xs
xsm
sm
md
lg

ผบ.ตร.รับแดงคุยง่ายกว่าเหลือง ยันกัน 2 ม็อบไม่ให้อยู่ใกล้กัน ยุฟ้องศาลไล่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
“วิเชียร” โผล่คุยนายกฯ ยัน จะดูแลม็อบไม่ให้มี 2 มาตรฐาน รับคุยแดงเชื่อฟังกว่าเหลือง ยันจะพยายามไม่ให้ 2 ม็อบอยู่ใกล้กัน ไม่กลัวบุกทำเนียบ เชื่อพันธมิตรฯ คงไม่มีเจตนาให้สลาย ชี้ยกระดับกฎหมายต้องเป็นไปตามสถานการณ์ ดูเหตุก่อนขอต่ออายุ พ.ร.บ.มั่นคงหรือไม่ ยันไม่กดดัน ยุร้องศาลไล่ม็อบ ซัด “จำลอง” พูดเท็จ

วันนี้ (13 ก.พ.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (ศอ.รส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)จะชุมนุมในวันนี้ว่า ภารกิจของ ศอ.รส. คือ การแก้ไขคลี่คลายสถานการณ์ความเดือนร้อนให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข หลักที่เราพยายามปฏิบัติมา คือ การเจรจาท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่างของกลุ่มต่างๆ มาตรการอันหนึ่ง คือ รักษาความเสมอภาค ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หรือพูดง่ายๆ คือไม่ให้มี 2 มาตรฐาน ซึ่งเป็นแนวทางที่พยายามทำ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เรายังไม่สามารถขอคืนพื้นที่ได้ และเราจะไปใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุมใหม่ในวันนี้ได้อย่างไร พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า เหตุผลในการเจรจาและการใช้มาตรการต่างๆ กับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ เมื่อถามว่า ตอนนี้เท่าที่ได้พูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง มีความชัดเจนหรือไม่ ว่าจะให้ความร่วมมือที่จะไม่ชุมนุมยืดเยื้อ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ตนเรียนว่าที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ได้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไม่มีกฎหมายอื่น จนถึงวันนี้การพูดคุยและเจรจากับฝ่าย นปช.ค่อนข้างจะเชื่อฟัง เหมือนกับ ค่อยประคองสถานการณ์ให้มีความสงบเรียบร้อย ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯ ค่อนข้างจะคุยกันลำบาก ในวันนี้การชุมนุมของ นปช.จะมาเรียกร้องความเป็นธรรมที่ศาลอาญา หรือ จะเดินไปบริเวณถนนพหลโยธินไปถึงแยกราชเทวี และไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็คุยกันว่า เขาจะไม่ฝ่าฝืน และจะไม่ชุมนุมเกิน 24.00 น. ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของทั้งสองกลุ่ม ทางตำรวจจะรายงานให้นายกรัฐมนตรี ทราบเป็นระยะ อย่างไรก็ตามจะไม่พยายามจะให้กลุ่มผู้ชุมนุมมาอยู่ใกล้กัน เพราะอาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทะเลาะกันได้

เมื่อถามว่า หากทั้งสองกลุ่มมีการรวมตัวกันแล้วบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.วิเชียรสวนกลับทันควันว่า ไม่กลัว เพราะหากมีการบุกจริงเราต้องมีการพัฒนาหรือหากจำเป็นเราอาจใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามการที่เรายังไม่ดำเนินการขั้นรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ใช่เราเพราะเรายังไม่ได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล แต่เรายังมีขั้นตอนมีกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้อยู่ ทั้งนี้หากคิดว่ารับมือไม่ไหว ก็อาจจะขอกำลังเพิ่มหรือมีการยกระดับกฎหมายบังคับใช้เพิ่ม ทั้งนี้ยืนยันว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ยังไม่มีคำสั่งเข้าขอคืนพื้นที่หรือเข้าสลายการชุมนุม

เมื่อถามว่า จากการประเมินแล้วการพูดคุยกับ นปช.ง่ายกว่าพูดคุยกับพันธมิตรฯ หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ ซึ่งตนก็ไม่มั่นใจว่าการเจรจาพูดคุยยาก เพราะมีจุดประสงค์อะไร ในขณะที่ทุกฝ่ายก็ขอความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการประคับประคองสถานการณ์ ในส่วนของตำรวจและศอ.รส.พยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เมื่อถามว่า เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ มีท่าทีเช่นนี้ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีการกระทบกระทั่ง จะเป็นไปได้หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ต้องระมัดระวัง ตนเรียนแล้วว่า ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เมื่อถามต่อว่า หรือความจริงแล้ว การกระทบกระทั่ง คือเงื่อนไขที่พันธมิตรฯ ต้องการให้เกิด พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า คิดว่าคงไม่มีเจตนากับบ้านเมืองอย่างนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า หากถึงเวลาที่ต้องใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และต้องเกิดภาวะเช่นนั้น จะเกิดอะไรขึ้นบ้าน พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า คงตอบไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องยกระดับของกฎหมายและมาตรฐานของการดำเนินการ ต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ไม่ให้เกิดความเดือนร้อนและความรุนแรง หรือความเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่

