xs
xsm
sm
md
lg

ขอแสดงความยินดีกับ “มาร์ค” ที่ “ผลักดัน” ฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ก่อนอื่นก็ต้องแสดงความชื่นชมยินดีกับผลงานชิ้นแรกของรัฐบาลนี้ รัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่งให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนับพันนาย ใช้ “แสนยานุภาพ” ที่ “เหนือกว่า” ทุกด้านเข้ากดดัน ข่มขวัญ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินรบของกองทัพอากาศทิ้งระเบิดปูพรมในพื้นที่เป้าหมายแต่อย่างใด สามารถใช้แค่กำลัง “ผลักดัน” ฝ่ายตรงข้ามให้พ้นไปจากพื้นที่ “ความมั่นคง” ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย

ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถทำได้ตามเป้าหมายเมื่อตอนเช้ามืดวานนี้ โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ และหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ” ที่ผ่านการฝึกฝนอบรม ซักซ้อมแผนปฏิบัติการมาหลายครั้งก็ทำได้อย่างน่าชื่นชม เพราะมีการ “รุกคืบ” เข้าไปปักหลัก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น

ฟังข่าวตอนแรกดีใจจนแทบน้ำตาไหล นึกว่านี่คือผลสำเร็จจากปฏิบัติการ “สายฟ้าแลบ” ที่ฝ่ายไทยสามารถผลักดันกองกำลังกัมพูชาผู้บุกรุกตามแนวชายแดนไทยให้พ้นไป โดยเรียกศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจให้กับคนไทยและทหารไทยให้กลับคืนมาได้

แต่อนิจจา...กลายเป็นว่าปฏิบัติการดังกล่าวได้กระทำต่อคนไทยด้วยกัน มิหนำซ้ำเป็นคนไทยที่ถูกใช้กำลังออกไปจากพื้นที่นั้นกลายเป็นคนไทยที่มีสำนึกรักชาติ ออกมาชุมนุมเรียกร้องเพียงแค่ให้รัฐบาลปกป้องรักษาดินแดนขอบขันธสีมา ราชอาณาจักรไทยเอาไว้ทุกตารางนิ้วเท่านั้น

คนไทยเหล่านี้ต้องมานอนปักหลักพักค้าง ตากแดดตากฝนโดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากและคำดูถูกเหยียดหยามจากทั้งผู้นำและคนไทยบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจ และรวมไปถึงคนไทยที่ไร้สำนึก

ทั้งที่คนไทยเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหวังอำนาจทางการเมือง บรรดาแกนนำคนไทยในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พิภพ ธงไชย เป็นต้น คนเหล่านี้คงไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี แข่งกับอภิสิทธิ์ หรือสุเทพ เทือกสุบรรณ จากพรรคประชาธิปัตย์ อย่างแน่นอน อาจจะมีบ้างที่คาบเกี่ยวกับบทบาทในนามพรรคการเมืองใหม่ ในส่วนของแกนนำคนอื่นๆ แต่ที่ผ่านมาบรรดาพรรคการเมืองในซีกรัฐบาลก็หยามหยันอยู่ตลาดเวลาแล้วไม่ใช่หรือว่า “ไม่อยู่ในสายตา”

เป้าหมายที่ชัดเจนเรื่องเดียวของคนไทยกลุ่มนี้ คือ ต้องการให้รัฐบาลทวงศักดิ์ศรีของชาติและของกองทัพไทยกลับคืนมา โดยการผลักดันกัมพูชาที่รุกล้ำแดนออกไปเท่านั้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ติดมาด้วยก็คือตลอดเวลาที่มีการชุมนุมที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมจนถึงวันนี้กว่า 1 เดือน มีการเปิดโปงกระชากหน้ากากของนายกฯ อภิสิทธิ์ ให้สังคมได้รับรู้ว่ามี “ธาตุแท้” อย่างไร ไม่ได้ต่างจากนักการเมืองส่วนใหญ่แต่อย่างใด และที่สำคัญเขายังเป็นแค่ “หุ่นเชิด” ของ “กลุ่มอำนาจ-ผลประโยชน์” ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนับตั้งแต่ผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคมปี 2551 เป็นต้นมา

