xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” ชำแหละคิงเพาเวอร์ สปอนเซอร์ใหญ่ รบ. - วอน ปชช.ถึงเวลาแล้วต้องออกมากำจัดคนชั่ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประพันธ์” ชำแหละการโกงของคิงเพาเวอร์รอบ 2 แฉทั้งข้าราชการ นักการเมือง ต่างสมคบคิดให้คิงเพาเวอร์ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะรัฐบาล “มาร์ค” เพราะเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ ในการหนุนเงินซื้อเสียง ดูดตัว ส.ส.เพื่อเตรียมเลือกตั้งคราวหน้ากลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบ พร้อมวอนพี่น้องประชาชนผู้รักชาติถึงเวลาแล้วต้องออกมาปกป้องชาติ กำจัดคนชั่วไม่ให้ครองเมือง

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”  

วานนี้ (23 ก.พ.) นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ความจริงชัดเจนขึ้น ไม่ต้องสงสัยแล้วว่านายอภิสิทธิ์และผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่มีหน้าที่ในการรักษาปกป้องอธิปไตย ต้องถูกประณามทั้งสิ้น

บัดนี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ราชอาณาจักรไทยได้เสียดินแดนไปแล้วด้วยน้ำมือนายอภิสิทธิ์ โดยปราศจากข้อสงสัย เหลือเพียงอย่างเดียวคือเราจะเอาแผ่นดินคืนมาอย่างไร และถ้ายังมีรัฐบาลที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ไม่มีทางได้แผ่นดินคืนแน่นอน

“มาถึงเวลานี้เชื่อว่าพี่น้องที่ติดตามเราอยู่ คงต้องมีข้อตกลงใจกันว่า ถ้ายังมีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ต่อไป ประเทศล่มจม เสียดินแดนแน่นอน” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ถามว่าวันนี้อภิสิทธิ์อยู่ไหน ตายไปหรือยัง ทำถึงหุบปากอยู่ ทำไมไม่เถียง แต่ก่อนเห็นเถียงคอเป็นเอ็น บอกอยากดีเบตอยากออกทีวีแจง แต่พอเรายื่นขอเสนอให้พูดฝ่ายละ 3 ชั่วโมง แล้วให้ประชาชนตัดสิน กลับมุดหน้าหนี หุบปากหนี ไหนว่าเก่งนัก แล้วทำไมไม่มีเหตุผลมาโต้แย้งได้เลย

นายประพันธ์ยังกล่าวอีกว่า แถลงการณ์ของประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน หลังการประชุมอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2554 ที่ผ่านมา

พี่น้องจำได้หรือไม่ วันที่นายนพดลไปรับรองจอยต์ คอมมิวนิเก (Joint Communique) นายอภิสิทธิ์อภิปรายนายสมัครและนายนพดลอย่างไร และศาลปกครองก็ตัดสินแล้วว่าการรับรองแถลงการร์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือจอยต์ คอมมิวนิเก นี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และห้ามเอาแถลงการณ์นั้นไปใช้ดำเนินการใดๆ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ทำเลวยิ่งกว่านายนพดล และนายสมัคร เพราะนี่เป็นการไปยอมรับคำแถลงการณ์ร่วมของกลุ่มอาเซียน โดยมีนายกษิตเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และเลขาธิการใหญ่กลุ่มอาเซียน คือ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ คนประชาธิปัตย์ทั้งนั้น ที่ไปร่วมประชุมกับเขาด้วย

และนี่ไม่ได้เป็นการไปรับรองจอยต์ คอมมูนิเก คำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีผู้แทนยูเนสโกเป็นสักขีพยานเฉยๆ แต่นี่เป็นการไปยอมรับคำแถลงการณ์ของกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเลย สำคัญคือคำแถลงนี้เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ นายกษิต และนายสุรินทร์ ได้แสดงความโง่เขลา และทำให้ไทยเสียดินแดนอย่างไม่น่าให้อภัย ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีความรู้มีการศึกษาสูงจะด้อยปัญญาขนาดนี้

ไปรับรองแถลงการณ์ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่ผ่านรัฐสภา เหมือนกับตอนกรณีนายนพดล วันนี้คุณต้องรับกรรมในสิ่งที่เกิดขึ้น ประชาชนไม่ปล่อยให้คุณลอยนวลในข้อกฎหมายแน่นอน

นายประพันธ์ยังกล่าวอีกว่า ขอต่อเรื่องที่ค้างไว้เมื่อวานนี้ ซึ่งหลังจากที่ตนได้เปิดโปงเรื่องทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ได้มีผู้สื่อข่าวจาก ป.ป.ช.มาขอข้อมูลไป เพื่อดำเนินการตรวจสอบ

เมื่อวานพูดถึงเรื่องคิงเพาเวอร์ ที่สัญญาได้มาโดยไม่ชอบ คือ 1.ได้มาโดยไม่มีการประมูล 2.หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน คือถ้ารัฐให้เอกชนมาร่วมประกอบกิจการ ซึ่งกิจการนั้นมีมูลค่าเกิน 1,000 ล้าน จะต้องมีการประมูล แต่ปรากฏว่าคิงเพาเวอร์ก็อาศัยนักวิชาการรับจ้าง และนักการเมืองบางคน ช่วยประเมินว่าร้านค้าปลอดภาษีนั้นมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ความจริงมูลค่าเกินแน่นอน แต่มันก็มั่วทำสัญญามาจนได้

เมื่อปี 2550 การท่าอากาศยานฯ ที่มี พล.อ.สพรั่ง เป็นประธาน โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยให้ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการก็ได้มีมติให้เลิกสัญญากับคิงเพาเวอร์ และให้การท่าอากาศยานเข้ายึดพื้นที่บริหาร ผู้ค้าที่ทำสัญญากับคิงเพาเวอร์ก็มาทำกับการท่าฯ แทน โดยเหตุผลในการเลิกสัญญา คนที่แถลงคือนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โฆษกบอร์ดการท่าอากาศยานฯ ในขณะนั้น แต่วันนี้นายเจิมศักดิ์ไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย ปิดปากหมด เพราะการช่วยคิงเพาเวอร์ผ่องถ่ายมาอยู่กับนายสุเทพ และนายเนวินหมดแล้ว

ซึ่งปรากฏว่าคิงเพาเวอร์ก็เลยดำเนินการฟ้องการท่าอากาศยานฯ ซึ่งกระบวนการที่จะเข้ามาช่วยคิงเพาเวอร์ บัดนี้อยู่ในสังกัดประชาธิปัตย์ ผู้ที่เป็นทนายฟ้องให้คิงเพาเวอร์ คือ นายบัญฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความจากสำนักกฎหมายเสนีย์ ปราโมช โดยอ้างว่าคิงเพาเวอร์เสียหายจากการยกเลิกสัญญา และขอคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้การท่าฯเข้าไปควบคุมพื้นที่แทน และก็มาทำสำเร็จตอนเปลี่ยนรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ นี่แหละ เขาถึงจึงสามารถทำสำเร็จ โดยขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้ และเมื่อเปลี่ยนบอร์ดการท่าฯ มาเป็นบอร์ดที่มีนายปิยะพันธ์เป็นประธานก็ได้ทบทวนมติบอร์ดชุดที่แล้ว ให้คิงเพาเวอร์เป็นคู่สัญญาเหมือนเดิม แถมยังต่อสัญญาให้อีก 2 ปี โดยอ้างว่าได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า แสดงให้เห็นว่าการทุจริตในสุวรรณภูมิ จะทำอย่างไรกันก็ได้ ไม่คำนึงถึงความชอบธรรมเลย เพราะรัฐบาลกับคนโกงก็เป็นพวกเดียวกันหมด

