xs
xsm
sm
md
lg

พธม.ปัดตั้งโต๊ะดีเบต เสนอจัดเวลาแจงข้อมูล ข้อพิพาทไทย-เขมร ให้ ปชช.ตัดสิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
โฆษกพันธมิตรฯ ยอมรับข้อเสนอสมาคมนักข่าววิทยุฯ จัดสรรเวลาแจงข้อเท็จจริงปัญหาชายแดนไทย-เขมร ปฏิเสธตั้งโต๊ะดีเบต ชี้ ไร้สาระ ปล่อยให้ ปชช.ใช้วิจารณญาณตัดสิน ซัด รบ.ใช้สื่อรัฐพูดฝ่ายเดียวมานานแล้ว ต้องเปิดโอกาสให้ภาค ปชช.บ้าง ดักคอหาก “มาร์ค” ไม่รับท้า เหตุกลัวคนรู้ความจริง ยืนยันการชุมนุมยึดหลักอสิงหา หลัง ตร.ตรวจค้นไม่พบอาวุธ จวก มทภ.2 อย่ามัวอ้างคำอิจฉา แต่เป็นเหตุให้ราษฎรไทยต้องเดือดร้อน เพราะเขมรรุกล้ำอธิปไตย

วันนี้ (16 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีข้อเสนอที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เสนอเป็นตัวกลางในการเจรจากับทางรัฐบาล ว่า การนำเสนอข่าวว่าพันธมิตรฯพร้อมดีเบตกับรัฐบาลนั้น อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ โดยตนขอย้ำอีกครั้ง ว่า จะไม่มีการดีเบตพูดคุย หรือโต้วาที เพราะได้เคยทดลองมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ประชาชนยังไม่รับข้อมูลที่รอบด้าน อาจทำให้รู้สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร เมื่อสมาคมนักข่าวฯเสนอเป็นผู้จัดเวทีให้ พันธมิตรฯ จึงเสนอว่า ให้มีการนำเสนอชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทไทย-กัมพูชาของทั้งภาคประชาชนและรัฐบาล โดยให้ฝ่ายรัฐบาลจัดสรรเวลา 3 ชั่วโมงแบบถ่ายทอดสด หากสมาคมนักข่าวฯจะมีประเด็นสอบถามก็สามารถทำได้ ส่วนของภาคประชาชนก็ทำเหมือนกันในอีก 1 วันให้หลัง ในเวลาเดียวกันและเท่ากัน ใครมีหลักฐานข้อมูลอะไรก็มานำเสนอ อาจจะเป็นรัฐบาลพูดวันเสาร์ ภาคประชาชนพูดวันอาทิตย์ โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินเองว่าเหตุผลของใครมีน้ำหนักมากกว่ากัน

“สิ่งที่เสนอนี้ไม่ใช่ว่าภาคประชาชนเอาเปรียบโดยให้รัฐบาลพูดก่อน แต่เพราะรัฐบาลพูดฝ่ายเดียวทุกวันอยู่แล้ว โดยเฉพาะในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ ที่จัดทุกวันอาทิตย์ ภาคประชาชนต้องการเวลาในการพูดกับสื่อบ้าง หากรัฐบาลยินดีก็สามารถดำเนินการได้ทันที ถือเป็นมิติใหม่ที่มีการอภิปรายจากภาคประชาชนได้” นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ เปิดเผยด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ (17 ก.พ.) คาดว่า อุปนายก หรือตัวแทนสมาคมนักข่าวฯจะเดินทางมาหารือกับพันธมิตรฯ โดยยืนในหลักการที่ไม่ใช้เวทีในการโต้วาที เพราะเสียเวลาทั้ง 2 ฝ่าย และนายกฯอภิสิทธิ์ ใช้เวลาในการพูดฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งที่ตนสอบถามผ่านสื่อไปก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากนายกฯอภิสิทธิ์ว่ายอมรับรูปแบบนี้ได้หรือไม่ หากไม่มีคำตอบก็แสดงว่านายกฯอภิสิทธิ์ไม่พร้อมที่จะเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง จึงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

โฆษกพันธมิตรฯ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) นำกำลังเข้าตรวจค้นอาวุธในพื้นที่การชุมนุมของพันธมิตรฯและกองทัพธรรม ในช่วงเช้าของวันนี้ (16 ก.พ.) ว่า ในการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มี ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เป็นสักขีพยานในการร่วมตรวจค้นด้วย เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจของทั้งเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และในส่วนของกองทัพธรรมมูลนิธิ ว่า เราประกาศชัดเจนว่าพื้นที่การชุมนุมนี้เป็นไปด้วยความสงบปราศจากอาวุธ ยินดีให้ความร่วมมือกับทางตำรวจในการตรวจค้นอาวุธ หากผู้ชุมนุมมีอาวุธก็ต้องพ้นไปจากพื้นที่การชุมนุมและถูกดำเนินคดีตามขั้นตอน

