“การเมืองใหม่” ชี้ 7 โจกแดงฉลองบ้าน “เสธ.หนั่น” ทำคนไทยสมเพช จี้เปิดพิมพ์เขียวปรองดอง ซัดภูมิใจห้อยดันนิรโทษกรรมฟอกพวกพ้อง - “ยะใส” ฉะโจกแดงลงเลือกตั้งหนีคุกสุดเห็นแก่ตัว จี้ทบทวนเอกสิทธิ ส.ส. เชื่อ มี.ค.อาจเกิดสถานการณ์พิเศษ ชี้เลือกตั้งแค่เบี่ยงปัญหา
วันนี้ (27 ก.พ.) ที่พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าและโฆษกพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัว 7 แกนนำและ 1 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงว่า หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงก็ได้ไปฉลองกันที่บ้านของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ถือเป็นภาพที่ทำให้คนไทยรู้สึกสมเพชเวทนา ซึ่งการปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มนี้ เป็นเวลาที่ไล่เลี่ยกับการจับกุมนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม จึงทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเดินเกมทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาลที่พยายามถ่วงดุลภายในกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเอาใจคนเสื้อแดงมากเกินไปก็เลยจับกุมนายสุรชัยมาถ่วงดุล และหวังว่าจะเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมือง
นายสำราญกล่าวถึงท่าทีของ พล.ต.สนั่น ที่ไปร่วมเป็นพยานให้กับแกนนำคนเสื้อแดงด้วยว่า ตนคิดว่า พล.ต.สนั่นน่าจะมีความจริงใจให้เกิดความปรองดองในประเทศบ้าง จึงพยายามที่จะเดินแผนปรองดอง ไปพบพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งพรรคการเมืองใหม่ พร้อมประกาศว่าเดือน ธ.ค.53 หรือไม่เกินเดือน ม.ค.54 ว่าจะมีพิมพ์เขียวว่าด้วยการปรองดองออกมา แต่บัดนี้ก็ยังไม่มีออกมาให้เห็น
“พรรคการเมืองใหม่จึงขอเรียกร้องให้ พล.ต.สนั่นเปิดแผนปรองดองออกมาให้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วมีรูปแบบอย่างไร เพื่อคลายข้อสงสัยที่ว่ารับงานมาเดินเกม เพื่อหวังผลทางการเมือง” นายสำราญกล่าว
นายสำราญกล่าวต่อว่า ทั้งยังมีกระแสข่าวว่าในระยะใกล้ๆ นี้ พล.ต.สนั่นอาจจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีแนบท้ายญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย อีกทั้งอาจได้รับเชิญจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ไปเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทำให้แผนปรองดองของ พล.ต.สนั่น ถูกมองเป็นเพียงแผนที่ทางการเมืองส่วนตัวมากกว่าที่จะเป็นแผนที่ทางการเมือง ของประเทศไทย ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศเดินหน้าที่จะเข็นกฎหมายนิรโทษกรรมด้วยการ ล่ารายชื่อประชาชนหลายแสนคนนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าการนิรโทษกรรมตามความหมายของพรรคภูมิใจไทยจะมีวาระแฝงเร้นจะฟอกผิดให้แก่พรรคพวกและคนมีสีที่ตัวเองสนับสนุนอยู่ด้วย ดังนั้นพรรคภูมิใจไทยต้องกำหนดขอบข่ายการนิรโทษกรรมว่ามีวาระทางการเมืองแฝง เร้นหรือไม่ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้ก็พยายามเดินเกมให้ตัวเองดูดี ลอยตัวจากปัญหา โดยพยายามชี้ว่าทั้งเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงเป็นตัวอันตรายของบ้านเมือง แต่ไม่มีแผนแม่บทของการปรองดองที่จริงจัง มุ่งประคองตัวให้เป็นทางเลือกและผ่านการเลือกตั้งทั่วไปในเร็วๆนี้
“โดยภาพรวมแล้วพรรคการเมืองใหม่เห็นด้วยการแนวทางปรองดองสมานฉันท์ โดยยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม อย่างน้อยที่สุดผู้ที่กระทำความผิดแล้วถูกพิพากษาถึงที่สุด ต้องเข้ารับโทษก่อน รวมทั้งผู้ที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง ทำร้ายทหาร ก็ควรดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก่อนด้วย จึงจะเกิดความสมานฉันท์ในสังคมได้” นายสำราญกล่าว
ขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงกระแสที่ 7 แกนนำคนเสื้อแดงเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ว่า ตนมองว่าเรื่องนี้มีนัยยะที่ไม่ธรมดา การอ้างว่าต้องการเป็น ส.ส.เพื่อเอกสิทธิ์ในการเคลื่อนไหว ไม่ต้องติดคุก หากเป็นความจริงถือว่าเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างมาก เพราะผู้นำมวลชนต้องยืนเคียงข้างมวลชน ไม่ใช่หาเกราะกำลังหรือข้ออ้างที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ในขณะที่มวลชนยังถูกจองจำอยู่ เป็นการสะท้อน 2 มาตรฐานในกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจตนารมณ์ของเอกสิทธิ์คุ้มครอง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 131 นั้น มีไว้เพื่อคุ้มครองเฉพาะกรณีที่มีการประชุมสภา หรือ ส.ส.ถูกกลั่นแกล้ง แต่ระยะหลังกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากในอนาคตพรรคการเมืองใหม่มีโอกาสเข้าไปทำงานในรัฐสภา ต้องมีการทบทวนเรื่องนี้ นิยามให้ชัดว่า เอกสิทธิ์สามารถใช้ได้ในกรณีไหนอย่างไร ระดับของบทลงโทษที่หากร้ายแรงถึงคดีก่อการร้าย ก็ไม่ควรได้รับการยกเว้น ไม่เช่นนั้นก็จะถูกใช้เป็นข้ออ้างก่อความวุ่นวายไม่จบสิ้น