วันนี้อัปยศที่สุดคือ ใครหากินกับหน่วยงานใด หน่วยงานนั้นแทบจะเป็นลูกน้องของธุรกิจนั้นเลย เช่น นายวิชัย หากินกับการท่าอากาศยานฯ ลูกจ้างการท่าฯ ก็เป็นลูกน้องนายวิชัยหมดเลย เจ้าหน้าที่ระดับสูงนอกจากกินเงินเดือนจากการท่าฯ แล้ว ยังกินใต้โต๊ะจากคิงเพาเวอร์ด้วย ไม่มีคนไหนที่ไม่รับผลประโยชน์จากคิงเพาเวอร์ ส่วนใครอยู่กรมสรรพสามิตร ก็รับเงินจากเสี่ยเจริญทุกคน

อีกเรื่องคือการเก็บเงินในสนามบินสุวรรณภูมิ สัญญาระบุว่าคิงเพาเวอร์ต้องจ่ายค่าตอบแทนต่อปีพันห้าร้อยล้านบาทให้การท่าฯ แต่ถ้าผลประโยชน์ตอบแทนได้มากก็ต้องจ่ายให้มากกว่าพันห้าร้อยล้านบาท ซึ่งเขาก็มีวิธีซิกแซก โดยคอมพิวเตอร์ของร้านค้าจะลิงก์เข้าคอมฯของคิงเพาเวอร์ ใครขายได้เท่าไหร่คิงเพาเวอร์รู้หมด แต่ท่าอากาศยานฯ โง่ บ้าใบ้ ไม่รู้เรื่อง รู้แต่ยอดที่คิงเพาเวอร์ส่งให้เท่านั้น อย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติก็ไม่ได้มากกว่าพันห้าร้อยล้าน การท่าอากาศยานฯ ก็มีแต่จะขาดทุนเรื่อยไป โง่ให้เอกชนเป็นคนมาเก็บเงิน และยังเป็นคนมาแจ้งเองอีก ถึงบอกว่าบ้านเมืองเราอัปยศเหลือเกิน เพราะข้าราชการ พ่อค้า สมคบกันปล้นเงินแผ่นดิน และประโยชน์ประชาชน

ที่ต้องพูดเรื่องสัญญาคิงเพาเวอร์นั้น เพราะเป็นเรื่องใหญ่ตรงที่บัดนี้ผลประโยชน์กลุ่มนี้เป็นเงินที่หล่อเลี้ยงรัฐบาลนี้อยู่ คอยค้ำจุนพรรคการเมืองให้ซื้อเสียง ซื้อตัว ส.ส. และพรรคที่ดูด ส.ส.มามากสุดคือภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ คำถามคือเอาเงินจากไหนมาดูดตัว ส.ส. ที่ต้องซื้อตัว ส.ส.กันก็เพราะหวังว่าเลือกตั้งใหม่ จะกลับมาเป็นรัฐบาลเหมือนเดิม และคิงเพาเวอร์ก็เป็นสปอนเซอร์ต้องสนับสนุนเพราะถ้ารัฐบาลเปลี่ยนก็อาจเสียประโยชน์

“อยากจะพูดว่าประเทศของเราวันนี้มันแย่แล้ว มาถึงวันนี้น่าจะได้บทสรุปร่วมกันแล้วว่า ถึงเวลาที่เราต้องหารือกันแล้วว่ามีมาตรการอย่างไรที่จะจัดการกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ปล่อยให้ทำดื้อตาใสให้เราเสียชาติ เสียแผ่นดินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ใครมีความคิดอะไรดีๆ ก็เสนอเข้ามา ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้มันน่าเศร้าใจ เชื่อว่าถ้าออกมาช่วยกันเราสำเร็จแน่นอน และขอวิงวอนพี่น้องผู้รักชาติทุกคนถึงเวลาแล้วต้องมาแสดงออก ร่วมปกป้องชาติ กำจัดคนชั่วไม่ให้ครองเมืองได้แล้ว” นายประพันธ์กล่าว

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยผู้รักชาติทั้งหลาย และกราบสวัสดีพี่น้องชาวไทยที่อยู่ต่างประเทศทุกท่าน และทักทายพ่อแม่พี่น้องที่ชมอยู่ทางจอ ASTV ด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ ปรบมือทักทายพี่น้องเราด้วยครับ บอกให้รู้ว่าเรายังอยู่ และเรายังยืนหยัดสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะใช่ไหมครับพี่น้อง

พี่น้องครับ ผมคิดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ความจริงมันมีความชัดเจนยิ่งขึ้น และคงไม่เป็นที่สงสัยแล้วว่า พฤติกรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คณะรัฐมนตรีชุดนี้ และประเทศของเราในวันนี้ ผู้ปกครองบ้านเมือง ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกป้องรักษาดินแดน อธิปไตยของประเทศนั้น ล้วนต้องถูกประณามทั้งสิ้นครับ

ดั่งที่ อ.ปานเทพ คุณเทพมนตรี คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และใครต่อใครได้ขึ้นมาพูดแล้วบนเวทีนี้ก่อนหน้าผม ว่าบัดนี้ น่าจะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ราชอาณาจักรไทยได้เสียดินแดนไปแล้วด้วยน้ำมือของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยปราศจากข้อสงสัย เหลือเพียงอย่างเดียวว่า เราจะหาทางเอาแผ่นดินของเราคืนอย่างไรเท่านั้นครับ และผมเชื่อว่า ถ้ายังมีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ผมเชื่อแน่ว่า เราไม่มีโอกาสได้แผ่นดินคืนแน่ครับ มาถึงโค้งนี้ ช่วงเวลานี้ ผมคิดว่าพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศที่ติดตามพวกเราอยู่ และรับรู้ข้อมูล ข้อเท็จจริงทั้งหลาย เราควรจะต้องมีข้อตกลงใจและข้อตัดสินใจร่วมกันแล้วว่า ถ้าแม้ว่ายังมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไปนั้น ประเทศไทยล่มจมและเสียดินแดนอย่างแน่นอน

เราชุมนุมมาถึงวันนี้จะครบ 30 วันแล้ว ได้ให้ข้อมูล เหตุผล ข้อเท็จจริงมากมาย อันเป็นที่ประจักษ์ และโดยปราศจากข้อเท็จจริงหรือเหตุผลที่รัฐบาลจะโต้แย้งได้ พี่น้องครับ สังเกตไหมว่า เมื่อครั้นที่เราชุมนุมใหม่ๆ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนแคะ ตอบโต้เรามาโดยลำดับ ไม่ว่าจากผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมครั้งนี้ สื่อมวลชน หรือนักวิชาการบางส่วน ที่ยังงมงายอยู่กับข้อเท็จจริงอันเป็นอวิชา หรือจงใจที่จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน รวมทั้งตัวนายอภิสิทธิ์และคนแวดล้อม ล้วนแต่ดาหน้าตอบโต้กับพวกเราทั้งนั้น ถามว่า วันนี้นายอภิสิทธิ์ไปไหน ตายแล้วหรือยัง ตายแล้วหรือยังนายอภิสิทธิ์ คุณตายไปจากโลกนี้แล้วหรือยัง ทำไมถึงหุบปากอยู่ล่ะ ทำไมไม่โต้แย้ง ไม่เถียงล่ะ แต่ก่อนเห็นเถียงคอเป็นเอ็นฉอดๆๆ บอกอยากดีเบต อยากโต้วาที อยากจะออกรายการทีวี พอเรายื่นข้อเสนอว่า คุณกับผมพูดกันคนละ 3 ชั่วโมง และให้ประชาชนตัดสินไหม มุดหน้าหนีหุบปากหนีเลยครับพี่น้องครับ ไหนว่าคุณเก่งนัก แล้วทำไมไม่มีเหตุผลมาโต้แย้งพี่น้องประชาชนและพวกเราได้เลย

