย์ เคยพูดแล้ว อันแรกเขาเรียกว่าคณาธิปไตย คณาธิปไตยคืออะไร คือประชาธิปไตยของหมู่คณะ คำว่าหมู่คณะในความหมายทางการเมืองเมืองไทยก็คือ พรรคการเมือง เขาถึงเรียกว่าคณาธิปไตย ทำไมถึงมีคณาธิปไตย สมัยก่อนการเมืองเมืองไทยนั้น มีพรรคการเมืองก็ได้ ไม่มีก็ได้ ใครอยากจะลงอิสระก็ลง ใครอยากจะลงสังกัดพรรคก็ลง แต่ก็ปรากฏว่า จากการซึ่งมี ส.ส.อิสระ ความอิสระของ ส.ส.นั้นก็มีทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งเลว ทั้งปานกลาง เมื่อมันมีเช่นนี้แล้ว ภาพที่ออกมาก็เลยทำให้คนเห็นว่าการเมืองเมืองไทยมันวุ่นวาย เพราะมี ส.ส.อิสระมากจนเกินไป

แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเกมการเมืองของคณาธิปไตย คือต้องการให้ทุกคนเข้าสังกัดพรรค เมื่อสังกัดพรรคแล้วก็เหมือนตั้งบริษัทจำกัด การเรียกคนเข้าพรรค การระดมทุนเข้าพรรค การลงทุนของพรรคการเมือง มันก็ง่ายกว่า เพราะว่าถ้าเป็นการเลือกตั้งสมัยก่อน คนอย่างประพันธ์ คูณมี หรือคนอย่าง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ลงกรุงเทพฯ เป็น ส.ส.อิสระ ก็ย่อมได้รับเลือกตั้งอยู่แล้ว ใช่/ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นแล้วพวกพรรคการเมืองพวกนายทุนที่ลง พวกหัวหน้าพรรค ถ้าจะซื้อ ส.ส.ต้องไล่ซื้อเป็นรายบุคคล เมื่อมาสังกัดพรรค แล้ว ถูกกติกาของพรรคบังคับ เช่น จะต้องส่งลงนั้น คณะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเป็นคนกำหนดว่าจะส่งใครลง เมื่อส่งลงแล้วเอาเงินจ่ายให้ จ่ายเสร็จเรียบร้อยก็มีข้อแม้ว่าทุกอย่างในมติพรรค ถ้ามติพรรคเป็นอย่างไร ต้องทำตามมติพรรค ถึงแม้มติพรรคจะเป็นมติขายชาติก็ต้องนั่งเงียบ แล้วก็ยอมให้พรรคของตัวเองขายชาติต่อไป

พอเป็นคณาธิปไตย เป็นพรรคแล้ว มันก็ก่อให้เกิด เขาเรียกว่าคณาธิปไตย หรือพรรคการเมืองของครอบครัว ผมถามว่าพรรคของบรรหาร ศิลปอาชา เป็นพรรคของตระกูลศิลปอาชา ใช่/ไม่ใช่ เมื่อบรรหารไม่ได้เป็นก็เอาน้องชายมาเป็น เมื่อน้องชายไม่ได้เป็น ก็เอาลูกชายมาเป็น ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้วพรรคการเมืองในนัยของประชาธิปไตยที่เราสัมผัสอยู่นั้น มันไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองของประชาชน มันเป็นพรรคการเมืองของเจ้าของพรรค ก็คือเจ้าของบริษัทนั่นเอง บริษัทชาติไทยพัฒนานั้น ใครถือหุ้นใหญ่ ใครเป็นเจ้าของ ก็คือศิลปอาชา เป็นเจ้าของ เมื่อศิลปอาชาเป็นเจ้าของ ศิลปอาชาจะบอกให้ทำอะไรทุกคนก็ต้องทำตาม เหมือนกับครั้งหนึ่งที่พรรคไทยรักไทย ใครเป็นเจ้าของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ ทักษิณบอกจะเอาใครลง คนนั้นก็ต้องลง ทักษิณบอกใครไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นแล้วด้วยเหตุนี้ นี่คือที่มาของคณาธิปไตย ด้วยเหตุนี้ถึงแข่งกันตั้งพรรคเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นพรรคของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ไม่ว่าจะเป็นพรรคของไพโรจน์ สุวรรณฉวี ไม่ว่าจะเป็นพรรคของพินิจ จารุสมบัติ สมัยก่อน จะเป็นพรรคของคนโน้นคนนี้ ทุกคนตั้งพรรคกันทั้งสิ้น เพราะมองว่าเป็นการตั้งเพื่อที่จะลงทุน

