“จำลอง” ลั่น รบ.หน้าไหนก็ต้องทำ 3 ข้อเรียกร้อง เผย ไล่ “มาร์ค” แค่เป้าหมายย่อย ไม่ยุติชุมนุมจนกว่าจะมั่นใจว่าปกป้องดินแดนได้ ยันคิดสลายชุมนุมไม่สำเร็จแน่ “โฆษก พธม.” ท้านายกฯไปวัดแก้วฯ พิสูจน์ดินแดนด้วยกัน แฉ “มาร์ค” ไม่เคยติดต่อขอคุยพันธมิตรฯ แต่โร่ประกาศให้ ปชช.เข้าใจผิด “ประพันธ์” สับ “มาร์ค-เทพเทือก-ประวิตร” อุปสรรครักษาดินแดน เหตุแนวคิดจำนนศิโรราบแขมร์
วันนี้ (6 ก.พ.) เมื่อเวลา 17.00 น.บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ร่วมกันแถลงข่าวการชุมนุมประจำวันในรอบเย็น โดย พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีข้อเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลาออก ว่า หากมีการลาออกจริง บุคคล หรือคณะใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ให้เป็นไปตามกระบวนการสรรหา พันธมิตรฯไม่ได้มีใครอยู่ในใจ เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อบุคคล หรือหมู่คณะ เป็นการออกมาชุมนุมเพื่อประเทศชาติ
เมื่อถามว่า หากนายกฯอภิสิทธิ์ และรัฐบาลลาออกตามข้อเรียกร้อง ทางกลุ่มพันธมิตรฯจะยุติการชุมนุมหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่ยุติ เพราะเรามาชุมนุมไม่ใช่ต้องการไล่รัฐบาล เรามาชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ทั้งที่เสียไปแล้ว และที่กำลังจะเสียอีกว่า 1.8 ล้านไร่ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในทะเลอีกมหาศาล แม้รัฐบาลนี้ออกไปแล้ว เราก็ยังชุมนุมอยู่จนกว่าหัวหน้ารัฐบาลนั้นๆ จะทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของเรา ซึ่งไม่ใช่ข้อเสนอเลื่อนลอย หากแต่ผ่านความคิดของผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่มีความคิดเห็นที่ตรงกัน
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงการเคลื่อนขบวนในวันที่ 11 ก.พ.ซึ่งล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มมีปฏิกิริยาไม่ต้องการให้พันธมิตรฯเคลื่อนออกจากพื้นที่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เป็นธรรมดา เพราะเมื่อมีการเคลื่อนขบวนทำให้ตำรวจมีเรื่องที่จะต้องทำ แต่ถือเป็นหน้าที่ เพราะอาสามาเป็นตำรวจ จริงๆ แล้วง่ายนิดเดียวเพียงกระซิบให้นายกฯอภิสิทธิ์ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินตามที่ประชาชนส่วนมากเสนอแนะไป ซึ่งเราก็เห็นใจตำรวจ แต่มีความจำเป็นเพื่อให้การปกป้องแผ่นดิน มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย หรือไปชุมนุมในที่ห่างไกลในป่าเขา รัฐบาลดีใจแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก่อนวันที่ 11 ก.พ.จะมีการประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ถึงการเคลื่อนขบวน แต่ตอนนี้ยังไม่มีการประสาน เพราะยังปิดเป็นความลับอยู่
เมื่อถามต่อถึงความคาดหวังของการเคลื่อนขบวนในวันที่ 11 ก.พ.อย่างไร พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราทำเป็นปกติตามขั้นตอน แต่ละขั้นไม่ได้คาดหวังว่าผลจะออกมาอย่างไร เพราะสิ่งที่พันธมิตรฯคาดหวังมานานกว่า 2 ปีที่นายกฯอภิสิทธิ์ น่าจะออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน แต่ก็ไม่ออกมา จึงเลิกคาดหวังไปแล้ว
ด้าน นายปานเทพ กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.ได้มีการปะทะของทหารไทยกับกัมพูชา ที่บริเวณบ้านซำแต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากปราสาทพระวิหาร ประมาณ 10 กม.สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แสดงว่าสิ่งที่นายกฯอภิสิทธิ์ พูดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย เมื่อช่วงเช้า ว่า MOU 2543 ทำให้เกิดการหยุดการปะทะนั้นไม่จริง ต่อเนื่องจาก 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีการปะทะทั้งที่ภูมะเขือ และมีการยิงมาจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ หรือบริเวณปราสาทพระวิหาร ที่สำคัญ เป็นการตอกย้ำอีกครั้ง ว่า มีการยึดครองดินแดนไทยในหลายพื้นที่ หากปล่อยให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมไปเรื่อย โดยอ้าง MOU 2543 ที่ไม่สามารถหยุดการรุกคืบของทหารกัมพูชาได้เลย