พี่น้องครับ ผมอยากจะให้ดู Facebook ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปรากฏว่า ใน Facebook ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีแต่คนโพสต์ข้อความเข้าไปต่อว่าทั้งนั้นเลยครับ ไม่มีใครเข้าไปชมเลย 80% ต่อว่าทั้งนั้น ส่งข้อความเข้าไปต่อว่าทั้งนั้น บอกว่า นายกฯ บัดนี้รู้หรือยังว่าเราเสียดินแดนแล้ว กอดทำไม MOU กอดไว้อยู่ทำไม แล้วมันช่วยอะไรประเทศไทยได้บ้าง นายกฯ จะแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำมันพืช ข้าวยากหมากแพงของประชาชนอย่างไร ทำอะไรอยู่ หรือว่าทำงานไม่เป็น ไม่มีความสามารถ ก็ควรจะออกไปซะ เต็มไปด้วยข้อความ พี่น้องเปิดเข้าไปดูเลยครับ นายอภิสิทธิ์แรกๆ ก็ตอบโต้ ตอนนี้ไม่ตอบโต้เลยครับ ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ คนส่งข้อความเข้ามาในนี้เต็มไปหมด จนนายอภิสิทธิ์ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลยครับพี่น้องครับ ผมถึงถามว่า บัดนี้คุณตายไปแล้วหรือ จึงไม่สามารถพูด ชี้แจงเรื่องใดๆ เลย

แต่พี่น้องครับ เรื่องที่มันอัปยศที่สุดก็คือ เรื่องที่ อ.ปานเทพ นำมาเปิดเผย และเราก็ได้พูดไปแล้วในรายการนี้ก็คือ แถลงการณ์ของประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน หลังการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน จาการ์ตา เมื่อ 22 ก.พ.2011 ที่ผ่านมา พี่น้องจำได้ไหมครับ ในวันที่นายนพดล ปัทมะ ไปทำ Joint Communiqueไปลงนามรับรองแผนผังในการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร นายอภิสิทธิ์อภิปรายนายสมัคร อภิปรายนายนพดลอย่างไรพี่น้องจำได้ใช้ไหมครับ และพวกเราได้ยื่นคำร้องไปที่ศาลปกครอง ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า Joint Communique คำแถลงการณ์ร่วมนั้น มีผลผูกพันเป็นสัญญาและมีผลกระทบต่อดินแดน จำต้องผ่านกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เมื่อไม่ผ่านกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จึงไม่มีผลบังคับใช้ ห้ามผู้ใดเอาแถลงการณ์นั้นไปอ้างในทางที่จะให้เกิดผลกระทบต่อ ความเสียหายต่อประเทศไทย นี่เกิดขึ้นมาแล้ว

แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ทำเลวยิ่งกว่านายนพดล และนายสมัครอีกครับพี่น้องครับ เพราะอะไรครับ นี่มันเป็นการไปยอมรับคำแถลงการณ์ร่วมของกลุ่มอาเซียน กลุ่มอาเซียน โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศชื่อ นายกษิต ภิรมย์ และมีเลขาธิการใหญ่กลุ่มอาเซียน ชื่อ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ คนของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนั้นเลย ไปร่วมประชุมกับเขา แล้วไม่ได้เป็นการไปรับรอง Joint Communique ที่เป็นคำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีผู้แทนยูเนสโกเป็นสักขีพยาน นี่เป็นการยอมรับคำแถลงของกลุ่มอาเซียน ทั้ง 10 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน สำคัญก็คือว่า คำแถลงนี้มันเป็นคำแถลงเท่ากับ นายอภิสิทธิ์ นายกษิต ภิรมย์ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ แสดงความโง่เขลา และทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนและอธิปไตยอย่างไม่น่าให้อภัยเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีความรู้ การศึกษาระดับนี้จะโง่งมงายและด้อยปัญญาขนาดนี้ นายกษิต ภิรมย์ ครับ คุณเคยด่านายฮุน เซน ว่ากุ๊ย วันนี้คุณโดนกุ๊ยชกปากและเตะกะบาลคุณล้มคว่ำไปแล้ว ผมอยากจะประณามคุณว่า คุณนี่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่เฮงซวยที่สุดครับ ผมขอประณามคุณ คุณไม่สมควรที่จะมานั่งอยู่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เสียดายที่ผมเคยให้ความเคารพนับถือ วันนี้ภายใต้แถลงการณ์ของกลุ่มอาเซียน ฉบับนี้ ผมถึงว่าคุณเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่อัปยศที่สุด เฮงซวยที่สุด นี่คือคำของ นายประพันธ์ คูณมี และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สิ่งที่ผมเคยเคารพนับถือคุณขอให้หมดสิ้นไป ถือว่าผมกับคุณไม่เคยมีความเคารพนับถือกันแต่อย่างใดเลย แม้แต่น้อยครับ