เมื่อเป็นคณาธิปไตยแล้ว จุดต่อไปอีกภาษา อีกชุดหนึ่งที่จะสอนก็คือ ธนาธิปไตย เมื่อมีคณาธิปไตย คือพรรคแล้ว ธนาธิปไตยคือ ประชาธิปไตยที่ใช้เงิน ธน ก็คือเงิน ธนบัตร เมื่อมีคณาธิปไตยก็มีธนาธิปไตย

คณาธิปไตยจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีธนาธิปไตย ก็คือพรรคการเมืองปัจจุบันหรือในอดีต จะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเงินเข้ามา เงินจะมาทางไหนบ้าง เงินในการเริ่มต้น เริ่มแรกสุดก็มาจากนายทุน อย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคใครก็ตาม ที่รู้สึกว่าจะมีสิทธิ์มีเสียงเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้ ถามว่าเจ้าของเหล้า อย่างเช่นคุณเจริญ จะไม่ให้เงินเหรอ ก็ต้องให้เงิน วิธีการสมัยก่อน คุณเสนาะ เทียนทอง ดูแลพรรคอยู่ คุณเสนาะจะมีลูกน้องคนหนึ่ง ชื่อคุณบุญถึง ผลพานิชย์ คุณบุญถึงนี่จะสนิทกับเสี่ยเจริญ ศิริวัฒนภักดี คุณบุญถึงมีหน้าที่ไปเจรจากับเสี่ยเจริญทุกๆ ครั้งที่จะมีการเลือกตั้ง เสี่ยเจริญก็บอก เอาไป 300 เอาไป 500 ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมาหา เสี่ยเจริญก็จะบอก เอาไป 300 เอาไป 500 นายทุนก็จะเลือกแทงเหมือนแทงม้าไม่มีผิด แต่เผอิญม้าพวกนี้ก็เป็นสัตว์เหมือนกัน แต่ไม่ใช่สัตว์ที่เกิดบนดิน มันเริ่มกลายพันธุ์ กลายเป็นสัตว์ที่มาจากนรก

เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัดเลยว่าตั้งแต่มีพรรคการเมืองมา กลุ่มธุรกิจ กลุ่มที่หนีภาษี กลุ่มที่ต้องเสียภาษีมาก ไม่เคยมีใครที่ถูกจับภาษีได้ และไม่เคยมีใครที่ต้องเสียภาษีมากเลยแม้แต่คนเดียว จะเห็นได้ชัด แล้วใครล่ะต้องเป็นคนที่แบกของแพง ก็พวกที่นั่งหน้าสลอนอยู่แถวๆ นี้ ตลอดจนคนไทยที่เหลือในประเทศไทย

ทักษิณเข้าใจในประเด็นนี้ ทักษิณก็เลยเอาเงินภาษีอากรไปแจกประชาชนที่ยากไร้ เมื่อประชาชนที่ยากไร้มีเงินได้มาฟรี เขาก็ไม่สนใจว่าของแพงหรือไม่แพง เพราะเขาสามารถได้เงินมาตลอดเวลา นั่นคือที่มาของมัน