“การปล่อยให้ทหารกัมพูชารุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เช่นนี้ ความเดือดร้อนไม่ได้ตกเพียงทหารไทยที่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทยเท่านั้น แต่จะกระเทือนถึงราษฎรผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องด้วยเลย ซึ่งการปะทะครั้งนี้เห็นชัดว่ากัมพูชาจงใจที่จะยิงเข้าใส่ราษฎรไทย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนและบ้านเรือน ดังนั้น ทหารต้องมีหน้าที่ในการดูแลราษฎรของไทย ไม่สามารถอ้างถึงสันติวิธี โดยที่กัมพูชายังรุกล้ำเข้ามาไม่เลิก การปล่อยปละละเลยเช่นนนี้จะเกิดปัญหาบานปลาย ทวีความรุนแรงมากขึ้นตลอดแนวชายแดน การที่นายกฯอภิสิทธิ์พยายามพูดว่าเรายังไม่เสียดินแดนนั้น เป็นเรื่องเท็จ เมื่อมีการพิสูจน์แล้วว่ามีการรุกล้ำยึดครองแผ่นดินไทยอยู่จริง” นายปานเทพ กล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่นายกฯอภิสิทธิ์ ระบุว่า หากตัวเองทำให้เสียดินแดน ก็ไม่สมควรอยู่ในแผ่นดินไทย ว่า ต้องชี้แจงว่า ณ บัดนี้ประเทศไทยได้เสียดินแดนแล้ว การที่พูดว่าเรายังไม่เสียดินแดน เพราะยังปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จ แสดงว่า ไร้ซึ่งความเข้าใจในเรื่องเขตแดน เพราะคำว่าเสียดินแดนนั้น ไม่ต้องผ่านรัฐสภา เพียงแต่เขาเข้ามายึดครอง อยู่อาศัย ใช้กำลังทหาร คนไทยเข้าไปไม่ได้ ยังสามารถใช้อำนาจทางศาลได้ และการเชิญธงชาติกัมพูชาในบริเวณดังกล่าว นั่นคือ การสูญเสียอธิปไตยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้จะทวงดินแดนโดยการเจรจาหรืออย่างไร หากสำเร็จจริง กัมพูชาคงยอมเรานานแล้ว
“หากยังยืนยันว่าเรายังไม่เสียดินแดน ผมขอเชิญนายกฯอภิสิทธิ์ ลงไปตรวจพื้นที่ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระร่วมกัน เพื่อพิสูจน์ร่วมกันและเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเขาด้วย” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ ยังได้กล่าวปฏิเสธที่นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า มีการประสานมายังพันธมิตรฯเพื่อขอเจรจาด้วย ว่า ยืนยันว่าไม่มีการติดต่อมาเลย จากที่ตนได้สอบถามแกนนำทั้งรุ่น 1 และ 2 รวมถึงผู้ปราศรัยทุกคน แล้วไม่มีผู้ใดได้รับการติดต่อแต่อย่างใด มีเพียงการพูดฝ่ายเดียวให้ภาพตัวเองดูดี แต่พันธมิตรฯกลายเป็นคนที่ไม่ยอมเจรจา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เลยเวลาคุยกันแล้ว เป็นเวลาที่ต้องแสดงความรับผิดชอบแล้ว
ด้าน พล.ต.จำลอง กล่าวในประเด็นเดียวกัน ว่า นายกฯพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ซึ่งตนขอย้ำว่า ทำมาหลายครั้งแล้วล้มเหลว ให้นายกฯเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า คนเขาให้มาทำหน้าที่รัฐบาล ไม่ใช่นักโต้วาที วันนี้นายกฯต้องคิดอย่างเดียวว่าจะลาออกหรือไม่เท่านั้น หากไม่ก็ต้องมาสลายการชุมนุม แต่ตนยืนยันว่า สลายไม่สำเร็จ เพราะเมื่อเข้ามายึดพื้นที่ เราก็ยึดคืน จึงเหลือเพียงการลาออกเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ นายประพันธ์ กล่าวว่า นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องเข้าใจได้แล้วว่าวันนี้ประเทศไทยถูกทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย เพราะจุดที่มีการปะทะนั้นอยู่ในแผ่นดินไทยทั้งนั้น ซึ่งจุดปะทะ ทั้งที่ภูมะเขือ หรือบ้านซำแต เป็นจุดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นดินแดนของเขา และใช้เป็นฐานในการโจมตีทหารและราษฎรไทย แต่ตัวนายกฯอภิสิทธิ์ ยังออกมาพูดผ่านทีวีว่ายังไม่เสียดินแดน และเหตุที่ทำให้ทหารไทยไม่สามารถเข้าปฏิบัติการยึดพื้นที่คืนมาได้ เพราะแนวนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ประกาศให้ทหารปฏิบัติ โดยการยึดเอาพื้นที่คืนทั้งหมดตลอดแนวชายแดน โดยยึดแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่น ด้วยความที่ยังกอด MOU 2543 อยู่อย่างนี้ ทำให้ทหารไทยไม่ชักเจน มีความละล้าละลังว่ารัฐบาลเอาอย่างไรกันแน่ เพราะยังไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้
