อดีตเอกอัครราชทูต และผู้แทนถาวรไทยประจำ UN เตือนไทยอย่าลำพอง ระบุมติ UNSC ให้ไทย-กัมพูชาหารือแบบทวิภาคีโดยมีอาเซียนเป็นพี่เลี้ยงไม่ใช่ชัยชนะของไทย แต่ไปเข้าแผนสอง ของเขมร เหตุไม่ได้เป็นการหารือ 2 ประเทศอย่างแท้จริง แต่มีอาเซียนเข้ามากำกับการเจรจา ซึ่งเป็นแผนที่กัมพูชาเคยเสนอไว้เพื่อปี 2551 เตือนรัฐบาลไทยอ่านเกมให้ออก อย่าประเมินสถานการณ์ผิด
นายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ให้สัมภาษณ์ถึงมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ยุติการใช้กำลังหยุดยิงกัน แต่การให้ 2 ประเทศไปหารือแบบทวิภาคีหรือ 2 ฝ่ายโดยให้อาเซียนเป็นพี่เลี้ยงนั้น ไม่ได้เป็นชัยชนะของประเทศไทยตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ เพราะไม่ได้เป็นการหารือแบบทวิภาคีตามที่ฝ่ายไทยต้องการ แต่การหารือทวิภาคีในวงอาเซียนเป็นข้อเรียกร้องของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2551 ถือเป็นแผนสองของกัมพูชาที่เคยเสนอไว้แล้ว
นายดอนกล่าวว่า การประชุมในวันที่ 22 ก.พ.น่าจะเป็นในลักษณะมีสมาชิกอาเซียนเข้ามาเป็นผู้คอยกำกับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการดำเนินการในปี 2551 ที่ไทยยืนยันว่าจะต้องเป็นการหารือในระดับทวิภาคีเท่านั้น ซึ่งมองว่าประชุมอาเซียนในวันที่ 22 ก.พ. ที่จะรับลูกต่อจากมติของ UNSC ในครั้งนี้ บทบาทของอาเซียนที่จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้นั้น ส่วนตัวมองว่าน่าจะอยู่ใน 3 แนวทาง คือ 1.ให้กลุ่มตัวแทน 3-4 ประเทศอาเซียนเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง
2.ให้เฉพาะประธานอาเซียนเพียงคนเดียวเข้ามากำกับดูแลในนามของอาเซียน และ 3.จัดตั้งสภาสูงของอาเซียนตามแนวทางการแก้ข้อพิพาทอย่างเป็นทางการที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาไมตรีฯของอาเซียนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวทางที่ดีสุดสำหรับไทยคือการให้เฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเข้ามาดูแลเพียงคนเดียว
นายดอนแสดงความเป็นห่วงว่าขณะนี้อาจมีการประเมินสถานการณ์ผิด คิดว่ามติของ UNSC ที่ออกมาเป็นชัยชนะของฝ่ายไทย ซึ่งอาจจะทำให้การเดินเกมในการประชุมอาเซียนในวันที่ 22 ก.พ.นี้ผิดพลาดได้ ดังนั้น จำเป็นต้องก้าวเดินด้วยความระมัดระวังด้วยการอ่านสถานการณ์ให้ออก อย่าคิดว่าครั้งนี้เป็นชัยชนะของไทย และหากยืนกรานว่าเป็นการหารือสองฝ่ายแบบเดิมๆ ที่จะใช้กลไกเดิมๆ เหมือนอย่างเคย ไทยก็อาจจะถูกโดดเดี่ยวจากสมาชิกอาเซียนได้
