นักวิชาการอิสระ แนะตั้งสภาปฏิรูประบบสังคมการเมืองไทย รับฟังความขัดแย้งยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “พิชาย” ชี้ การเมืองไทยเป็นระบบ เจ้าเมืองแห่งโลกาภิวัตน์ ซัดพวกประชาธิปไตยใหม่อาศัยเพื่อไทยลดบทบาทสถาบัน “พงศ์เทพ" แนะเพิ่มเงินเดือนนายกฯ แก้คอร์รัปชัน “โคทม” แนะลงสัตยาบันแก้ม็อบป่วนเลือกตั้ง
วันนี้ (23 ก.พ.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการเสวนาหัวข้อ “ทางออกจากวิกฤตการเมือง สู่การเมืองและสังคมสันติสุข” โดย นายสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง นักวิชาการอิสระ เสนอแนวทางการแก้ปัญหาความแตกแยกด้วยการให้ประชาชนเลือกตั้ง “สภาปฏิรูประบบสังคมการเมืองไทย” ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อรับฟังข้อเสนอจากประชาชนทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ เพื่อกลั่นกรองแล้วยกร่างเป็นรัฐธรรมนูญใหม่ จากนั้นให้ประชาชนทั้งประเทศลงมติเลือกว่าจะรับร่างใหม่นี้ หรือร่างปี 50 หากรับร่างปี 50 ก็กลับไปใช้เหมือนเดิม แต่หากเห็นชอบกับร่างใหม่ก็ให้สภาผู้แทนราษฎรนำไปแก้ไข และถือรัฐธรรมนูญนี้เป็นกรอบการปฎิรูปสังคมการเมืองต่อไป ทั้งนี้ หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องจัดตั้งกองทุนปรับโครงสร้างความ เหลื่อมล้ำทางสังคมเศรษฐกิจและปฎิรูประบบสังคมการเมืองไทยตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า วันนี้สังคมเผชิญหน้ากับวิกฤตหลายด้าน อาทิ วิกฤตตัวแทน ส.ส.ไม่อาจเป็นตัวแทนประชาชนที่หลากหลายได้ การเลือกตั้งจะได้เพียงนายทุน คนมีเงินในเขตนั้นๆแต่ไม่ได้ตัวแทนคนพิการ สตรี ชนเผ่า เข้าไปปกป้องสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งสภาพการเมืองวันนี้ยังได้สถาปนาระบบ “เจ้าเมืองแห่งโลกาภิวัตน์” นักการเมืองผ่องถ่ายอำนาจให้พี่น้อง ลูก เมีย โดยใช้เครือข่ายหัวคะแนน เหมือนเจ้าเมืองยุคโบราณ
นายพิชาย กล่าวว่า ตนได้ทราบว่า มีการเกิดขึ้นของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ที่มองว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอุปสรรคต่อระบบประชาธิปไตย โดยคนกลุ่มนี้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวเป็น 2 คือ ระยะที่เคลื่อนไหวเพื่อปรับลดบทบาทสถาบันกษัตริย์ให้เป็นสถาบันแบบสามัญ โดยข้อเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเรียกร้องให้ตรวจสอบโครงการพระราชดำริ เหมือนตรวจสอบโครงการทั่วๆ ไป นอกจากนี้ มีกระบวนการปล่อยข่าวลือทำลายสถาบันอย่างต่อเนื่อง
“ขบวนการเหล่านี้แฝงอยู่ในพรรคเพื่อไทย ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นกลไกยึดอำนาจรัฐ จากนั้นใช้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมของการที่ถูกอำมาตย์รังแก กระแสความคิดแบบนี้กระจายตัวอย่างแพร่หลาย คนกลุ่มนี้ไม่ยอมรับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งผมมองว่าตัวการที่สกัดกั้นพลังของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ ทุนนิยมสามานย์” อาจารย์นิด้า กล่าว
ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงปัญหาความไม่โปร่งใสในการเมือง ปัจจุบันว่าส่วนหนึ่งมาจากค่าตอบแทนของนักการเมืองน้อยเกินไปโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี มาดูแลประเทศ มีเงินเดือนประมาณ 1 แสนบาท น้อยกว่าโบนัสของผู้บริหารรัฐวิสหกิจ หรือแม้แต่อธิบดี หรือปลัดกระทรวงยังมีเงินเดือนมากกว่า
ขณะที่ นายโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในภาวะที่สังคมมีความขัดแย้งสูงนั้นหวังว่าการเลือกตั้งจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้สังคมไทยได้ตั้งหลัก และเดินหน้าไปอย่างสงบสันติ แต่ทุกพรรคการเมืองต้องแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน โดยควรจะให้สัตยาบันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะสนับสนุนให้เกิดการเลือกตั้งที่ บริสุทธิ์ยุติธรรม เปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มได้หาเสียงอย่างเต็มที่ไม่ก่อม็อบปั่นป่วน ไม่ปลุกระดมให้เกิดการเกลียดชังกัน