เพราะฉะนั้นเมื่อมีธนาธิปไตยแล้ว ก็มีบริษัททางการเมือง ก็มีการลงทุนทางการเมือง การลงทุนทางการเมืองก็คือการตัดสินว่าถ้าใช้เงิน 2,000 ล้าน ส.ส.ทั้งหมดจะได้กี่คน สมัยก่อน 2,000 ล้าน ส.ส.คนหนึ่งหาเสียงก็ไม่เกิน 10 ล้าน ก็จะได้ 200 คน พอมาสมัยนี้กลายเป็นว่า 2,000 ล้าน ไม่พอ ส.ส.คนหนึ่งถ้าจะเอา 100 คน ถ้าจะเอา 50 คนในอีสาน 50 คนในอีสานมีทั้งพรรคภูมิใจไทย มีทั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน มีทั้งพรรคของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มีทั้งพรรคโน้นพรรคนี้ และพรรคเพื่อไทย ต้องแย่งกัน เพราะฉะนั้น ส.ส.คนหนึ่งต้องใช้ไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้าน เฉพาะอีสานอย่างเดียว มี ส.ส.ร้อยกว่าคน เงินที่ต้องซื้อเสียงในอีสานอย่างเดียวก็หมื่นกว่าล้าน เมื่อหมื่นกว่าล้าน ส่วนในตอนต้นที่การตั้งพรรคนั้นก็คือไปไถเงินมาจากพวกเจ้าสัวต่างๆ พอมาถึงวันนี้ เมื่อเป็นรัฐบาลได้พักหนึ่งแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องไถ เพราะว่าตัวเองโกงชาติกินบ้านกินเมืองจากโครงการต่างๆ ได้มาเป็นแสนล้าน เพราะฉะนั้นเมื่อพวกนี้เป็นพรรคการเมือง คณาธิปไตย ที่เป็นบริษัทจำกัด เห็นว่าสามารถจะใช้เงินลงทุนไป แล้วได้เสียงเข้ามา เพื่อเข้ามามีอำนาจ เพื่อที่จะใช้อำนาจนั้นมาโกงต่อไป พวกนี้ก็เลยพร้อมที่จะลงทุน พร้อมที่จะลงทุน นี่คือที่มาของการซื้อเสียง ส.ส.บางคนจากโคราช ซื้อให้ย้ายพรรคมา ซื้อครั้งแรกด้วยเงิน 60 ล้าน จ่าย 60 ล้านหน้าตาเฉย เพื่ออะไร เพื่อให้มาอยู่เพื่อ ส.ส.โคราชของเขาจะได้เพิ่มอีก 1 คน นี่ยังไม่นับเงินที่เขาหาเสียง

ถามว่าไอ้ ส.ส.บ้าเนี่ย ถ้ามันต้องควักเงินตัวเองลง 60 ล้าน บวกที่มันหาเสียงอีกประมาณ 30-40 ล้าน 100 ล้าน ต่อให้พ่อมันรวยหมื่นล้าน มันก็ไม่ลง ใช่/ไม่ใช่ ลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อที่จะมาเป็น ส.ส.กินเงินเเดือนๆ ละแสนกว่าบาท เป็นระยะเวลา 4 ปี ให้เงินเดือนละแสนห้า 4 ปี 7.2 ล้าน บวกจิปาถะ ให้มัน 4 ปี 10 ล้าน แลกกับเงิน 100 ล้าน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ แต่นักลงทุนทางการเมืองคือพวกเจ้าของพรรคต่างๆ เริ่มเห็นแล้วว่าวิธีนี้มันได้ผล ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ใครก็ตามสามารถจะบริหารกระทรวงพลังงาน คอร์รัปชั่นในกระทรวงพลังงาน คอร์รัปชั่นที่ไหน คอร์รัปชั่นที่ ปตท. คอร์รัปชั่นที่น้ำมันไบโอดีเซล คอร์รัปชั่นที่น้ำมันต่างๆ ที่ทำ คอร์รัปชั่นหลายๆ เรื่อง เงินหมื่นล้าน สองหมื่นล้าน มันเป็นเรื่องขี้ผง

เมื่อหมื่น-สองหมื่นล้าน เป็นเรื่องขี้ผง นักการเมืองวันนี้มันมีเงินเป็นหลายหมื่นล้าน สมัยก่อนมันมีเงินแค่ 10 ล้าน มันดีใจตายห่าแล้ว วันนี้มันมีเงินพันล้าน มันบอกว่าน้อย เพราะฉะนั้นพรรคแต่ละพรรค พรรคประชาธิปัตย์เอง การจัดเลี้ยงระดมทุนเพื่อเอาเงินเข้าพรรคนั้น เป็นม่านบังตา แท้ที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์วันนี้มีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน

ไม่ต้องคิดเลย ยืนยันได้ เป็นเพียงแต่ว่าสันดานนักการเมือง คือสันดานนักการเมือง มันจะวัดครึ่ง-กรรมการครึ่ง เพราะฉะนั้นแล้วพวกรัฐมนตรีพอมันคอร์รัปชั่นมา มันได้ 100 ล้าน มันจะต้องเอาเข้าพรรค 100 ล้าน มันก็บอกว่าเอาเข้าพรรค 50 ล้าน อีก 50 มันใส่กระเป๋าของมันเอง แต่จะอย่างไรก็ตาม สรุปง่ายๆ นี่คือการลงทุนทางการเมือง เมื่อลงทุนทางการเมืองแล้ว เมื่อมันมีคณาธิปไตย คือคณะบุคคลที่ตั้งพรรคมาเพื่อลงมาเลือกตั้งตามกติกา แล้วใช้ธนาธิปไตย คือประชาธิปไตยโดยการใช้เงิน เมื่อ 2 อย่างรวมเข้ามาแล้ว มันก็เลยกลายเป็น "โจราธิปไตย" ประชาธิปไตยของโจร

เพราะฉะนั้นแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น คือการจัดปาหี่ ด่ากันไปด่ากันมา แล้วก็จบลงด้วยการเลือกตั้งใหม่ แล้วก็เอาไอ้พวกโจรพวกนี้เข้ามาอีกครั้ง ไม่มีวันจบ ไม่มีวันสิ้น เข้าใจหรือยังพี่น้อง

และตรงนี้ล่ะ ที่พวกเราเคยมีความหวังกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่เขาขึ้นมาเป็นนายกฯ เพราะเราเห็นว่าเขาเหมือนหยดน้ำฝนในทะเลทรายที่แห้งแล้ง เราหวังว่าหยดน้ำฝนหยดนี้จะทำให้เราชุ่มชื่น มีชีวิตชีวา มีความหวังกับประเทศชาติได้บ้าง แต่ว่าเราไปประเมินเขาผิด เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาก็คือนักเลือกตั้งคนหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ถูกระบบนั้นกลืนเข้าไป เพราะว่าถ้าเขาเป็นเช่นนั้น การที่เขาจำเป็นต้องรวมกับนายเนวิน ชิดชอบ เป็นเรื่องที่ตอนแรกพวกเรากล้ำกลืน พยายามทำใจ ด้วยความเห็นอกเห็นใจว่ามันจำเป็น เพราะถ้าไม่จำเป็นแล้วมันตั้งรัฐบาลไม่ได้ และนี่คือข้อต่อล้อต่อเถียงของคนที่รักพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในขณะนั้นเราก็จำเป็นต้องเห็นด้วย แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เรามีความรู้สึก การกระทำ พฤติกรรมทุกอย่างนั้น หาใช่เพราะว่าอภิสิทธิ์นั้นฝืนใจต้องร่วมกับเนวินไม่ กลายเป็นว่าสมรู้ร่วมคิดกัน ร่วมสังวาสกัน

เพราะว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ได้กลายพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้เห็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งกลายเป็นพรรคเพื่อไทย เมื่อมีอำนาจ เก็บเงินเก็บทองมา พรรคประชาธิปัตย์ตอนเป็นฝ่ายค้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคน นั่งกินกาแฟ กินเหล้า แล้วก็พูดกัน พรรคไทยรักไทยมันรวยฉิบหายตอนนี้ ส.ส.มันมีเงินกันเต็มเลย ประชาธิปัตย์แห้ง ไม่มีตังค์ เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ประชาธิปัตย์จึงเห็นว่าการเล่นการเมืองในยุคนี้ เป็นการเมืองที่ต้องใช้สตางค์ ด้วยเหตุนี้ประชาธิปัตย์ก็เลยกลายเป็นสัตว์นรกการเมืองอีกพรรคหนึ่ง

จะเห็นได้ชัดว่าวันนี้หลักการไม่มีความหมายไปแล้วสำหรับพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด พรรคการเมืองที่เคยเป็นความหวัง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ เราไปตั้งความหวังกับเขาไว้มากจนเกินไป โดยเราลืมนึกไปว่าผลประโยชน์นั้นมันไม่เข้าใครออกใคร การเมืองในวันนี้จึงเน่าสนิท ที่มันเลวทรามต่ำช้าที่สุดวันนี้ คือการเมืองต้องการทำลายทหาร ทำไมการเมืองต้องการทำลายทหาร เพราะว่าในอดีต ผมเคยพูดให้พี่น้องฟัง พี่น้องยังจำได้ใช่มั้ย ที่ผมบอกว่าเสาหลักของชาติบ้านเมืองนั้น มีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