และ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ครับ คุณเคยเป็นคนหนึ่งที่ผมเคยเคารพนับถือ สมัยที่ท่าน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ คุณเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผมก็ให้ความเคารพนับถือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ มาเป็นลำดับ และเมื่อมาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติด้วยกัน เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน ผมก็เคารพนับถือคุณมาโดยตลอด แต่ผมถือว่าการที่คุณไปนั่งซื่อบื้อ และยอมให้อาเซียนออกแถลงการณ์มาแบบนี้ ผมถือว่า คุณควรจะได้รับการประณามจากผมนะครับว่า คุณเป็นเลขาธิการอาเซียน ที่ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ทรยศต่อชาติ ทรยศต่อแผ่นดิน และเช่นกันครับ ถ้าคุณทั้ง 2 คนยังไม่การใดอันเป็นการทำให้แถลงการณ์นี้มีผลเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ประเทศไทยจะได้ประโยชน์แล้ว ผมก็ขอประณามคุณทั้ง 2 คน และถือว่าบัดนี้ ผมจะไม่ยกมือไหว้และไม่เคารพนับถือคุณทั้งสองอีกต่อไปเลยครับ หมดสิ้น ถือว่าผมไม่เคยเคารพนับถือ และไม่เคยรู้จักคุณทั้ง 2 คนเลย ผมเสียใจมากที่เคยเคารพนับถือคุณทั้งสอง
แต่ว่าคนสุดท้าย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองขนาดนี้ มันทำตัวซื่อบื้อ นั่งลอยไปลอยมา งานที่ทำ เช่นไปเปิดงานของกระทรวงสาธารณสุข วันนั้นที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งไปพังถึงโพเดี่ยม งานกระจอกอย่างนี้ให้รัฐมนตรีสาธารณสุขเป็นประธานก็ได้ ให้ปลัดกระทรวงเป็นประธานก็ได้ คุณทะลึ่งอยากจะไปเอาหน้าออกกล้องทำไม เรื่องใหญ่ๆ อย่างนี้คุณไม่เคยสนใจเลย ผมถามหน่อย วันๆ คุณนั่งคิดอะไร นั่งทำอะไรในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นเมื่อแถลงการณ์ของกลุ่มอาเซียนออกมาอย่างนี้ ผมต้องถือว่าคุณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ ไม่ผิดเลยที่ผมประณามคุณว่า เป็นนายกฯ ที่เนรคุณประเทศชาติ เนรคุณประชาชน ตระบัดสัตย์ ขายชาติ ขายแผ่นดิน คุณไม่สมควรจะอยู่ในแผ่นดินไทยต่อไปเลยครับ
โดยคำแถลงการณ์นี้มันก็บอกอยู่แล้วว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและตัวแทนเขาประชุมกัน โดยมีเลขาธิการใหญ่อาเซียน ก็คือ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ประชุมร่วมอยู่ด้วย และเมื่อแถลงการณ์นี้ออกมา แสดงว่าทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ เลขาธิการอาเซียน และตัวคุณ นายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบ เขาถึงได้ออกแถลงการณ์นี้ประกาศไปทั่วโลก โดยที่คุณไม่คัดค้านเลยครับ ข้อความสำคัญก็คือว่า คุณไปยอมได้อย่างไรว่าเรื่องทั้งหมดนี้เขาอ้างอิงมาจากการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประธานอาเซียนรายงานถึงผลการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ให้คณะรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มอาเซียนฟัง และยังอ้างถึงสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยและกัมพูชาตกลงกัน อ้างถึงสิ่งที่ผู้แทนระดับสูง คือผู้แทนทางทหารของเราไปตกลงร่วมกับเขา เขาอ้างไว้หมดในนี้ว่า เรายินดี เน้นย้ำว่า ทั้งไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ประเทศ จะยึดมั่นต่อหลักสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ และกฎบัตรอาเซียน รวมทั้งยุติความแตกต่างหรือข้อพิพาท ด้วยวิถีทางสันติวิธี ที่สำคัญก็คือ และสละการคุกคามหรือใช้กำลัง ตลอดจนหลักการที่มีอยู่ในกฎบัตรสหประชาชาติ คุณไปสละได้อย่างไร หลักการและกฎบัตรสหประชาชาติ ให้ประเทศเอกราชสามารถใช้กำลังป้องกันดินแดนและอธิปไตยของตนเองได้โดยปราศจากการแทรกแซงของนานาประเทศ บัดนี้คุณไปสละหลักการนี้ได้อย่างไร ในขณะที่กัมพูชายังครอบครองดินแดนอยู่ แถลงการณ์และข้อตกลงนี้เท่ากับมีผลผูกพันต่อดินแดนอธิปไตย และทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน คุณทะลึ่งไปตกลงได้อย่างไร โดยไม่ผ่านการรับรองของรัฐสภา ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เหมือนกับ Joint Communique ก็ไม่ผ่านเช่นกัน วันนี้ผมคิดว่าคุณจะต้องรับกรรมในสิ่งที่เกิดขึ้น และพี่น้องประชาชนจะไม่ปล่อยให้คุณลอยนวลในทางกฎหมายอย่างแน่นอนครับ

ส่วนข้อต่อมา ทั้งไทยและกัมพูชายินดีที่จะเชิญผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียให้มาดู เป็นสักขีพยาน ถึงเรื่องที่จะมีผลกระทบต่อดินแดนของทั้ง 2 ประเทศ ตามพรมแดน สังเกตการณ์การปฏิบัติการ คุณรู้ไหมเขาไม่ได้มาในนามประเทศอินโดนีเซีย เขามาในนามตัวแทนกลุ่มอาเซียน ทั้ง 10 ประเทศ แสดงว่าคุณหมดศักดิ์ศรีแล้ว คุณเอาเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีไปให้บรรดาประเทศอาเซียนเข้ามาครอบงำในปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา แสดงว่ากัมพูชาประสบความสำเร็จที่ดึงกลุ่มอาเซียนทั้งกลุ่มโดยผ่านตัวแทน คือ อินโดนีเซีย เข้ามาครอบงำดูแลการจัดการปัญหา แสดงว่า มึงโง่ไหม ต่อยกันตัวต่อตัวมึงก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว มึงยังเสือกให้กัมพูชาเอามาอีก 9 ประเทศ เท่ากับ 9 รุม 1 ไอ้โง่เอ๊ย โง่ไม่โง่ไม่รู้จะพูดอย่างไรครับ ทั้งหมดนี้คุณยังไปรับรองอีกว่า ยินดีในการประชุมในอนาคตของกรรมาธิการเขตแดนไทย-กัมพูชา ในการจัดทำหลักเขตแดนทางบก และการประชุมกรรมการชายแดนทั่วไป ในวันเวลาที่จะพิจารณาต่อไป สรุปแล้ว MOU 43 ไม่ใช่เป็นข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศเท่านั้น คุณไปทำให้กลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ มาเป็นสักขีพยานรับรอง MOU 43 อันอัปยศ ที่เสียเปรียบกัมพูชา อีกด้วยครับ กลายเป็นว่า ต่อไปนี้อาณาเขต ดินแดนของไทย ต้องปักปันดินแดนใหม่ ต้องมีคณะกรรมการชายแดน ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอาเซียนร่วมรู้เห็นและเป็นสักขีพยานว่า คุณจะต้องดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนใหม่ตลอดไป ฉลาดหรือโง่ครับพี่น้องครับ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ คุณเคารพพันธะที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะในอนาคต จะไม่ใช้กำลัง ทั้งหมดนี้เท่ากับคุณมัดแสนยานุภาพของกองทัพไทย วันนี้บอกได้เลย เอาปืนใหญ่ ปืนกล รถถัง เครื่องบิน ของกองทัพแห่งชาติของไทย ไปโยนทิ้งลงทะเลได้แล้วนายอภิสิทธิ์ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย งบประมาณทหารปีละหลายหมื่นล้าน ที่ใช้ไปกับการนี้ หมดความหมายทันทีภายใต้แถลงการณ์อันนี้

เมื่อไทยยอมรับแถลงการณ์อันนี้ เท่ากับยอมรับคำแถลงการณ์ที่มีผลผูกพันต่อประเทศไทย ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับการยอมรับ Joint Communique วันนี้ นายอภิสิทธิ์ครับ คุณช่วยชี้แจงซิ นายกษิต คุณมีปัญญาไหมที่จะเถียง แย้งกับพวกผม ถ้าคุณแย้งไม่ได้คุณควรไปโดดน้ำตาย ไปผูกคอตาย หนีออกจากแผ่นดินไทยได้แล้ว มันน่าเจ็บใจจริงครับพี่น้องว่า ทำไมประเทศไทยของเรา เราถึงมีผู้นำประเทศที่โฉดและโง่เขลาอย่างนี้ ทำไมเราไม่มีผู้กล้า ทำไมเราไม่มีผู้นำประเทศ ทำไมเรื่องอย่างนี้ต้องกลายเป็นภาระหน้าที่ของพวกเรา คนที่มีหน้าที่ทำไมไม่ทำ ทำไมสมคบกัน สุมหัวกันขายชาติขายแผ่นดินกันไปหมดครับพี่น้อง มันน่าเศร้าใจจริงๆว่าบ้านเมืองเรานี้หาคนดี หาผู้นำที่จะมากู้บ้านกู้เมืองไม่ได้แล้วหรอ พี่น้องครับ ผมคิดว่าวันนี้พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศต้องยอมรับและเข้าใจได้แล้วว่า เรามีผู้นำประเทศที่โฉด เขลา ชั่วช้า และขายชาติขายแผ่นดินครับพี่น้องครับ เขาไม่สมควรที่จะอยู่ปกครองบ้านเมืองต่อไปอีกเลย

