โฆษกพันธมิตรฯ ประณามกัมพูชาใส่ร้ายไทยใช้อาวุธเคมี ซัดสร้างเงื่อนไขดึงต่างชาติจุ้น ยันไม่เข้าข่าย ดักคอ “มาร์ค” อย่าอ้างเอ็มโอยู 43 ทำยูเอ็นไม่แทรกแซง ชี้ “บิ๊กป้อม” พูดชัด เอ็มโอยูทำไทยยึดแดนคืนไม่ได้ ฝาก “บิ๊กตู่” สอบข่าว “บิ๊กภาค 2” ส่งส่วยเขมร เอี่ยวค้าของเถื่อน - แนะ ส.วิทยุโทรทัศน์ เปิดสื่อรัฐให้ภาคประชาชนแจงกลับบ้าง
วันนี้ (14 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ แถลงถึงกรณีที่ ทางการกัมพูชาแถลงถึงความเสียหายจากการปะทะกับไทยเมื่อวันที่ 4-7 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยระบุว่าฝ่ายกัมพูชามีทั้งผู้บาดเจ็บเสียชีวิต และมีผู้อพยพอีกนับหมื่นคน โดยอ้างว่าฝ่ายไทยใช้อาวุธระเบิดพวงและอาวุธเคมีพุ่งเป้าใส่พลเรือนว่า เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเท็จทั้งสิ้น พันธมิตรฯ ขอประณามทางการกัมพูชาที่บิดเบือนใส่ร้ายประเทศไทยอย่างไร้อย่างอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังจะเข้าชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาพยายามสร้างเงื่อนไขใส่ร้ายประเทศไทยเพื่อนำไปสู่การดึงนานาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งที่การปะทะที่ผ่านมามีลักษณะจำกัดขอบเขตอยู่เพียงชายแดน ไม่สามารถเป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาคหรือนานาชาติได้เลย ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าอาเซียน หรือสหประชาชาติ ก็ไม่มีสิทธิที่จะมายุ่งกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาได้เลย
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาพยายามที่จะร้องเรียนต่อสหประชาชาติหลายครั้ง แต่ยังไม่เป็นผลแม้แต่ครั้งเดียว เหตุเพราะเหตุที่ไทยปะทะกับกัมพูชาเรื่องเขตแดนไม่สามารถให้นานาชาติเข้ามาแทรกแซงได้ตามกฎบัตรของสหประชาชาติเอง ดังนั้น หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปเจรจาไม่ให้มีการแทรกแซงและสามารถยึดกรอบทวิภาคีได้ ถือเป็นเรื่องปกติที่ไม่สามารถอ้างถึงผลงานของ MOU 2543 ได้เลย เพราะก่อนมี MOU 2543 ก็ไม่เคยมีอาเซียนหรือสหประชาชาติมาแทรกแซงได้อยู่แล้ว
“ต้องดักคอนายกฯ อภิสิทธิ์ไว้ก่อน เพราะเชื่อว่าเมื่อกลับมาจากการเจรจาก็จะมีการอ้างถึงผลงานของ MOU 2543 ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เหตุที่นานาชาติไม่สามารถมาแทรกแซงได้ เป็นเพราะไทยไม่เคยเพลี่ยงพล้ำต่อกัมพูชามานานแล้วภายใต้กฎกติกาของสหประชาชาติเอง แต่หากสหประชาชาติสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ ทั้งที่ไม่เคยทำได้และมี MOU 2543 อยู่ต่างหาก ต้องเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่บกพร่องปล่อยให้กัมพูชาโน้มน้าวให้นานาชาติเข้ามาได้” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ระบุว่าไม่สามารถผลักดันกองกำลังกัมพูชาที่ยึดดินแดนไทย ทั้งที่ภูมะเขือ หรือถนนขึ้นเขาพระวิหาร ที่ยิงใส่ราษฎรไทย โดยอ้างว่าผิดเงื่อนไข MOU 2543 ว่า เท่ากับว่าฝ่ายกระทรวงกลาโหมอ้าง MOU 2543 ในการไม่ทำหน้าที่ แต่ปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำดินแดนและละเมิด MOU 2543 ฝ่ายเดียว ทำให้ราษฎรไทยบาดเจ็บเสียหาย เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างยิ่งที่นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องตอบให้ได้ว่าในฐานะนายกฯ ที่ไม่ประกาศยกเลิก MOU 2543 ส่งผลให้กองทัพไม่สามารถทำงานได้ หรือไม่ทำงานเพราะติดผลประโยชน์แล้วมาอ้าง MOU 2543 ทำให้ราษฎรไทยเดือดร้อน ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการถูกรุกล้ำและละเมิดอธิปไตย โดยไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ ในการผลักดันเพื่อคุ้มครองชีวิตราษฎรไทย