ชาตินั้นประกอบด้วย ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ชาตินั้นคือประชาชน สถาบันกษัตริย์นั้นถูกหนุนด้วยเสาหลัก 2 เสา เสาหนึ่งคือประชาชนอย่างพวกเรานี่ล่ะ นี่เหตุผลว่าทำไมขบวนการเสื้อแดง ทักษิณ ชินวัตร ถึงพยายามดึงประชาชนออกไปจากสถาบันกษัตริย์ มีแม้กระทั่งปัจจุบันหมู่บ้าน 30 หมู่บ้าน ที่ไม่ยอมติดรูปในหลวงและราชินี แต่ติดรูปทักษิณแทน นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ทางอีสาน นี่คือการดึงประชาชนออกไป จำได้หรือเปล่าที่การชุมนุม 193 วัน ใครบ้าง จำได้ไหมที่ผมขึ้นเวที แล้วผมบอกว่าสงสารในหลวง ในหลวงและราชินีไม่มีใครจริงๆ นอกจากพวกเราเท่านั้น จำได้ไหมที่พูด นอกจากพวกเราเท่านั้น และคำพูดนั้นก็ยังเป็นความจริงจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะว่าในอดีตนั้นสถาบันกษัตริย์ได้สูญเสียฐานประชาชนไปเยอะ จนกระทั่งเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นมา และทำให้หลายๆ ฝ่าย เข้ามาร่วมกัน รวมทั้งพวกที่ห้อยโหนของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เหตุผลที่พวกห้อยโหนพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเข้ามา เพราะว่าต้องการพึ่งพาเราในการล้มล้างทักษิณ ชินวัตร

พี่น้องครับ นอกจากประชาชนซึ่งเป็นฐานแล้ว และโดนทักษิณขโมยฐานไปบางส่วน รากหญ้าหลายๆ คนที่ถูกขโมยไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีประชานิยม ไม่ว่าจะวิธีการออกหวยใต้ดิน ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไรก็ตาม ที่เอาเงินภาษีอากรไปให้ ยังมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นรากฐานของสถาบันกษัตริย์ ก็คือประชาชนที่รักกษัตริย์จริงๆ แต่ไม่มีการออกมาแสดงออก จนกระทั่งพวกเราได้มีการออกมาแสดงออก และแม้กระทั่งขณะนั้นอิทธิพลของทักษิณก็ยังแทรกซึมไปในสถาบันกษัตริย์

จำได้ไหมมีคนที่ใกล้ชิดในวังถึงกับออกมาต่อว่าเราว่าเราชุมนุมทำไม ถ้ารักพระเจ้าอยู่หัว ให้อยู่บ้านเฉยๆ จำได้หรือเปล่า เห็นมั้ย นั่นคือกลุ่มคนที่รับเงินทักษิณ เพื่อที่จะเลื่อยขาเก้าอี้ เพื่อจะเลื่อยสถาบัน คนพวกนี้คือคนซึ่งไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ขอให้เงินมา รับแล้วก็จะพูดจา พูดเหมือนกับในทำนองที่บอกว่า ที่พวกเราออกมาประท้วงนี้มาประท้วงทำไม สถาบันกษัตริย์ไม่มีภัย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ทุกคนรักพระมหากษัตริย์หมด พวกเรานี่เว่อร์เกินไป หาเรื่อง หรือว่าเอาสถาบันกษัตริย์นั้นมาทำมาหากิน เราก็ได้แต่กลืนเลือด ใช่/ไม่ใช่ เพราะเราทำในสิ่งที่เราทำ และถ้าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ถูกต้อง รัฐบาลขุดไหนล่ะที่เป็นคนพูดว่ามีขบวนการล้มเจ้าจริง ถ้าไม่ใช่รัฐบาลชุดพรรคประชาธิปัตย์ ใช่/ไม่ใช่ แล้วใครพูดว่ามีขบวนการล้มเจ้าจริง ถ้าไม่ใช่ DSI ใช่/ไม่ใช่ แล้วใครที่พูดล่ะว่ามีขบวนการล้มเจ้าจริง ถ้าไม่ใช่ทหารบางคน ใช่/ไม่ใช่