ทั้งหมดนี้ พี่น้องครับ ที่มันเป็นอย่างนี้ ที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ และที่เราต้องเสียเปรียบกัมพูชาและเป็นลูกไล่เขา รวมทั้งเป็นลูกไล่กลุ่มประเทศอาเซียน ให้เขามาขี่คอคนไทยและประเทศไทยนั้น เพราะเรามีรัฐบาลที่ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ขาดภาวะผู้นำ ขาดความรู้ความสามารถ และทุจริตคดโกง ชั่วช้า ขายชาติขายแผ่นดิน นั่นเองครับพี่น้องครับ และปัญหากัมพูชาที่แก้ไม่ได้ และพัฒนามาจนกระทั่งถึงวันนี้ ก็เพราะนักการเมืองไทย พ่อค้า นักธุรกิจ และกลุ่มุทุน กลุ่มทหารไทยบางคนที่ร่วมมือร่วมไม้กัน มันมีพฤติกรรมที่ขายชาติขายแผ่นดิน ร่วมหากินกับฮุน เซน ปมเหตุของมันก็คือเรื่องโกงเรื่องทุจริตเรื่องคอร์รัปชั่น เรื่องขายชาติ เอาประโยชน์อย่างเดียว ไม่มีเรื่องอื่นเลยครับพี่น้อง แผ่นดินมันถึงเป็นอย่างนี้ ถ้าเรามีผู้นำของบ้านเมืองที่กล้าหาญ เสียสละ รักชาติ รักแผ่นดิน เราคงไม่ตกอยู่ในสถานะแบบนี้

พี่น้องครับ ผมพูดมาจนไม่รู้จะพูดความชั่วช้าของรัฐบาลนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะมันเต็มไปด้วยเรื่องราวที่อัปยศทั้งนั้น แล้วก็หาคนที่จะมาสู้ มาล้าง มาแก้ไขเอาจริงเอาจัง มันทำไมไม่มี ทำไมมันหายากเหลือเกินประเทศนี้ หรือว่าทุกคนบ้าใบ้ จนกระทั่งจะหาคนมากู้บ้านกู้เมืองไม่ได้ แต่พี่น้องครับ ผมยังไม่เชื่อว่ามันจะหมด ทหารที่ดีๆ น่าจะยังมีหลงเหลืออยู่ ข้าราชการที่ดีๆ ที่รักชาติรักบ้านเมือง ก็น่าจะยังมีอยู่ พ่อค้าประชาชนที่รักชาติบ้านเมือง ก็คงยังมีอยู่ แต่วันนี้มันถึงเวลาที่พวกเราจะต้องลุกออกมาแสดงตน และร่วมมือ สามัคคีกันโค่นรัฐบาลนี้ได้แล้ว เอามันไว้ทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย วันๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ละวันคิดแต่เรื่องจะโกง จะทุจริต นี่วันนี้ผมก็ได้เรื่องเข้ามาอีกเรื่องหนึ่งแล้ว เมื่อวานนี้หลังจากที่ผมพูดเรื่องโกง ทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีคนส่งข่าวมาแล้วว่า วันนี้มีการทุจริตคดโกงในองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โกงกันเป็นหมื่นล้านครับพี่น้อง ด้วยการประมูล ด้วยการจะวางโครงสร้างงานระบบ ของงานองค์การโทรศัพท์ น่าจะเกี่ยวกับ 3จี แต่ว่าวันนี้คณะกรรมการบอร์ดเริ่มลาออก เพราะเขาทนเห็นการทุจริตคดโกงไม่ได้ จนกระทั่งจะมีการประชุมไม่ครบองค์ประชุมของคณะกรรมการบอร์ด เพราะกรรมการบอร์ดเขาไม่ต้องการติดคุกร่วมกับนักการเมือง เดี๋ยววันหลังจะเอามาพูดให้ฟังว่ามันเรื่องอะไร แต่เขาให้ข้อมูลมาแล้วว่า วันนี้นักการเมืองใหญ่ ขาใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ นักการเมืองใหญ่มีคนเดียวเท่านั้นที่โกงและกินมูมมามที่สุด กระทรวงที่ดูแลเรื่องโทรคมนาคมด้านไอซีที ก็อยู่ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พี่น้องครับเดี๋ยวค่อยพูดกันทีหลัง

แต่วันนี้มีเวลาจำกัดผมขออนุญาตพูดเรื่องที่ค้างมาจากเมื่อวานนี้ต่อให้พี่น้องฟัง เพราะว่าหลังจากเมื่อวานนี้ผมพูดเรื่องการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ พี่น้องรู้ไหม ผู้สื่อข่าวจาก ป.ป.ช.ให้คนมาขอข้อมูลว่าเขาจะดำเนินการตรวจสอบการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิในเรื่องที่ผมพูดเมื่อวานนี้ และผมก็ได้ให้ข้อมูลไปแล้ว เขากำลังติดตามตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากได้เห็นวีซีดีที่ผมฉายไปเมื่อวานนี้ ต้องปรบมือให้กับเจ้าหน้าที่ หรือผู้สื่อข่าวพิเศษของ ป.ป.ช.ที่ให้ความสนใจเรื่องนี้และมาขอข้อมูล

พี่น้องครับ เมื่อวานที่ผมพูดไปถึงเรื่องการที่บริษัทคิงเพาเวอร์ได้สัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร หรือปลอดภาษี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น ได้มาโดยไม่ชอบพี่น้องรู้ไปแล้ว ว่า 1.ได้มาโดยไม่ต้องมีการประมูล ไม่ได้มีการประมูลเลย โดยนักการเมือง รัฐมนตรีคมนาคมสมัยนั้นอนุมัติ และบอร์ดอนุมัติให้บริษัทคิงเพาเวอร์ได้สัญญาไปโดยไม่มีการประมูล 2.โดยหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ.2535 นั่นคือ ถ้ารัฐให้เอกชนร่วมลงทุนหรือประกอบกิจการใด และมาทำสัญญาใดกับรัฐ และมูลค่าของการลงทุนในกิจการนั้นเกินกว่า 1,000 ล้าน ก็จะต้องมีการประมูล แต่ปรากฏว่าร้านค้าปลอดภาษีนั้นร่วมกับเจ้าหน้าที่การท่าฯ และนักวิชาการรับจ้าง รวมทั้งนักการเมืองบางคน ประเมินว่าธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี มีมูลค่าไม่ถึงพันล้าน ทั้งๆ ที่เฉพาะสินค้าในสต็อกก็มีมูลค่าตั้ง 4,000 ล้านแล้ว ค่าปลูกสร้างอาคารร้านค้า พื้นที่ 5,000 ตารางเมตร มันก็หลายพันล้านแล้ว มูลค่าอย่างไรก็เกินพันล้าน แต่มันมั่วจนกระทั่งทำสัญญามาได้ พี่น้องครับ เมื่อปี 2550 คณะกรรมการการท่าอากาศยานที่มี พล.อ.สพรั่ง เป็นประธาน จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ โดยตั้งให้ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานคณะกรรมการ คือ คำสั่งที่ 355/2550 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำเนินงานของโครงการต่างๆ ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมแล้ว 5 โครงการ 1.เรื่องการได้มาซึ่งสัญญาของบริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี 2.การได้มาของบริษัทคิงเพาเวอร์ในการประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารท่าอากาศยาน และ 3, 4, 5 เป็นเรื่องของไทยแอร์พอร์ตกราวน์ เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุอื่นๆ หรือเรื่องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงงาน แต่เรื่องสำคัญ 2 เรื่องนี้ คณะกรรมการที่มีท่าน พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน ได้มีมติให้เลิกสัญญากับบริษัทคิงเพาเวอร์ เมื่อเลิกสัญญากับคิงเพาเวอร์และให้การท่าอากาศยานเข้าไปยึดพื้นที่ และเข้าบริหารพื้นที่ ใครที่ทำสัญญาอยู่เดิมกับบริษัทคิงเพาเวอร์ก็มาทำสัญญากับบริษัทการท่าฯ และอยู่ระหว่างดำเนินการ บริษัทคิงเพาเวอร์ทำอย่างไรครับ บริษัทคิงเพาเวอร์ได้ดำเนินการโดยมีการฟ้องการท่าอากาศยาน กระบวนการที่จะเข้ามาช่วยบริษัทคิงเพาเวอร์ วันนี้กลายเป็นกลุ่มพรรคและนักการเมืองในสังกัดของประชาธิปัตย์ครับพี่น้องครับ ผู้ที่เป็นทนายฟ้องให้บริษัทคิงเพาเวอร์เพื่อจะสู้กับการท่าอากาศยาน คือ นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความสำนักงานเสนีย์ ปราโมช เป็นผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทในเครือคิงเพาเวอร์ และเป็นทนายความในการฟ้องคดีต่อการท่าอากาศยาน เพื่อจะหาทางช่วยบริษัทการท่าอากาศยาน โดยอ้างเหตุว่า บริษัทคิงเพาเวอร์เป็นผู้ประกอบกิจการในสนามบินสุวรรณภูมิ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการเลิกสัญญา และมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการท่าอากาศยาน คำฟ้องมีรายละเอียดผมไม่ต้องอ่าน เมื่อฟ้องแล้วขอยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราว เพื่อไม่ให้การท่าอากาศยานเข้าไปควบคุมดำเนินกิจการแทนบริษัทคิงเพาเวอร์

