“โฆษกมาร์ค” ร้อนก้น หนุนส่ง “ดีเอสไอ” ตรวจสอบคนใน รบ.เอี่ยวผลประโยชน์น้ำมันปาล์ม ขยิบตาท้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ท้าเพื่อไทยเผยชื่อคนกักตุนอย่ามั่ว แนะไปตรวจสอบเรือลอยกลางทะเลก่อนโวเอี่ยวปาล์ม วอนพาณิชย์ให้ อคส.รับผิดชอบการจัดซื้อน้ำมันกันครหาเอื้อประโยชน์เอกชน
วันนี้ (21 ก.พ.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด ที่พรรคเพื่อไทยออกมากล่าวหาว่า รัฐบาลตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพื่อเป็นการฟอกขาวให้รัฐบาลนั้น ตนอยากเรียนว่าเรื่องดังกล่าว นายกฯ ต้องการแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ไม่อยากให้มีการนั่งเทียนยกเมฆข้อมูลขึ้นมากล่าวหา ซึ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์มากกว่า หากรัฐบาลปล่อยปละละเลยเรื่องดังกล่าวโดยไม่ตรวจสอบก็จะถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่กล้าพิสูจน์ความจริง หมกเม็ดช่วยเหลือผู้กระทำผิดในการกักตุน แต่เมื่อมอบหมายให้ดีเอสไอตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ก็ถูกกล่าวหาว่าฟอกตัวเองให้พ้นผิด
นายเทพไทกล่าวว่า การที่พรรคเพื่อไทยออกมาปล่อยข่าวบอกใบ้อักษรย่อ “ส.” และ “พ.” จนมาถึงผู้หญิงอักษร “อ.” พรรคเพื่อไทยต้องการทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นการเมือง สร้างความขัดแย้งในหมู่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และยืนยันว่าความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าวแน่นอน นายกฯ มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล แก้ปัญหาด้วยตัวเอง จึงเป็นหลักประกันว่าคนอย่างนายสุเทพเป็นนักการเมืองที่ไม่เอาเปรียบทางการเมืองกับพรรคร่วมรัฐบาลโดยเด็ดขาด ถ้าพรรคเพื่อไทยมีข้อมูลว่ามีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่ควรบอกใบ้ ควรระบุชื่อให้ชัด พวกตนจะได้ช่วยเข้าไปจัดการให้เกิดความกระจ่างชัด
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการปูดข่าวว่ามีคนได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ และอ้างว่า มีเรือลอยลำกลางทะเลจำนวน 5 ลำ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นั้น พรรคเพื่อไทยควรตรวจสอบเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องอะไร อย่าโมเมตีขลุม เพราะเรือที่ลอบกลางทะเลเป็นเรือสินค้ามีจำนวนนับร้อย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการหาประโยชน์จากวิกฤตน้ำมันปาล์ม ดังนั้น อยากเรียกร้องว่าพูดอะไรออกไปควรมีหลักฐาน มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นได้ พรรคเพื่อไทยมีญัตติยื่นกระทู้สด ก็ควรเอาหลักฐานมาตีแผ่ในที่ประชุมกลางสภา ดีกว่าออกมาพูดโดยไม่มีพยานหลักฐานรายวัน
นอกจากนี้ ตนอยากให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์นำเข้ามากกว่าเอกชน เพราะเสี่ยงที่จะเกิดข้อครหาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง และอาจพาดพิงมายังรัฐบาล หรือพรรคร่วมรัฐบาลได้ การเอาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์มาบรรจุขวด ต้นทุนอาจสูงกว่าขวดละ 47 บาท ซึ่งรัฐบาลจะต้องชดเชยส่วนเกิน ซึ่งเป็นภาระรัฐบาล แต่ถ้านำน้ำมันปาล์มดิบมากลั่นเองในโรงงานของประเทศไทยที่มีอยู่สิบกว่าโรง ก็จะมีไขน้ำมันซึ่งเป็นส่วนเกินการผลิต ซึ่งขายได้ในราคากิโลกรัมละ 50 กว่าบาท ก็สามารถที่จะชดเชยลดต้นทุนน้ำมันปาล์มต่อขวด 3-4 บาท จึงทำให้ราคาขายอยู่ในราคาขวดละ 47 บาท ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ได้