เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
00 นั่งไม่ติดต้องงัดกลยุทธ์สารพัดออกมาแก้ตัวพัลวัน หลังจากประกาศ “ชัยชนะ” กลางที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 15 ก.พ.โดยไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนเด็กๆของ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็นให้ไทย-กัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจาทวิภาคีโดยให้อาเซียนเป็น “คนกลาง” ทำให้น่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่งก็คือ เพียงแค่นี้รัฐบาลไทยก็คิดกระหยิ่มยิ้มย่องว่าตัวเองได้ชัยแล้ว
00 ทั้งที่ในทางตรงข้ามนี่คือจุดเริ่มต้นของการดึงประเทศที่สามเข้ามาจุ้น และเดินตามเกมของกัมพูชาที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เพราะสิ่งที่ปรากฏมันไม่ใช่เป็นการเจรจาในลักษณะทวิภาคีอย่างแท้จริง ซึ่งคำเตือนของอดีตทูตและผู้แทนถาวรของไทยในยูเอ็น ดอน ปรมัตถ์วินัย ไปถึงนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ให้ระวังการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดพ่ายเกมแขมร์ถาวร
00 ที่เจ็บแสบไปกว่านั้นก็คือยังไม่ทันที่ผลการประชุมคณะมนตรีฯจะเสร็จสิ้น และก่อนการประกาศชัยชนะของ นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่กี่ชั่วโมง ฝ่ายกัมพูชาก็ละเมิดเอ็มโอยู 43 ซ้ำซากด้วยการยิงถล่มเข้ามาอีกรอบจากฐาน “ภูมะเขือ” อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้ปราสาทพระวิหาร ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 5 ราย และหนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส แต่ที่น่าแปลกใจก็คือมีการ “ปิดข่าว” เงียบทั้งฝ่ายกองทัพและรัฐบาล แต่ถ้าให้เดานี่ก็คือการ “กลบเกลื่อน” เพื่อรักษาหน้าตา สร้างภาพให้เห็นถึงความสำเร็จทั้งในเรื่องเอ็มโอยู และความสัมพันธ์สองฝ่าย โดยเฉพาะทางทหารดีขึ้น คุยกันรู้เรื่องนั่นแหละ
00 การชี้แจงเป็นพัลวันของพรรคประชาธิปัตย์ ความหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการ “ตะแบง” ให้เห็นว่าเอ็มโอยู 43 เป็นยาสารพัดนึก บังคับให้กัมพูชากลับมาเจรจา ทั้งที่ในความเป็นจริงก็คือกัมพูชาได้ละเมิดอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งได้รุกเข้ามายึดดินแดนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แถมยังตีขลุมเอาว่าเอ็มโอยูเห็นชอบแผนที่ตามมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนอีกด้วย ขณะเดียวกันในคำชี้แจงดังกล่าวก็ยังเป็น “ประชาธิปัตย์” อยู่ไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือ “โยนชั่ว” ให้คนอื่น โดยเฉพาะต้องการบอกว่า “ทีโออาร์ 46” ทำขึ้นในยุคที่ตัวเองเป็นฝ่ายค้าน
00 เริ่มพิจารณาวันแรกตั้งแต่วานนี้ (16 ก.พ.) สำหรับงบกลางปี ประมาณ 1 แสนล้านบาทงานนี้นอกจากเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงวิธี “ต่างตอบแทน” กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรค “ภูมิใจเนวิน” ที่ว่ากันว่า “รับทรัพย์” ผ่านมหาดไทยไม่ต่ำกว่า 8 พันล้านบาท อ้วนกันไปตามๆกัน อีกด้านหนึ่งยังเป็นการ “วัดกัน” ระหว่างนักรบ “นอกห้องแอร์” ที่ชื่อ เฉลิม อยู่บำรุง กับ “นักรบห้องแอร์” “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จากพรรคฝ่ายค้าน โดยฝ่ายแรกขอโชว์ก่อน ส่วนฝ่ายหลังจากขอโชว์ในศึกซักฟอก สรุปก็คือเป็นการ “ขบเหลี่ยม” กันภายในอย่างชัดเจนอีกทางหนึ่งด้วย
00 แต่สำหรับคนไทยทั่วไปเวลานี้ น่าจะรู้ซึ้งถึงความจริงว่าฝีไม้ลายมือของจริงของรัฐบาล โดยเฉพาะ “ผู้นำ” ในยุคประชาธิปัตย์ครองเมืองว่าเป็นอย่างไร เอาง่ายๆแค่ปัญหา “น้ำมันปาล์ม” ที่ยิ่งแก้ยิ่งเหลว ทำชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่ว นอกจาก “แพง” มหาโหดแล้วแถมยัง “ขาดตลาด” หาซื้อไม่ได้เสียอีก สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการ “กักตุน” ของกลุ่มทุนมหาโหด อยากรู้ว่าเป็นใครก็ต้องไปถาม “เทพเทือก” รองนายกฯความมั่นคงที่แส่มาคุมเรื่องปาล์ม ว่ารู้เรื่องหรือไม่
00 ปัญหาน้ำมันปาล์มแพงจะเป็นต้นทุนสินค้าหลายประเภทสูงขึ้นเป็น “ลูกโซ่” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บะหมี่สำเร็จรูป” ต่อไปสินค้าพวกนี้จะอาจพึ่งพาในยามยากได้อีกต่อไปแล้ว เพราะมัน “แพง” ส่วน นายกฯและรองนายกฯต่างก็โยนไปให้กระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย “รับเละ” อยู่คนเดียว แม้ไม่ผิดตัว แต่ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน โดยเฉพาะประธานคณะกรรมการน้ำมันปาล์มแห่งชาติ ที่ชื่อ สุเทพ นั่นแหละ แต่อย่าแปลกใจ เพราะคนๆลองเข้าไปวงไหนมันก็มักมีแต่ “กลิ่นตุๆ” โชยมาทั้งสิ้น !!