ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุด นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ต่างจากนักการเมือง “น้ำเน่า” อื่นๆ ที่มีอยู่กลาดเกลื่อนเมืองไทย หรือในพรรคประชาธิปัตย์
การออกมาพูดเป็นนัย แบบ “จงใจ” ให้เข้าใจว่า การออกมาชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในครั้งนี้เป็นการ “รับงาน” มาป่วนอะไรประมาณนั้น
“ผมไม่ได้กล่าวหาเลยว่ามีใครรับเงินกัมพูชามาหรือเปล่า” นั่นเป็นคำพูดของ นายกฯ อภิสิทธิ์ วันที่ 31 มกราคม เมื่อถูกถามจี้ใจดำในเรื่อง “ขายชาติ” ยกอธิปไตยให้กัมพูชา
ใครจะนึกว่าจู่ๆ นายกรัฐมนตรีที่เคยมีภาพลักษณ์ดี เป็นคนหนุ่ม มีองค์ประกอบเพียบพร้อมจะพลิกผันกลับกลายเป็นตรงกันข้ามแบบนี้ไปได้ แทนที่จะใช้วิธี “ตะแบง” อ้างความดีของ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา ว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบกที่ลงนามเมื่อปี 2543 (เอ็มโอยู 43) ว่ามีประโยชน์อย่างไรอย่างที่เคยทำทุกครั้ง
หากพิจารณาทางด้านภาวะทางอารมณ์ ในยามนี้ก็น่าจะพอเข้าใจถึงแรงกดดันที่ประดังเข้ามาทุกทาง โดยเฉพาะความจริง และหลักฐานต่างๆ มากมายที่กลบเกลื่อนและปกปิดมานานเริ่มเปิดเผยออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ประเภท “จำนนต่อหลักฐาน” ในหลายกรณี
ขณะเดียวกัน มองอีกด้านหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นว่า การใช้ “วาทะ” แก้ปัญหา มันทำให้ทุกอย่างบานปลายมาเรื่อยๆ รวมไปถึงการกลับไปกลับมาแสดงให้เห็นถึงการดำเนินนโยบาย “ไม้หลักปักเลน” หาความแน่นอนไม่ได้ ยกตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดกรณี “แถลงการณ์” ของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 31 มกราคม2554 ตอนหนึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า ให้ฝ่ายกัมพูชา “รื้อวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ” และ “ปลดธงชาติ” ลงไป ซึ่งตามความหมายที่เข้าใจกันว่านี่คือทางทีของรัฐบาลไทย ทำในนามตัวแทนของชาติ และเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยัน
แต่วันรุ่งขึ้นในตอนบ่าย นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ กลับออกมาบอกว่าตัวเองไม่ได้สั่งให้รื้อวัดแก้วศิขาฯ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน คำแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศของไทยมัน “ผิดพลาด”ได้ขนาดนี้เชียวหรือ กระทำการโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกันในระดับนโยบายเชียวหรือ
ที่สำคัญหากเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์แบบนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆเลยหรือ
ขณะที่ นายกรัฐมนตรี หากเห็นว่าแถลงการณ์มีความผิดพลาดทำไมเพิ่งออกมาแถลงปฏิเสธในตอนบ่าย หมายความว่าถูกตำหนิจากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีท่าทีตรงกันข้ามมาตลอดใช่หรือไม่
หากย้อนกลับไปก็จะเห็นว่า ปัญหาที่บานปลายอยู่ในเวลานี้ สาเหตุสำคัญที่สุดมาจากปัญหาและความล้มเหลวของเอ็มโอยู 43 รวมไปถึงผลประโยชน์ของนักการเมืองที่มีอำนาจในรัฐบาลทั้งในอดีตและต่อเนื่องมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งหากอธิบายให้เห็นภาพก็คือ การเข้าไป “สวมตอ” เปลื่ยนหน้าเข้าไปหาประโยชน์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารใหม่