พี่น้องครับเค้าทำสำเร็จตอนไหน สำเร็จตอนเปลี่ยนรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนรัฐบาลเป็นพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ นี่ละครับ เขาจึงสามารถทำสำเร็จ คือสามารถขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้ และเมื่อเปลี่ยนบอร์ดเป็นคณะกรรมการบอร์ดชุดใหม่ มาเป็นนายปิยะพันธ์ จำปาสุต เป็นประธานคณะกรรมการบอร์ด เขาจึงทบทวนมติบอร์ดชุดที่แล้ว ซึ่งมติบอร์ดชุดที่แล้ว เหตุผลที่ให้มีการเลิกสัญญา ก็คือ บริษัทคิงเพาเวอร์ทำผิดสัญญา แล้วคนที่มาแถลงเป็นโฆษกของบอร์ดการท่าอากาศยานในการเลิกสัญญากับบริษัทคิงเพาเวอร์คือใครท่านรู้ไหมครับ โฆษกของคณะกรรมการการท่าอากาศยานที่เป็นผู้มาแถลงบอกเลิกสัญญากับบริษัทคิงเพาเวอร์ คือ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นกรรมการและโฆษกคณะกรรมการการท่าอากาศยาน ในวันที่ พล.อ.สพรั่ง เป็นประธานบอร์ด นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นกรรมการและโฆษกคณะกรรมการการท่าอากาศยาน มาแถลงฉอดๆ ว่าการบอกเลิกสัญญาเพราะบริษัทคิงเพาเวอร์ทำความผิดอะไรอย่างที่ผมพูดมาทั้งหมด ผิดสัญญาอย่างไร ใช้พื้นที่เกินอย่างไร ได้มาโดยไม่ชอบ สัญญาเป็นโมฆะอย่างไร แถลงเหตุผลหมด แต่วันนี้นายเจิมศักดิ์ไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยครับ ปิดปากเงียบ เพราะกระบวนการที่จะช่วยบริษัทคิงเพาเวอร์นั้น มันถูกผ่องถ่ายมาอยู่ในกำมือของเนวินกับสุเทพไปเรียบร้อยแล้วครับพี่น้องครับ

ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คืออะไรพี่น้องรู้ไหมครับ นอกจากคณะกรรมการบอร์ดได้มีมติ กรรมการบอร์ดชุดใหม่ที่มีภาพนายปิยะพันธ์ จำปาสุต ประธานบอร์ดคนใหม่ของการท่าฯ พี่น้องรู้ไหมครับ นอกจากจะมีมติให้บริษัทคิงเพาเวอร์ได้เป็นคู่สัญญาเหมือนเดิมแล้ว นายปิยะพันธ์ จำปาสุต ประธานบอร์ด ยังมาต่อสัญญา ขยายสัญญาให้กับบริษัทคิงเพาเวอร์อีก 2 ปี โดยอ้างเหตุว่า บริษัทคิงเพาเวอร์ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ไปชุมนุมอยู่หน้าสนามบินสุวรรณภูมิ พี่น้องครับ สัญญาบริษัทคิงเพาเวอร์ เขาได้สัญญา 10 ปี จะครบสัญญา ทำสัญญาปี 48 ครบสัญญาปี 2558 บัดนี้เขาต่อสัญญาให้อีก 2 ปี เป็นครบสัญญา 2560 ขยายไปเฉยๆ 2 ปี นายปิยะพันธ์ จำปาสุต อ้างเหตุว่า ที่สนามบินสุวรรณภูมิ การที่บริษัทขยายสัญญาเช่าให้กับบริษัทผู้ประกอบการคิงเพาเวอร์ออกไปอีกนั้น เพราะว่า ในช่วงที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง เขาอ้างว่า เป็นการชดเชยความเสียหายให้กับผู้ประกอบการทุกรายที่ได้รับผลกระทบในการชุมนุมของประชาชน ของกลุ่มพันธมิตรฯ เช่นเดียวกับการชดเชยให้กลุ่มอื่นๆ เขาบอกอย่างนี้ สรุปคือ ได้มีการชดเชยความเสียหายให้กับคนอื่นๆ โดยอ้างอย่างนี้ นายปิยะพันธ์ จำปาสุต ประธานคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยาน เปิดเผยถึงมติอนุมัติ 6 มาตรการช่วยเหลือสายการบินที่ได้รับผลกระทบ ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และช่วยเหลือบริษัทคิงเพาเวอร์ที่ได้รับผลกระทบ โดยขยายเวลาอายุสัมปทานออกไปอีก 2 ปี โดยยืนยันว่า ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้บริษัทคิงเพาเวอร์ แต่เนื่องจาก เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกรายที่ประกอบการในสนามบิน เช่น ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ จากเดิมที่เคยจ่ายค่าบริการ เขาก็มีการปรับค่าบริการ อันนี้เป็นเรื่องของการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งมีเวลาเราไปชุมนุมแค่กี่วันเท่านั้น คือวันที่ 25 พ.ย.- 3 ธ.ค. ยังไม่ถึง 10 วันเลยครับ แต่ทำไมคุณต่อสัญญาให้คิงเพาเวอร์ถึง 2 ปี นี่คือเหตุผล ซึ่งมันอ้างไม่ได้เลย การต่อสัญญาให้กับคิงเพาเวอร์ 2 ปี โดยอ้างการชุมนุมของพันธมิตรฯ 10 วันนั้นมันเป็นเหตุเป็นผลไหมครับ แสดงให้เห็นว่า การทุจริตคดโกงในสนามบินสุวรรณภูมิ ใครจะทำอะไรอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้มีอำนาจทางการเมือง จะเอาอำนาจทางการเมืองไปช่วยพ่อค้านักธุรกิจที่โกงบ้านกินเมืองอย่างไร มันไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมเลย กูจะทำซะอย่างใครจะทำอะไร เพราะรัฐบาล รัฐมนตรีก็เป็นพวกกู ใครจะมาเอาผิดกู มันอ้างอย่างนี้แบบน้ำขุ่นๆ ครับพี่น้องครับ