พี่น้องจะเริ่มเห็นว่านอกจากเสาของประชาชน พวกเราแล้ว ยังมีอีกเสาหนึ่ง เป็นเสาที่ค้ำสถาบันกษัตริย์ไว้อย่างมั่นคง นั่นคือทหาร ทหารมีหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญ ทหารมีหน้าที่ดูแลชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ทหารเริ่มเพี้ยนไปตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณนั้นสลายขั้วอำนาจทหาร ด้วยการเอาคนของตัวขึ้นมา เอาพี่ชายตัวเองมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ใช่/ไม่ใช่ เอาเพื่อนรุ่นของตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ และพร้อมที่จะต่อคิวจาก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็น พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ใช่/ไม่ใช่ เตรียมทหารรุ่น 10 ด้วยกัน เพราะฉะนั้นทักษิณเริ่มที่จะจัดทหารให้เข้ามาเป็นคนของเขา ไม่ใช่คนของสถาบันกษัตริย์

ทหารเมื่อศึกษาในรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐธรรมนูญบอกว่าทหารต้องขึ้นกับใคร ต้องขึ้นกับจอมทัพ ใช่/ไม่ใช่ แต่วันนี้ทหารขึ้นกับรัฐมนตรีกลาโหม เมื่อใดก็ตามเรามีรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเล่นการเมืองอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อนั้นทหารก็ฉิบหายเช่นกัน

เมื่อทหารไม่ทำหน้าที่ทหาร แล้วใครจะทำหน้าที่ทหาร ก็ไม่มีใครทำ พี่น้องจำได้มั้ยเรื่องยัยดา ตอร์ปิโด ดา ตอร์ปิโด ขึ้นมาจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ขึ้นมาว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่สนามหลวง แทนที่ทหารวันนั้นภายใต้การนำของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก แทนที่ทหารจะไปบอก ผบ.ตร.บอกคุณไปจัดการกับดา ตอร์ปิโด ดันให้ลูกเจ๊กอย่างผมออกมาบอกให้จัดการ จัดการเสร็จแม่งจัดการผมด้วย

เห็นหรือยังพี่น้อง ว่าทหารแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ทหารอ่อนแอมาตลอดตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร มาจนกระทั่งยุคที่อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก เพราะอะไร เพราะว่าอนุพงษ์ต้องการจะยึดติดกับอำนาจตัวเอง และสมัคร สุนทรเวช ก็รู้จิตใจอนุพงษ์ ก็ให้งบประมาณซื้ออาวุธอนุพงษ์ตลอดเวลา อนุพงษ์ก็เลยไม่สนใจ ไม่สนใจประชาชนโดนยิงตาย 7 ตุลาฯ ต่อหน้าต่อตา มันยืนใจดำอำมหิต เลือดเย็นเฉยๆ

วันนี้การเมืองก็ทำให้ทหารอ่อนแอต่อไป เรื่องชายแดนเห็นได้ชัดว่าทหารอ่อนแอมาก ทหารมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ทหารก็ไม่ปกป้องแผ่นดิน ในที่สุดแล้วการเมืองจะทำลายฐานทหารให้อ่อนแอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทหารไม่มีเอกภาพเลยแม้แต่นิดเดียว และทหารที่ขึ้นมาเป็นผู้นำของทหารนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารบกหรือใครก็ตาม ก็จะกลายเป็นคนของนักการเมืองไปแล้ว

เมื่อถึงเวลานั้นก็เท่ากับว่ากระบวนการยึดอำนาจในการปกครองประเทศไทยจะอยู่ในมือสัตว์นรกนักการเมืองทั้งหมด เพราะถ้าทหารไม่สามารถเป็นตัวคานอำนาจได้ นักการเมืองก็สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามใจที่มันต้องการจะทำ ใช่/ไม่ใช่