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนก็คือ ในบันทึกความเข้าใจฯ (เอ็มโอยู 43) ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ ห้ามมีการตั้งชุมชน หรือวางกำลังทหาร อย่างเด็ดขาด ซึ่งที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดมาโดยตลอด ซึ่งประจักษ์หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนก็คือกรณีการก่อสร้างวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ ในลักษณะที่มีการรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ จนนำมาสู่การปักธงชาติประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน
น่าสนใจก็คือ พื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขาฯ อยู่ในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร สำหรับการ “บริหารจัดการพื้นที่” โดยรอบ “ปราสาทพระวิหาร” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการที่ฝ่ายกัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ขณะเดียวกันเมื่อสามารถรุกคืบเข้ามาในลักษณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้เป็น “ยุทธศาสตร์” ในการยึดครองอธิปไตยเหนือดินแดน ซึ่งหมายความว่าในเบื้องต้นจะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไปเกือบ 3 พันไร่
ขณะเดียวกัน ในเอ็มโอยูดังกล่าวยังเป็นการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชา ซึ่งนั่นก็หมายความทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มขึ้นตั้งแต่บนบกจนถึงอ่าวไทยอีกนับล้านไร่ และแม้ว่าที่ผ่านมาทางฝ่ายนายกฯ อภิสิทธิ์จะปฏิเสธมาตลอดว่า เป็นการเข้าใจผิด ย้ำว่าเราไม่เคยยอมรับแผนที่ดังกล่าว แต่เมื่อไปถามฝ่ายกัมพูชากลับยืนยันอีกอย่างว่าไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และไม่เคยอ้างว่าพื้นที่ที่มีปัญหาเป็นพื้นที่ “ทับซ้อน” แต่อ้างสิทธิ์เป็นของกัมพูชา เพียงฝ่ายเดียว มีเพียงไทยเท่านั้นที่ดันไประบุว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทำให้เราเสียเปรียบอย่างชัดเจน
กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ทางฝ่ายกองทัพไทย โดยรัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.ประวิตร รายงานต่อนายกรัฐมนตรีว่าได้สั่งให้ชักธงชาติไทยขึ้นบนยอดเสาที่บริเวณที่เรียกว่า “สถูปคู่” บนเขาพระวิหารด้านชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ใกล้กับฐานปฏิบัติการของทหารไทย นัยว่าเพื่อเป็นการอ้างสิทธิ์และประท้วงกัมพูชาที่ยังไม่ยอมปลดธงชาติออกจากวัดแก้วศิขาฯ ซึ่งหากพิจารณาอย่างผิวเผินเหมือนกับว่าทางฝ่ายไทยได้ตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นจุดที่ชักธงชาติไทยนั้นอยู่ในเขตไทยอย่างชัดเจน เพราะอยู่ใกล้กับฐานปฏิบัติการทหาร ซึ่งไม่ต่างอะไรกับชักธงในบ้านตัวเอง แล้วจะมีความหมายอะไร แถมยังมีหน้ามาบอกอีกว่าอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากความล้มเหลวของรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งสิ้น ปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่จนทำให้ต้องเสียอธิปไตย แต่กลับปกปิดความจริง และโยนบาปให้คนอื่นที่ออกมาเปิดโปง จนต้องเผยตัวตนออกมา ใช้ “วิชามาร” ชั้นต่ำ ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ตัวเองยังตอบคำถามไม่ได้ เพราะไม่ว่ากรณีแผ่นป้ายประณามไทย มาจนถึงการปักธงที่วัดแก้วสิขาฯ ก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่เกิดขึ้นมานานนับปีแล้ว ที่ผ่านมาทำไมนิ่งเฉย ปล่อยให้เขารุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ต้องสงสัยคนในรัฐบาลว่า “รับเงินกัมพูชา” หรือมีผลประโยชน์กับกัมพูชาหรือเปล่า
และเมื่อถูกจับได้จึงต้องสติแตกดังกล่าวใช่หรือไม่!!