เลขาฯ พรรคการเมืองใหม่ กล่าวอีกว่า การที่ 7 แกนนำคนเสื้อแดงต้องการลงเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย ยังมีนัยยะที่คนเสื้อแดงต้องการยึดพรรคเพื่อไทย ซึ่งที่ผ่านมามีแนวคิดเช่นนี้มาโดยตลอด คนในพรรคเพื่อไทยเองก็ตั้งคำถามว่า ต้องร่วมกับเสื้อแดงเต็มตัว หรือรักษาระยะห่าง ขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงก็ตั้งคำถามกลับว่าเป็นเพียงแนวร่วมหรือจะเข้ามายึดพรรคเพื่อไทยเพื่อรองรับสถานการณ์พิเศษของประเทศไทย และการเมืองช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่แม้จะมีการเลือกตั้งก็ใช่ว่าการเมืองจะกลับมาสู่ภาวะปกติในช่วงสั้นๆ เป็นแผนการจัดระเบียบรอบใหม่ของคนเสื้อแดง ถือเป็นการตอกย้ำชัดเจนว่าขบวนการคนเสื้อแดงที่มีการก่อความรุนแรงเมื่อปี 52 - 53 เป็นขบวนการเดียวกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องตระหนักว่าตอนนี้มีคำร้องยุบพรรคเพื่อไทยกรณีที่ไป เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย ค้างอยู่ที่อัยการสูงสุด หากรัฐ 7 แกนนำเข้าพรรค ก็เหมือนสารภาพกลางแจ้งว่าเป็นขบวนการเดียวกัน ไม่สามารถปฏิเสธได้
นายสุริยะใสกล่าวด้วยว่า หลังจากปล่อยแกนนำคนเสื้อแดงออกมาตามแผนปรองดองของรัฐบาล ไม่นานก็เกิดปรากฏการณ์ตีนตบ ม็อบเสื้อแดงไล่ขว้างปาสิ่งของใส่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทำให้เห็นว่าเป็นการตบหน้านายกฯ อย่างรุนแรง ที่ต้องการผ่อนคลายความตึงเครียดขัดแย้งทางการเมืองก่อนเลือกตั้ง ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง สถานการณ์ขณะนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ของนายกฯ แม้จะมีการระบุช่วงเวลายุบสภาไปแล้วก็ตาม เพราะว่าการปรองดองที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์เฉพาะหน้าของนักเลือกตั้งและกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม โดยไม่ได้ยึดหลักนิติรัฐ ทำให้เชื่อว่าความวุ่นวายและคงความขัดแย้งจะไม่จบ และจะกลับมาอีกครั้งในเร็วๆ นี้ โดยรุนแรงกว่าเดิม และมีสัญญาณการก่อตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ จุดที่เปราะบางที่สุดที่ทำให้สถานการณ์การเมืองพลิกผันคือช่วงเดือน มี.ค.นี้ ทั้งจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและการชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในโอกาสครบรอบ 1 ปี การชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ซึ่งข้อเรียกร้องก็หนีไม่พ้นการให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกทั้งประเทศ
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายคาดว่าทิศทางการเมืองจะดีขึ้นหลังสิ้นเดือน มี.ค. ซึ่งขัดแย้งกับพรรคการเมืองใหม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า จุดมุ่งหมายของรัฐบาลในตอนนี้ต้องการดึงความขัดแย้งทางการเมืองไปสู่การเลือกตั้ง จึงไม่แปลกที่พรรคการเมืองเปิดตัวแคมเปญการเลือกตั้งในตอนนี้ แต่ตนคิดว่ายังไม่สามารถตอบโจทย์ทางการเมืองได้ เพราะยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคม ทั้งการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ก็ไม่สามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาด้วยการเลือกตั้งไม่ได้ จึงไม่น่าแปลกที่นักการเมืองพยายามส่งสัญญาณถึงการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเพียงการเบี่ยงเบนปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
“ยืนยันว่าสถานการณ์พิเศษที่อาจเกิดขึ้นนั้น บทบาทจะไม่ได้อยู่แค่นักเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองเท่านั้น แต่จะมีกลุ่มตัวแปร โดยเฉพาะความตึงเครียดในช่วงเดือน มี.ค.จะเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์พิเศษขึ้นได้ แต่จะเป็นรูปแบบไหนไม่อาจระบุได้ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าการเมืองไทยยังก้าวไม่พ้นความเปราะบางตรงนี้” นายสุริยะใสกล่าว