เห็นหรือยังพี่น้อง เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการเมืองเมืองไทยปัจจุบันโดยนักการเมืองสัตว์นรกพวกนี้ คือพวกที่จ้องทำลายสถาบันทหารในที่สุด และทำได้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งในขณะนี้ ทหารวันนี้กลายเป็นทหารผู้ใหญ่ในกองทัพกลายเป็นทหารที่กะล่อน ไม่ดูแลผู้น้อย ไม่รักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่รักษาศักดิ์ศรีของลูกน้องตัวเอง ทหารวันนี้ศักดิ์ศรีแทบไม่มี ผู้บังคับกองพัน ทหารรุ่นหนุ่ม เคียดแค้นใจมากที่นายตัวเองเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นแล้วผมถึงบอกว่า ถ้าทหารจะต้องการรักษาสถาบันทหารให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็ง เพราะสถาบันทหารเป็นสถาบันสุดท้ายที่จะออกมาปกป้องสถาบันกษัตริย์ได้ ถ้าปกป้องสถาบันกษัตริย์ได้ ก็เท่ากับปกป้องชาติได้ด้วยเช่นกัน

ถ้าสถาบันกษัตริย์อ่อนแอเพราะทหารไม่สามารถปกป้องได้ ประชาชนคนไทยจะไม่มีที่พึ่ง ประชาชนคนไทยในอดีตพึ่งสถาบันกษัตริย์ได้ เพราะสถาบันกษัตริย์พึ่งทหารได้ แต่ถ้าสถาบันกษัตริย์พึ่งทหารไม่ได้ ประชาชนคนไทยก็พึ่งพระมหากษัตริย์ไม่ได้เช่นกัน

พี่น้องครับ เข้าใจทุกอย่างที่ผมพูดมั้ย ชัดเจนหมดแล้วใช่มั้ย จะเห็นได้ชัดเลยว่านี่คือกระบวนการที่การเมืองมันต้องการทำลายทหาร การที่เอาทหารมาเป็นนักการเมือง อย่างเช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม จับมือกับสุเทพ เทือกสุบรรณ จับมือกับเนวิน ชิดชอบ ต้องถือว่าเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง

พี่น้องคุ้มมั้ยวันนี้ที่มาอธิบายให้ฟัง มิน่า มันถึงต้องยิงผม ยิ่งยิงเสียงยิ่งดัง ฟังยิ่งชัด ใช่มั้ย ผมฝันที่จะเห็นประชาชนออกมาไล่รัฐบาลชุดนี้ ร่วมกับทหารที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง และต้องการกู้ศักดิ์ศรีของทหารคืนมา ผมฝันที่จะเห็นทหาร ผมฝันที่จะเห็นประชาชนเดินกันเป็นหมื่นเป็นแสน และมีทหารรุ่นหนุ่มที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง ออกมาคุ้มกันพวกเราพร้อมอาวุธ วันนี้ตำรวจหมดไปแล้ว เพราะตำรวจอยู่ภายใต้อุ้งมือและอุ้งตีนของนักการเมือง

เมืองไทยจะอยู่ได้ต้องล้างนักการเมืองสัตว์นรกพันธุ์ชั่วๆ นี้ให้หมด การเมืองต้องเปลี่ยนรูปแบบ คนที่เข้ามาเล่นการเมืองในอนาคตต้องเป็นคนที่เสียสละ ต้องเสียสละทุกอย่างในชีวิต เพื่อเข้ามาเป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่ลงทุนทุกอย่างในชีวิตเพื่อเข้ามายึดอำนาจ ครองอำนาจ แล้วยกมือในสภา แล้วก็โกงกินทุกๆ เรื่องทุกๆ ราว รวมทั้งขายแผ่นดินให้กับเขมรด้วย

ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ผมบอก ชาติบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ ถ้าวันนั้นเรามีทางเดียวก็คือกราบถวายบังคมลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้วบอก ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว หมดความสามารถของข้าพระพุทธเจ้า ขอคืนให้กับพระองค์ท่านไปเลย ใช่/ไม่ใช่ พี่น้อง ใครเห็นด้วยปรบมือดังๆ หน่อย ใครเห็นด้วยว่าประชาชนต้องออกมา และทหารที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง มาร่วมมือกับเรา ปกป้องพวกเราขับไล่รัฐบาลชุดนี้ เอ้า เราสู้ๆ ขอบคุณครับพี่น้องครับ

(เพลง : เราสู้)


กำลังโหลดความคิดเห็น