โฆษก ศอ.รส.เผย พรุ่งนี้เช้าเตรียมออกข้อกำหนดมาบังคับใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมทั้งเข้าไปเจรจาขอคืนพื้นที่ หากไม่เป็นผลก็เตรียมใช้กำลัง 50 กองร้อย เข้ากดดันเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งและลดการเผชิญหน้า ยันไม่มีการใช้กำลังสลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาด
วันนี้ (9 ก.พ.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.ศอ.รส.) เป็นประธานการประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการออกประกาศข้อกำหนดควบคุมพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2551 โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งใช้เวลาในการประชุมประมาณ 3 ชั่วโมง
จากนั้น พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.ในฐานะโฆษก ศอ.รส.แถลงข่าวภายหลังการประชุม ศอ.รส.ถึงการดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ชุมนุมอยู่รอบทำเนียบรัฐบาล ว่า ในวันนี้ที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงเรื่องขอบเขตการออกประกาศข้อกำหนดควบคุมพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2551 โดยขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของศอ.รส.กำลังร่างข้อกำหนดดังกล่าวและพิจารณา ว่า จะมีการควบคุมและห้ามบุคคลเข้าไปพื้นที่หรือถนนเส้นใดบ้าง โดยตอนนี้ได้ดำเนินการพิจารณาไปกว่าร้อยละ 90 แล้ว ซึ่งเบื้องต้นน่าจะมีการควบคุมและห้ามไม่ให้บุคคลเข้าไปบริเวณถนนรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา อย่างไรก็ตามในช่วงเช้าของวันที่ 10 ก.พ.นี้ น่าจะมีการออกข้อกำหนดมาบังคับใช้กับผู้ชุมนุมได้
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนการเจรจากับผู้ชุมนุม ในวันนี้ได้มีการมอบหมายให้ บช.น. เข้าไปเจรจากับผู้ชุมนุมทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งผลการเจรจาในเบื้องต้น ทางกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติได้รับข้อเสนอการเจรจา และขอนำเรื่องดังกล่าวไปประชุมหารือก่อน ซึ่งเชื่อว่า กลุ่มดังกล่าวน่าจะมีการเปิดเส้นทางบริเวณถนนพิษณุโลกตั้งแต่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐจนถึงแยกสวนมิสกวันอย่างเช่นที่เคยเปิดเส้นทางในก่อนหน้านี้ แต่ก็คงต้องรอผลการหารืออีกครั้ง ส่วนการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ เบื้องต้นได้รับการปฏิเสธและไม่ยินยอมคืนพื้นที่ โดยอ้างว่า ต้องสงวนพื้นที่ไว้ใช้ในการชุมนุม ทำให้เจ้าหน้าที่คงต้องออกประกาศข้อกำหนดไปก่อน แต่ก็คงจะมีการเจรจาควบคู่ไปด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากที่การเจรจาไม่เป็นผล ก็คงต้องมีการออกข้อกำหนดที่จะมีสภาพบังคับตามกฎหมาย หากมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ก็จะมีความผิดตามมาตรา 24 ของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้จะไม่ใช้กำลังเข้าไปสลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาด แต่จะพยายามใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปกดดันแทน เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งและลดการเผชิญหน้า ซึ่งการปฏิบัติการทุกขั้นตอนจะมีการแจ้งให้กลุ่มผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนทราบ เพื่อให้เป็นสักขีพยาน โดยการปฏิบัติการครั้งนี้จะมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่จำนวน 50 กองร้อย ซึ่งจะเป็นกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บช.ภ.1 และ 2 รวมทั้งจะมีการสนธิกำลังกับทหารในการร่วมกันปฏิบัติงาน
เมื่อถามว่า ศอ.รส.ต้องดูแลการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ประกาศชุมนุมบริเวณหน้าศาลอาญาในวันที่ 13 ก.พ.นี้ ด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิ กล่าวว่า ศอ.รศ.ดูแลการชุมนุมของทุกกลุ่ม ไม่ได้เจาะจงไปเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้การชุมนุมเกิดความเรียบร้อยในพื้นที่ 7 เขตที่มีการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ส่วนการเคลื่อนการชุมนุมจากศาลอาญามายังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น หากการเคลื่อนการชุมนุมไม่ปิดการจราจร หรือไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจนเกินไป เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงจะผ่อนผันให้ดำเนินการได้ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