วันนี้ (23 ก.พ.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการเสวนาหัวข้อ “ทางออกจากวิกฤตการเมือง สู่การเมืองและสังคมสันติสุข” โดย นายสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง นักวิชาการอิสระ เสนอแนวทางการแก้ปัญหาความแตกแยกด้วยการให้ประชาชนเลือกตั้ง “สภาปฏิรูประบบสังคมการเมืองไทย” ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อรับฟังข้อเสนอจากประชาชนทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ เพื่อกลั่นกรองแล้วยกร่างเป็นรัฐธรรมนูญใหม่ จากนั้นให้ประชาชนทั้งประเทศลงมติเลือกว่าจะรับร่างใหม่นี้ หรือร่างปี 50 หากรับร่างปี 50 ก็กลับไปใช้เหมือนเดิม แต่หากเห็นชอบกับร่างใหม่ก็ให้สภาผู้แทนราษฎรนำไปแก้ไข และถือรัฐธรรมนูญนี้เป็นกรอบการปฎิรูปสังคมการเมืองต่อไป ทั้งนี้ หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องจัดตั้งกองทุนปรับโครงสร้างความ เหลื่อมล้ำทางสังคมเศรษฐกิจและปฎิรูประบบสังคมการเมืองไทยตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า วันนี้สังคมเผชิญหน้ากับวิกฤตหลายด้าน อาทิ วิกฤตตัวแทน ส.ส.ไม่อาจเป็นตัวแทนประชาชนที่หลากหลายได้ การเลือกตั้งจะได้เพียงนายทุน คนมีเงินในเขตนั้นๆแต่ไม่ได้ตัวแทนคนพิการ สตรี ชนเผ่า เข้าไปปกป้องสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งสภาพการเมืองวันนี้ยังได้สถาปนาระบบ “เจ้าเมืองแห่งโลกาภิวัตน์” นักการเมืองผ่องถ่ายอำนาจให้พี่น้อง ลูก เมีย โดยใช้เครือข่ายหัวคะแนน เหมือนเจ้าเมืองยุคโบราณ
นายพิชาย กล่าวว่า ตนได้ทราบว่า มีการเกิดขึ้นของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ที่มองว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอุปสรรคต่อระบบประชาธิปไตย โดยคนกลุ่มนี้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวเป็น 2 คือ ระยะที่เคลื่อนไหวเพื่อปรับลดบทบาทสถาบันกษัตริย์ให้เป็นสถาบันแบบสามัญ โดยข้อเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเรียกร้องให้ตรวจสอบโครงการพระราชดำริ เหมือนตรวจสอบโครงการทั่วๆ ไป นอกจากนี้ มีกระบวนการปล่อยข่าวลือทำลายสถาบันอย่างต่อเนื่อง
“ขบวนการเหล่านี้แฝงอยู่ในพรรคเพื่อไทย ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นกลไกยึดอำนาจรัฐ จากนั้นใช้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมของการที่ถูกอำมาตย์รังแก กระแสความคิดแบบนี้กระจายตัวอย่างแพร่หลาย คนกลุ่มนี้ไม่ยอมรับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งผมมองว่าตัวการที่สกัดกั้นพลังของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ ทุนนิยมสามานย์” อาจารย์นิด้า กล่าว
ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงปัญหาความไม่โปร่งใสในการเมือง ปัจจุบันว่าส่วนหนึ่งมาจากค่าตอบแทนของนักการเมืองน้อยเกินไปโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี มาดูแลประเทศ มีเงินเดือนประมาณ 1 แสนบาท น้อยกว่าโบนัสของผู้บริหารรัฐวิสหกิจ หรือแม้แต่อธิบดี หรือปลัดกระทรวงยังมีเงินเดือนมากกว่า
ขณะที่ นายโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในภาวะที่สังคมมีความขัดแย้งสูงนั้นหวังว่าการเลือกตั้งจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้สังคมไทยได้ตั้งหลัก และเดินหน้าไปอย่างสงบสันติ แต่ทุกพรรคการเมืองต้องแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน โดยควรจะให้สัตยาบันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะสนับสนุนให้เกิดการเลือกตั้งที่ บริสุทธิ์ยุติธรรม เปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มได้หาเสียงอย่างเต็มที่ไม่ก่อม็อบปั่นป่วน ไม่ปลุกระดมให้เกิดการเกลียดชังกัน