“ถือว่า การชุมนุมถูกตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้เป็นการชุมนุมที่มีอาวุธสงคราม ทั้งการชุมนุมมีเพียงมีด 1 เล่มซึ่งก็ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงกับพื้นที่การชุมนุมนี้ไม่ได้ แต่เมื่อมีการออกหมายเรียก เราก็พร้อมที่จะต่อสู้ในคดีความทันที” นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ กล่าวย้ำด้วยว่า ถึงขณะนี้ทั้ง 10 แกนนำก็ยังไม่มีใครได้รับหมายเรียกแม้แต่คนเดียว มีเพียงการพูดผ่านสื่อ หากมีมาเมื่อไร ทางเราก็จะเริ่มดำเนินการ โดยปฏิบัติตามครรลองของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากใครที่ทำให้ประชาชนหรือบุคคลเสียหายก็ต้องถูกดำเนินคดีกลับ แล้วไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม

ส่วนกรณีที่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาตอบโต้กรณีที่พันธมิตรฯเรียกร้องให้มีการปลดออกจากตำแหน่ง โดยยกคำสอนของโรงเรียนเตรียมทหารที่ระบุว่า ต้องทำตัวให้เป็นที่อิจฉาของผู้อื่นนั้น นายปานเทพ กล่าวว่า สิ่งที่รุ่นพี่ของ พล.ท.ธวัชชัย ได้สอนมานั้น หมายถึงการอิจฉาในการทำความดี โดยมีตำแหน่งแล้วต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและรักษาดินแดนได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กรณีของ พล.ท.ธวัชชัย ที่ปล่อยกัมพูชายึดภูมะเขือเป็นฐานทัพในการโจมตีราษฎรไทย เช่นนี้แล้วจะน่าอิจฉาได้อย่างไร

“ถือเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าเสียใจต่างหากที่มีทหารที่ไม่สามารถรักษาดินแดนเอาไว้ได้ และที่ราษฎรไทยต้องหวาดวิตก ก็เพราะการทำงานของ พล.ท.ธวัชชัย ที่ปล่อยให้ทหารกัมพูชายึดครองพื้นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการใช้อาวุธสงครามโจมตีราษฎรไทยได้จากที่ไม่เคยทำได้ สิ่งนี้เป็นความล้มเหลวที่ต้องแสดงความรับผิดชอบและสำนึกในสิ่งที่ตัวเองได้ทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น” นายปานเทพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มการเคลื่อนไหวไปกดดันสถานที่ราชการ นายปานเทพ กล่าวตอบว่า ขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ซึ่งจะดูสถานการณ์ต่อไป แต่ตอนนี้เราชุมนุมอยู่กับที่กดดันโดยการเปิดเผยข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเร่งจำนวนผู้ชุมนุม เพราะเชื่อว่าประชาชนรับข้อมูลจากการถ่ายทอดสด เมื่อถึงเวลาจริงเมื่อไร ก็จะเรียกมวลชนออกมา เหมือนเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็มีผู้มาร่วมชุมนุมเต็มพื้นที่จนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า เราจึงไม่กังวลเรื่องจำนวนผู้ชุมนุม เพราะเรามั่นใจจากผลสำรวจที่ระบุว่า มีผู้ที่รับชมเอเอสทีวีมาก และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ประท้วงแสดงความเห็นผ่านเทคโนโลยีมากขึ้น และพร้อมออกมาเมื่อมีการนัดหมาย

ด้าน ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวเพิ่มเติมถึงการตรวจค้นอาวุธในพื้นที่การชุมนุมของทางตำรวจ ว่า ได้มีการตรวจค้นตั้งแต่เวลา 10.00 น.โดยตนได้ร่วมกับ พล.ต.ต.วิชัย ในการเดินตรวจพื้นที่ตั้งแต่ด้านสะพานชมัยมรุเชษฐ มาจนถึงเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ด้านสะพานมัฆวานรังสรรค์ พบเพียงเสื้อเกราะกันกระสุน 1 ตัว ซึ่งเป็นของนายตำรวจที่มาช่วยราชการตำรวจ ส่วนมีดอีก 1 เล่มเป็นของผู้ที่มาร่วมชุมนุม ซึ่งทางตำรวจก็ได้นำตัวไปดำเนินการเปรียบเทียบปรับและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

“พื้นที่ชุมนุมนี้มีกฎระเบียบเคร่งครัดเกี่ยวกับอาวุธ และสิ่งมึนเมา หรือแม้แต่ผู้ที่ดื่มเหล้ามาก็ไม่ให้เข้าพื้นที่ รวมทั้งผู้ที่ไม่พกบัตรประชาชนก็ไม่อนุญาตให้เข้า ทางเราจะเข้มงวดดูแลเรื่องความปลอดภัยมาก เพราะการชุมนุมครั้งนี้เป็นไปด้วยความสงบสันติ ไม่มีเจตนารมณ์ในการทะเลาะวิวาทกับกลุ่มใด ซึ่งหากตำรวจต้องการตรวจค้นอีก ก็สามารถแจ้งมาได้ทันที ถือเป็นความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เต็มที่ เพื่อช่วยกันในการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุม” ร.ต.แซมดิน กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น