โฆษก กก.ปกป้องแผ่นดินฯ งง กต.ไม่โต้เขมรแถลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำเสียหายในเวทีระหว่างประเทศ ซัดรัฐใช้เอ็มโอยู 43 ปิดปากกองทัพปกป้องดินแดน ชี้ทหาร คนในรัฐมีผลประโยชน์ร่วม “ฮุนเซน” เป็นอุปสรรคแก้ปัญหา เล็งแฉคืนนี้ จี้ “ประยุทธ์” ปลด “ธวัชชัย” เมินตำรวจจ่อออกหมายจับแกนนำ บอกแค่ขู่ ชี้โดนข้อหาผิด พ.ร.บ.มั่นคง แค่จิ๊บๆ
วันนี้ (14 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกครั้งที่ทางการออกแถลงการณ์ว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 กระทรวงการต่างประเทศไทยไม่เคยตอบโต้ปฏิเสธแต่ประการใด ทั้งที่ทำให้เกิดความเสียหายในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เสียหายต่อดินแดนและอธิปไตยอย่างแน่นอน โดยล่าสุดที่มีการออกแถลงว่าไทยอาวุธเคมี ทางการไทยก็ยังไม่ปฏิเสธเช่นกัน ทั้งยังไม่ตอบโต้ว่าไทยต่างหากที่ถูกกัมพูชาโจมตีก่อน ทั้งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงใช้ข้ออ้าง MOU 2543 มาปิดปากกองทัพในการไม่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องดินแดน ปล่อยให้กัมพูชาละเมิดอยู่ตลอดเวลา ทั้งการใช้กำลังทหาร โจมตีราษฎรไทย หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นว่ายึดถือ MOU 2543 เหตุใดจึงไม่คัดค้านหรือยกเลิก MOU 2543
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า มีข้อมูลปรากฏชัดแล้วว่า นายทหารระดับสูงตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม แม่ทัพบางคน และนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือนายเนวิน ชิดชอบ มีสายสัมพันธ์แนบแน่น มีผลประโยชน์ทางธุรกิจกับนายฮุนเซน เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ก็ตกอยู่ในวังวนความลับของคนรอบข้างที่มีผลประโยชน์กับกัมพูชา ทำให้ไม่สามารถดำเนินนโยบายได้อย่างอิสระ ซึ่งจะมีการเปิดเผยข้อมูลการสมรู้ร่วมคิดในการปราศรัยค่ำคืนวันนี้ (14 ก.พ.)
“อุปสรรคที่สำคัญ คือ ผู้บังคับบัญชากองทัพบางคน สมคบกับนายฮุนเซน ในการทำให้เกิดความเสียหายต่อชาติ คำนึงถึงผลประโยชน์ตัวเอง โดยเฉพาะ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นปัญหาหนึ่งที่ ผบ.ทบ.และรัฐบาลต้องปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ยอมสยบต่ออริราชศัตรูที่รุกรานประเทศไทย ทั้งยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายฮุนเซน” นายประพันธ์กล่าว
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวการออกหมายจับแกนนำโดยศูนย์อำนายการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฐานทำผิด พ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น นายประพันธ์ชี้แจงว่า ถึงตอนนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียกที่เป็นลายลักษณ์อักษรถึงผู้ใดให้ไปพบพนักงานสอบสวนเลย มีเพียงการป่าวประกาศผ่านสื่อมวลชนรายวันเท่านั้น ไม่ใช่สาระสำคัญที่มีผลในทางกฎหมาย ซึ่งหากตำรวจต้องการออกหมายจับต้องเข้าใจขั้นตอนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย อย่างไรก็ตามหากมีหมายเรียกก็คงเป็นเพียงการเข้าพบพนักงานสอบสวนเท่านั้น และเมื่อพบแล้วจะตั้งข้อหาใดเลยหรือไม่ก็ไม่ปรากฏ ทั้งนี้ ข้อหาการทำผิด พ.ร.บ.ความมั่นคงถือเป็นข้อหาที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับข้อกาก่อการร้ายที่พวกเราเคยโดนมา