นายปานเทพเปิดเผยด้วยว่า เราเริ่มค้นพบข้อมูลว่า เหตุใดการปะทะที่ผ่านมาฝ่ายไทยไม่จัดการผลักดันกัมพูชาอย่างเด็ดขาด และปล่อยปละละเลยให้เป็นสงครามการปะทะอย่างมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน โดยทหารในระดับปฏิบัติก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่นายทหารระดับสูงกลับไม่พยายามจัดการผลักดัน ซึ่งต้องฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีต่างๆ ทั้งการที่ฝ่ายการเมืองมีผลประโยชน์ในเรื่องพลังงานน้ำมันกับกัมพูชาจริงหรือไม่ อีกทั้งยังมีนายทหารคนหนึ่งในกองทัพภาคที่ 2 ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งสำคัญได้ เนื่องจากนายฮุนเซนผลักดันผ่านฝ่ายการเมืองไทย โดยนายทหารที่ว่านี้มีผลประโยชน์ตามแนวชายแดนทั้งบ่อนการพนัน น้ำมัน ไม้เถื่อน และรับเหมาก่อสร้าง ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่มีการเก็บส่วยราย เดือนไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างถนนขึ้นภูมะเขือที่กัมพูชาใช้เป็นฐานทัพยิงราษฎรไทย โดยใช้ผู้รับเหมาเป็นของนายทหารคนนี้
“นายทหารคนนี้ยังได้ส่งข้าวสาร กุนเชียง หัวไชโป๊ว เสมือนเป็นส่วยให้แก่ผู้บังคับบัญชากัมพูชาทุกระดับ โดยเฉพาะกุนเชียงบุรีรัมย์เดือนละ 60 กล่อง ปัจจุบันนายทหารคนนี้หย่าขาดจากภรรยาแล้ว โดยมีเมียน้อย 4 คน คนหนึ่งเป็นชาวกัมพูชาทำหน้าที่ค้าขายน้ำมันกับฝั่งกัมพูชา รวมถึงแรงงานเถื่อนจากกัมพูชา” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ในการเลือกตั้งทุกครั้งนายทหารกลุ่มนี้จะใช้กำลังทหารปิดหมู่บ้านเพื่อซื้อเสียงประชาชนให้แก่นักการเมืองคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังพบว่า มือปืนคนหนึ่งที่หนีคดียิงนายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ หลบหนีอยู่ที่กัมพูชา แต่สามารถเข้าและออกประเทศไทยได้ เนื่องจากนายทหารคนนี้เป็นผู้ดูแลอยู่ โดยมือปืนคนนี้ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการของนายฮุนเซน และมีความสนิทสนมอย่างยิ่งกับนักการเมืองและฝ่ายทหาร
“พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผบ.ทบ. ต้องตรวจสอบว่า เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นเหตุให้กองทัพอ่อนแอผิดปกติ จนไม่กล้าผลักดันยุทธศาสตร์สำคัญตอบโต้ทหารกัมพูชาที่ยึดครองแผ่นดินไทย ทำร้ายราษฎรไทย” นายปานเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยเสนอตัวเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างพันธมิตรฯ กับรัฐบาล นายปานเทพกล่าวว่า ได้มีการประสานงานมาแล้ว ซึ่งตนยืนยันไปว่าในส่วนของการเจรจาเลยเวลาในการพูดคุยกันแล้ว ที่สำคัญที่ผ่านมามีการเจรจาหลายครั้งล้มเหลวทุกครั้ง ไม่เกิดประโยชน์ทั้งสิ้น ดังนั้น หากสมาคมฯ มีความหวังดีและต้องการให้เกิดประโยชน์ในขณะที่มีความเห็นไม่ตรงกันอยู่นั้น ควรเปิดเวทีให้ภาคประชาชนชี้แจงผ่านสื่อของรัฐ ชี้แจงกลับบ้างเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชน ไม่ใช่ได้รับข้อมูลจากฝ่ายรัฐเพียงฝ่ายเดียว