เพราะหากพิจารณาตามความเป็นจริงเขาไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง ทำทุกอย่างไม่ต่างจากลักษณะบงการสั่งการจากกลุ่มอำนาจดังกล่าว

ตลอดเวลาของการชุมนุมยังได้เปิดโปงให้เห็นอย่างล่อนจ้อนว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีการทุจริตกันมโหฬารที่สุด มากยิ่งกว่ารัฐบาลในยุคของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เสียอีก พิสูจน์ได้จากผลสำรวจของ “โพลหอการค้า” ที่สอบถามจากบรรดาพ่อค้านักธุรกิจ ประกอบกับผลสำรวจชาวบ้านทั่วไปก็มีความรู้สึกสอดคล้องกัน

ขณะเดียวกัน ในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันกัมพูชาที่รุกล้ำออกไปนั้นยังมีการเปิดเผยหลักฐานในเรื่องที่เป็น สาเหตุที่นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องปกป้องบันทึกความเข้าใจเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา (เอ็มโอยู 43) ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบและเสียอธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเปิดโปงผลประโยชน์ทับซ้อนของบุคคลรอบข้างนายกรัฐมนตรี และผู้นำกองทัพบางคน ให้สังคมได้เห็นอย่างล่อนจ้อน

อีกทั้งการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมาก็ล้วนมาจากความล้มเหลวของเอ็มโอยู 43 และที่สำคัญยังมีการชี้ให้เห็นว่าสาเหตุที่ทางการไทยยังไม่ยอมฉวยโอกาสใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชาออกไปจากพื้นที่เป็นเพราะความไม่เอาไหนของผู้นำนั่นเอง

การเปิดโปงในเรื่องความไม่ชอบมาพากลดังกล่าวอย่างต่อเนื่องย่อม ทำให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และฝ่ายความมั่นคงที่นำโดย รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย่อมทนไม่ได้ที่จะได้ยินสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทุกวัน ทำให้ต้องมีความพยายามเพื่อผลักดันและหาทาง “ปิดปาก” ให้จงได้ นอกจากนี้การชุมนุมของคนไทยกลุ่มนี้ยังสร้างความแค้นเคืองให้กับ ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา เพราะหากจำกันได้ ขณะที่มีการเจรจาหยุดยิงโดยพลการของคณะทหารไทยกลุ่มหนึ่งได้ถูก พล.ต.ฮุน มาเนต ลูกชายฮุนเซนตำหนิใส่หน้าว่าทำไมยังปล่อยให้คนไทยพวกนี้ด่าพ่อตัวเองอยู่ได้ทุกวัน และนี่ก็อาจเป็นการทำตามคำขอของฝ่ายพนมเปญก็เป็นได้

ดังนั้น นาทีนี้คงจะไม่มีอะไรที่เหมาะสมไปกว่าการชื่นชมยินดีไปกับผลงานของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และฝ่ายความมั่นของรัฐบาลที่สามารถผลักดันคนไทยที่รักชาติ หวงแหนอธิปไตยของชาติ ได้สำเร็จเด็ดขาด และนาทีนี้คงไม่ต้องถามอีกว่าทีกับฝ่ายกองกำลังเขมรที่รุกล้ำเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในจุด “สูงข่ม” ยิงถล่มเข้ามาจนทหารไทยและชาวบ้านตามแนวชายแดนต้องได้รับความเดือดร้อน ต้องกลายเป็น “ผู้อพยพ” อย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่ต้องถามว่าทำไมถึงเก่งแต่กับคนไทยที่ชุมนุมเรียกร้องโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่ทีกับผู้บุกรุกและผู้นำถ่อยเถื่อนอย่าง ฮุนเซน ถึงไม่กล้า

และไม่ต้องมาถามว่ายังมี “น้ำตา” แห่งความคับแค้นหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่!!
กำลังโหลดความคิดเห็น