เมื่อถามว่า หากปล่อยสถานการณ์ให้นานไป จะมีคำถามกลับมาว่าการบังคับใช้กฎหมายยังสามารถดำเนินการใช้ในสังคมได้หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ยืนยันว่าต้องดำเนินการได้ ต้องบังคับใช้กฎหมายต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เมื่อถามว่า จะใช้กรอบการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ไปถึงเมื่อไหร่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า รายละเอียดคงว่าไปตามสถานการณ์ เมื่อถามต่อว่า การเจรจาหลายครั้ง ไม่มีความคืบหน้า เราจะใช้มาตรการหรือยกระดับ เมื่อใด ผบ.ตร.กล่าวว่า เป็นรายละเอียดปลีกย่อย เช่น กฎหมายจราจร ใช้ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเมื่อวันศุกร์ที่ 11 ก.พ. ที่รัฐสภาที่ผ่านมา ตนเรียนว่าในอดีต เราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ เพราะเราไม่มีกฎหมายที่ชัดเจน ที่จะเข้าไปควบคุมจำกัดพื้นที่ หากเราปล่อยผู้ชุมนุมให้มาอยู่ที่หน้ารัฐสภาจำนวน 3,000-5,000 คน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีอยู่เพียงเท่านี้ ถ้าเขาสถานการณ์เปาะบาง ในการประชุมรัฐสภาวันนั้นอาจไม่เรียบร้อยก็ได้ ขณะเดียวกันตำรวจก็ต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ให้พร้อม ตนเรียนว่าเมื่อเรากำหนดแค่นี้เขาเข้ามามากกว่านี้ไม่ได้ เราก็ต้องเด็ดขาดชัดเจน ตนพยายามอธิบายให้เขาว่า เรามีมาตรการที่จะป้องกันเท่าที่กฎหมายมีอยู่ กำลังที่เรามีอยู่

เมื่อถามว่า ขณะนี้เหลือเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์จากการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง หากเจรจาไม่ได้ผลจะเสนอต่ออายุ หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า หากจำเป็นต้องขอใช้กฎหมายต่อ ก็ต้องใช้เนื่องจากเป็นกฎหมายที่พอใช้ได้ในสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ในระยะยาวตนได้ผลักดัน พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะมาโดยตลอด ซึ่งในชั้นนี้บรรจุอยู่ในวาระของรัฐสภา ในอนาคตหากบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ และเราไม่มีกฎหมายที่เหมาะสมมาใช้ ปัญหาจะเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ซึ่งเวลาที่เหลืออีก 1 สัปดาห์ที่จะต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ ก็แล้วแต่สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งการเจรจาเราก็ยังมีมาตรการที่ยังเดินหน้าไปได้อยู่ แต่ขณะที่เรารุกคืบไปจะเกิดผลดีหรือผลเสีย เราต้องชั่งดู

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาให้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นผู้เจรจากับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ และทาง ผบ.ตร.จะลงไปเจรจาเองหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. ส่วน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร.และเลขาฯ ศอ.รส. ส่วนคนที่เป็นผบ.กองกำลัง คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งจะมีส่วนต่างๆ และเรามีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน และมียุทธศาสตร์ ไม่ใช่ใครจะเรียกไปคุยอย่างไรก็ได้ ต้องคุยให้เป็นแนวทางเดียวกัน เมื่อถามต่อว่า หากเจรจาและบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ จะทำอย่างไร ต่อไป ผบ.ตร.กล่าวว่า ต้องคอยดูกันต่อไป ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร สำหรับตน ไม่รู้สึกกดดัน เพราะบางอย่างเราต้องอะลุ่มอลวยบ้าง อย่างไรก็ตาม เราจะทำหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์ให้นำไปสู่สภาวะปกติ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้ออ้างของ พล.ต.จำลอง ในเรื่องของ พ.ร.บ.ความมั่นคง ว่าตำรวจไม่มีอำนาจใช้ และมองว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผบ.ตร.กล่าวว่า พล.ต.จำลองจะพูดอย่างไรก็ได้ เราเป็นฝ่ายที่ต้องคิดหามาตรการ ส่วนที่มองว่าการขีดขวางการจราจรก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แล้วจะให้เราลุยเข้าไปจับเพราะเขาขีดขวางการจราจรนั้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่ ต้องดูความเหมาะสม และกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมพูดบนเวทีว่าทางตำรวจจะไปฟ้องศาลต่อศาล เพื่อให้ศาลปกครองคุมครองการใช้พื้นที่ เพื่อให้เปิดการจราจรนั้น ตำรวจทำไม่ได้ ประชาชนหรือผู้เสียหาย สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลแพ่งได้ ชาวบ้านหรือหน่วยงานที่ได้รับความเดือนร้อน เห็นว่ากระทบสิทธิก็ควรไปเรียกร้อง ตำรวจมีหน้าที่แค่ไหน ก็จะทำแค่นั้น ไม่สามารถไปฟ้องร้องแทนชาวบ้านได้

“จริงๆ อยากให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนไปฟ้อง ตำรวจจะได้เกิดความชอบธรรมที่จะเข้าไปจัดการ หากเราไปยุมากๆ เดี๋ยวจะหาว่าตำรวจจะเข้าไปยึดที่เวทีอีก ในอดีตที่มีคนไปฟ้องและมีทั้งมีหมายศาลมาติดและมีทั้ง พ.ร.ก.ฉุกฉิน ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ เพราะตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นผอ.แต่ตอนนี้ผมเป็น ผอ.ศอ.รส. รอดูก็แล้วกัน”

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ พล.ต.อ.วิเชียรจะเป็นผู้ลงไปเจรจากับ พล.ต.จำลอง ด้วยตนเอง พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่า พล.ต.จำลองจะมาคุยกับตน ที่ผ่านมาท่านไปพูดไม่ตรงกับความจริงในหลายเรื่อง อย่างเช่น เรื่องการประกาศของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทั้งนี้ ในช่วงเช้าก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาออกรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. ได้มารอรายงานสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมของทั้งสองกลุ่มให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ โดยทันทีที่ได้พบกันนายกฯ ได้ถาม ผบ.ตร.เกี่ยวกับแถลงการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปแจ้งให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับทราบ ซึ่งทาง ผบ.ตร.ได้รายงานให้นายกฯ ได้รับทราบนานประมาณ 10 นาที
กำลังโหลดความคิดเห็น