ทำไมผมจึงพูดเรื่องนี้ วันนี้การทุจริตคดโกงมันเป็นเรื่องที่อัปยศที่สุดก็คือ ใครหากินกับหน่วยงานใด หน่วยงานนั้นแทบจะเป็นลูกน้องของธุรกิจนั้นไปเลย เช่น นายวิชัย รักศรีอักษร หากินอยู่กับสนามบินสุวรรณภูมิ พนักงาน เจ้าหน้าที่บริษัทการท่าอากาศยาน มันเหมือนลูกจ้างของบริษัทคิงเพาเวอร์ทุกคนเลยครับพี่น้อง เอาละอาจจะไม่เป็นธรรมกับคนที่ดีๆ คนดีๆ ก็มีอยู่บ้าง แต่ว่าโดยส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ระดับสูง นอกจากกินเงินเดือนของการท่าอากาศยานแล้วยังกินเงินเดือนและผลประโยชน์ใต้โต๊ะจากกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ทุกคนเลยครับพี่น้อง เจ้าหน้าที่ที่สำคัญๆ ในการท่าฯ เรียกว่า เอาไม้หน้าสามตีหัวใครไม่มีผิดว่า มึงก็รับเงินคิงเพาเวอร์ ไอ้นี่ก็รับเงินคิงเพาเวอร์ ไม่มีคนไหนที่ไม่รับผลประโยชน์จากบริษัทคิงเพาเวอร์

นอกจากนั้น ถ้าใครอยู่กรมสรรพสามิต ถามว่ามีใครไม่รับเงินจากบริษัทของเสี่ยเจริญ โรงเหล้าบ้าง กรมสรรพสามิตก็เป็นพนักงานรับจ้างของเสี่ยเจริญทุกคนเลยครับ ใครอยู่กระทรวงเกษตรฯ ก็จะต้องกินจากพ่อค้าที่ทำธุรกิจการเกษตร ใครอยู่กรมศุลกากร ก็กินจากพ่อค้าส่งออก พ่อค้าที่นำของเข้าออกหนีภาษี ใครอยู่กระทรวงพาณิชย์ก็กินจากพ่อค้า อย่างที่เราเห็น ขึ้นราคาสินค้าบริษัทน้ำมันปาล์ม ใครอยู่กระทรวงอุตสาหกรรมก็ต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ เช่น น้ำตาล ยานยนต์ อุตสาหกรรมสำคัญๆ จะเป็นเจ้านายของพวกข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่ข้าราชการทุจริตนิยม ครับพี่น้องครับ ประชาชนต้องตกอยู่ในนโยบายประชานิยม ส่วนข้าราชการจะตกอยู่ในวัฒนธรรมทุจริตนิยม เป็นแบบนี้หมดทั้งประเทศแล้วเราจะอยู่กันอย่างไรครับพี่น้อง

พี่น้องรู้ไหม การเก็บเงินในสนามบินสุวรรณภูมิ สัญญาระหว่างคิงเพาเวอร์กับการท่าอากาศยาน มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนต่อปี ปีละ 1,500 ล้าน แต่ถ้าผลประโยชน์ที่เก็บได้จากการค้าการขายที่เรียกว่า 20% จากการค้าการประกอบการของผู้ประกอบการ มีรายได้มากกว่า 1,500 ล้าน ก็ให้คิดผลประโยชน์ตอบแทนที่จะจ่ายให้การท่าฯ ในส่วนที่มากกว่าเป็นหลัก พูดง่ายๆ ผลประโยชน์อย่างต่ำก็คือ ไม่ต่ำกว่า 1,500 ต่อปี แต่ถ้าคิดคำนวณยอดขายแล้วส่วนแบ่งกำไรแล้วถ้ามีมากกว่า 1,500 ล้าน ก็ต้องให้อัตรานั้นมาจ่ายให้การท่าอากาศยาน เขาทำอย่างไรครับ เขาก็ทำว่า คอมพิวเตอร์ของผู้ประกอบการร้านค้าจะลิงก์เข้ากับคอมพิวเตอร์ของบริษัทคิงเพาเวอร์ ใครขายเท่าไหร่บริษัทคิงเพาเวอร์จะรู้หมด แต่คอมพิวเตอร์ของการท่าอากาศยาน พ่อค้า ผู้ประกอบการมียอดขาย มีรายได้เท่าไหร่ การท่าอากาศยานโง่ บ้าใบ้ ไม่รู้เรื่อง รู้เท่าที่ยอดที่เขาจะส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์คนละระบบ สรุปคือ คิงเพาเวอร์จะแจ้งว่ามียอดขายเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่การท่าฯ ก็หลับหูหลับตาเซ็นอนุมัติเห็นชอบตามยอดขายที่บริษัทคิงเพาเวอร์แจ้งรายการต่อการท่าอากาศยาน ทั้งชาติก็ไม่มีวันได้เกินกว่าที่ 1,500 ล้าน ทั้งๆ ที่ผลประโยชน์มีมากกว่านั้น รัฐต้องสูญเสียประโยชน์ ส่วนผลประโยชน์ที่เกินที่เข้าพกเข้าห่อเอกชน ก็แบ่งปันเจือจางเป็นน้ำร้อนน้ำชาฟาดหัวเจ้าหน้าที่บริษัทการท่าฯ ประเทศไทยไม่เจ๋งได้อย่างไร กลายเป็นว่าเราสร้างสนามบินเพื่อให้พ่อค้ามาจัดสรรพื้นที่ แล้วเซ้งพื้นที่เอาประโยชน์หาเงินเข้าพกเข้าห่อพ่อค้า โดยเงินภาษีและทรัพย์สินของทางราชการ การท่าอากาศยานจะมีแต่ขาดทุนร่ำไปไม่มีกำไร ทั้งๆ ที่การท่าฯ เก็บเองก็ได้ โง่หรอทำไมไม่เก็บผลประโยชน์เอง ทำไมต้องให้เอกชนเก็บแล้วเป็นคนแจ้ง ทำไมคุณไม่ลงทุนระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อจะได้รู้ยอดขายโดยไม่ถูกพ่อค้าตบตา อย่างนี้ไม่ทำครับพี่น้อง ผมถึงบอกว่า บ้านเมืองเรามันอัปยศเหลือเกินครับพี่น้อง อัปยศเพราะข้าราชการกับพ่อค้าสมคบกันปล้นเงินแผ่นดิน และปล้นผลประโยชน์ประชาชน