“กองทัพยังติดอยู่กับ MOU 2543 ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้น วันนี้นายกฯอภิสิทธิ์ต้องประกาศยกเลิก MOU 2543 แล้วให้ทหารเข้าพื้นที่กดดันคนกัมพูชาออกไป ทหารจะทำหน้าที่ได้เต็มที่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นตอนนี้เกิดจากความล่าช้าไม่กล้าตัดสินใจของนายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ต่างจากกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด ทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงมาก ขณะนี้เราเสียดินแดนไปแล้วยังจะมาตั้งเวทีดีเบตเจรจากับพันธมิตรฯ เป็นเรื่องวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง ไร้สาระมาก” นายประพันธ์ กล่าว
โฆษกการชุมนุมฯ กล่าวด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พล.อ.ประวิตร เป็นอุปสรรคต่อการปกป้องดินแดนและอธิปไตย ทั้ง 3 คนมีแนวคิดที่จำนนและขายอธิปไตยให้กับกัมพูชา พยายามที่จะใช้แนวคิดนี้ครอบงำฝ่ายทหาร กดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ออกมาพูดในสิ่งที่ทั้ง 3 คนต้องการให้พูด ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกทหารด้วยกันตำหนิ นอกจากทำให้กำลังพลเสียกำลังใจ ยังทำให้ไม่สามารถปกป้องดินแดนไทยได้ กัมพูชาจึงรุกเข้ามายิงเราในแผ่นดินของเราเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ท่าทีของนายกฯอภิสิทธิ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า จะใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา พล.ต.จำลอง กล่าวตอบประเด็นนี้ว่า จากมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ที่มีใจความสำคัญว่ารัฐต้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราชอธิปไตย โดยมีหน้าที่จัดเตรียมกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ ให้เพียงพอต่อการทำหน้าที่ ตรงนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้บอกไว้ว่าให้เตรียมกำลังทหารไว้สำหรับการเจรจา เพราะทหารมีหน้าที่แสดงแสนยานุภาพในการข่มศัตรู ไม่ใช่ไปขอเจรจาให้หยุดยิง ในขณะที่กัมพูชายังอยู่ในแผ่นดินเรา ถ้าเรามีแสนยานุภาพที่น้อยกว่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่มีเหนือกว่าเขามหาศาล
“ทหารไทยต้องไล่กัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทยให้หมดก่อนที่จะเจรจา ไม่ใช่ปล่อยให้ยึดแผ่นดินไทยอยู่อย่างนี้ นายทหารที่ออกมาบอกว่าไม่พร้อมรบนั้นเป็นทหารระดับผู้ใหญ่ที่กลัวถูกฝ่ายการเมืองโยกย้าย กลายเป็นทหารนักการเมืองไม่ใช่ทหารอาชีพอีกต่อไป ขณะที่นายทหารระดับล่างนั้นมีความพร้อมรบเต็มที่เป็นทหารอาชีพ หากขืนยังอ่อนแออยู่อย่างนี้ซักวันหนึ่งกัมพูชาเข้ามายึดกรุงเทพฯจะทำอย่างไร เจรจาอย่างนั้นหรือ” พล.ต.จำลอง กล่าว
ในส่วนการตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องดินแดนนั้น พล.ต.จำลอง ชี้แจงว่า ขณะนี้การทาบทามกรรมการยังไม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถประกาศในช่วงค่ำวันที่ 7 ก.พ.โดยเบื้องต้นมีการทาบทามไว้แล้ว 12 คน และจะมีเพิ่มอีกเล็กน้อย ในส่วนหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจ มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย และเสนอแนะยุทธวิธีในการปกป้องแผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วย อดีตข้าราชการ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ทั้งที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ และอาจจะไม่เคย เพื่อให้การทำงานกว้างมากขึ้น