พี่น้องครับ ผมพูดเรื่องคิงเพาเวอร์มาก็เพื่อจะชี้ให้พี่น้องเห็นว่า เรื่องสัญญาของบริษัทคิงเพาเวอร์นี้มันเป็นเรื่องใหญ่ตรงที่ บัดนี้ผลประโยชน์ของกลุ่มนี้กลายเป็นเงินที่มาหล่อเลี้ยงนักการเมืองในรัฐบาลนี้ และเป็นเงินที่มาค้ำจุนอำนาจของนักการเมืองไว้ไปซื้อเสียงซื้อตัว ส.ส.เข้ามา ก็เป็นเงินสกปรกจากพ่อค้าทุจริตเหล่านี้ละครับ เพราะฉะนั้น ส.ส.บางคนในจังหวัด สมมุติโคราช นาย ก. ประมูลซื้อตัวมา 60 ล้านบาท นาย ข.ซื้อมา 60 ล้านบาท วันนี้พรรคที่ดูด ส.ส.พรรคอื่นมากที่สุดคือ พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ครับ คำถามคือ เอาเงินจากไหนไปดูด ส.ส.พวกนี้มา เพราะเขาหวังว่าถ้ายุบสภา หรือครบวาระ มีการเลือกตั้งใหม่ เขาจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก และบริษัทคิงเพาเวอร์ต้องเป็นสปอนเซอร์ สนับสนุน เพราะกลัวว่าถ้าเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ใช่พวกนี้กลับมา ก็กลัวว่าจะถูกรื้อและถูกเลิกสัญญา การเมืองวันนี้มันจึงตกอยู่ภายใต้การเมืองน้ำเน่าที่ใช้เงินสกปรกที่โกง ที่ปล้นมาจากประชาชนมาซื้อเสียง ซื้อตัว ส.ส.เพื่อมาซื้ออำนาจจากการเลือกตั้งแล้วมาโกงประเทศ หมุนเวียนต่อไปไม่มีสิ้นสุดครับพี่น้อง

ผมพูดเรื่องเดียวนี่ก็มหาศาลแล้ว ปีหนึ่งหลายหมื่นล้าน แล้วไม่พูดเรื่องน้ำมันปาล์ม เรื่องการประมูล 3จี ประมูลรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน สีม่วง โอ้โฮพี่น้องครับ การเมืองเราวันนี้ คือการเมืองแห่งการโกง และการทุจริต แข่งกันโกงว่าใครจะโกงได้มาก โกงได้เก่งกว่ากันเท่านั้นเองครับพี่น้อง ไม่แข่งกันสร้างสรรค์แล้วทำงานให้บ้านเมืองประเทศชาติ ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ การโกงการทุจริตนี้มันกินข้ามประเทศไปร่วมมือกับฮุน เซน โกงขายชาติ แล้วก็โกงแล้วก็ขายชาติร่วมกันอีกต่างหากครับ เพราะฉะนั้นเรื่องราวทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ เรื่องคิงเพาเวอร์ก็เรื่องหนึ่งแล้ว แต่เดี๋ยวเรื่องพรุ่งนี้ ผมจะเอาอีกเรื่องมาพูดให้พี่น้องฟัง อันนั้นยิ่งเลวบัดซบกว่า ก็คือเรื่อง ซิตี้การ์เด้น คือมีที่ของการท่าอากาศยานอยู่ที่หนึ่ง ถ้าพี่น้องเข้าไปจะเห็น ที่เป็นสวนสาธารณะ เป็นซิตี้การ์เด้น ด้านบน 2 ชั้น ที่เขาไปสร้างเป็นโรงแรม เป็นร้านอาหาร เป็นภัตตาคาร ทำเหมือนสนามบินเป็นที่รกร้างว่างเปล่าใครก็สามารถจับจองและสร้างพื้นที่หาประโยชน์ได้ครับ แปลกไหมครับ สนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย เจ้าหน้าที่การท่าฯ หลับหูหลับตาให้เอกชนมาสร้างโรงแรม สร้างภัตตาคาร โดยไม่มีการประมูล และสมคบกันเก็บเอาผลประโยชน์ ทั้งๆ ที่พื้นที่ตรงนั้นไม่อยู่ในแบบแปลนที่จะก่อสร้าง พูดง่ายๆ คือ ยกพื้นที่ให้เอกชนสร้างและหากิน ผมยังไม่เคยเจอประเทศไหนเลยมีแบบนี้ เรียกว่าใครจะมาทำอะไรในสนามบินนี้ก็ได้ทั้งนั้น คุณจะทำสัญญาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น มีอยู่ประมาณ 150 สัญญาในสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ผ่านการประมูล ไม่ผ่านการปฏิบัติตามระเบียบ แล้วแต่กรรมการบอร์ดอยากให้ใครมาทำอะไรมาสร้างอะไร ทำสัญญาไปเลย หรือบางทีแกล้งหลับหูหลับตาไม่เห็น แล้วให้เอกชนทำไป พอจับได้ โอเคสร้างแล้วก็อยู่ต่อไป แล้วชดเชยค่าเช่า เก็บค่าเช่าถูกๆ กลายเป็นว่า ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ใครอยากจะทำอะไรก็ไปติดต่อคณะกรรมการบอร์ดได้เลย และอนุมัติให้ทำโดยไม่ผ่านระเบียบ ไม่ผ่านการประมูล ไม่ผ่านการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ระเบียบการท่าอากาศยานเลย ประเทศไทยมีอย่างนี้ด้วยครับพี่น้องครับ

เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เพียงอยากพูดให้พี่น้องฟังว่า ประเทศของเราวันนี้แย่แล้วครับ ทั้งโกง ทั้งทุจริต ทั้งขายชาติ แล้วผู้บริหาร ผู้ปกครองทำหูทวนลม และทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ผมคิดว่ามาถึงวันนี้ น่าจะได้บทสรุปร่วมกันแล้ว ที่ อ.ปานเทพ แถลงข่าวไปเมื่อเช้าว่า พวกเราถึงเวลาจะต้องหารือกันแล้วว่า เราจะมีมาตรการอย่างไรจัดการกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เราคงจะปล่อยให้มันนั่งหูทวนลมทำดื้อตาใส หน้าด้าน ทำให้เราเสียชาติ เสียแผ่นดินต่อไปไม่ได้แล้วครับพี่น้อง พี่น้องใครมีความคิดอะไรดีๆ เสนอเข้ามา พวกเราคงจะต้องมาช่วยกันขบคิดแล้วว่า ถ้าเราปล่อยบ้านเมืองไว้อย่างนี้ มันน่าเศร้าใจ เราเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ด้วยเพราะผู้ปกครองขลาดเขลาแบบนี้ วันนี้เราอาจต้องเสียแผ่นดินในรัชกาลที่ 9 ด้วยความขลาดเขลาของผู้ปกครองบ้านเมืองแบบนี้ ผมพูดมาแล้ว อ.ปานเทพ เทพมนตรี ใครต่อใคร คุณสนธิ ทุกคนพูดมาทั้งหมด เรามาสู้วันนี้เราไม่ได้เอาแพ้ชนะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เราต้องการประเทศของเราคืนมา เราต้องการแผ่นดินของเราคืนมา เราไม่ต้องการให้มีคนชั่วคนโกงครองเมือง และทำอย่างไรให้บ้านเมืองของเราหลุดพ้นจากความอัปยศและวงจรอุบาทว์ทางการเมืองนี้เสียที นี่คือเป้าหมายใหญ่ของเรา เราจึงมาวันนี้ และผมเชื่อแน่ว่า ถ้าพี่น้องออกมาช่วยกัน ออกมาร่วมมือกัน เราต้องสามารถทำภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้สำเร็จได้แน่นอน พี่น้องครับ ผมขอวิงวอนพี่น้องชาวไทยผู้รักชาติทุกคน ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องมาแสดงออกซึ่งจุดยืนและความรักชาติร่วมกัน มาร่วมกันปกป้องชาติ ปกป้องแผ่นดอน และขจัดคนชั่วไม่ให้ครองเมืองร่วมกันได้แล้วครับพี่น้อง วันนี้ฝากพี่น้องไว้แค่นี้ พรุ่งนี้พบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น