พันธมิตรฯ แถลงการณ์ขอฉันทามติพี่น้องประชาชน จี้ “อภิสิทธิ์” ลาออกจากตำแหน่ง ชี้ล้มเหลวในการบริหารประเทศ ตระบัดสัตย์ โกหกหลอกลวงประชาชน ไม่จริงจังอ่อนแอในการทวงคืนพื้นที่ทับซ้อน และกระทำการในลักษณะสมยอมให้เขมรลุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง แถลงการณ์ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
วันนี้ (5 ก.พ.) เวลาประมาณ 20.30 น. ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์การยกระดับการชุมนุม โดยได้ขอฉันทานุมัติจากพี่น้องประชาชนเพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลโดยการนำของนายอภิสิทธิ์ ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาที่กัมพูชาได้รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดจนทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันจนทำให้ประชาชนเสียชีวิต ทั้งยังไม่ได้ทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ กลับกระทำการในลักษณะสมยอม จำนน หรือมีพฤติกรรมยอมรับการเข้ายึดครองและรุกล้ำดินแดนไทยโดยกัมพูชา
“นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็ดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ดี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ดี ตลอดจนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ล้วนแต่มีพฤติกรรมสมคบกันทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทยต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาทั้งสิ้น ทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ก่อความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชาติและแผ่นดินไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งเป็นการทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน”
นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ปรากฏข้อมูลว่า คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ มีพฤติกรรมบริหารชาติบ้านเมืองที่เป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นรุนแรงมากที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาลของวุฒิสภา และตามผลการสำรวจศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตลอดจนเป็นไปตามข้อมูลการศึกษา สำรวจและวิจัยของหอการค้าไทย และข้อมูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ด้วยเหตุเหล่านี้ จึงเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความสามารถ กล้าหาญเข้ามาบริหารราชการแทน พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในชาติให้หมดสิ้น มีวุฒิภาวะและมีความเป็นผู้นำที่ ซื่อสัตย์ต่อชาติ ต่อประชาชนไม่โกหกหลอกลวงประชาชน มีคุณธรรม ศีลธรรม เข้ามาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป
คำต่อคำ แถลงการณ์การชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ฉบับที่ 1/2554 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง ขอฉันทานุมัติพี่น้องประชาชนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ
ตามที่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ใช้สิทธิการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 63 ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554 เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษา เอกราช อธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 โดยแสดงเป้าประสงค์ในการชุมนุมที่จะรักษาป้องกันไม่ให้ประเทศไทยต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดน และกำหนดข้อเรียกร้องเอาไว้ 3 ประการคือ
1.เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยกเลิก บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 เพื่อยุติความเสียเปรียบทั้งปวงที่กัมพูชาได้เป็นฝ่ายละเมิดและรุกรานดินแดนไทยมาโดยตลอด
2.เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก เพื่อเป็นการประท้วงและไม่ยอมรับ การดำเนินการตามคำร้องขอของประเทศกัมพูชาในคณะกรรมการมรดกโลกที่ว่าเสียงส่วนน้อยที่ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ในเวทีคณะกรรมการมรดกโลกที่ได้ดำเนินการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยมาหลายครั้ง ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและนำพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทซึ่งเป็นดินแดนไทยให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชา
3.เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยดำเนินการผลักดันทหารและชุมชนกัมพูชาที่รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย เพื่อทวงคืนดินแดนไทยที่ได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยในทางปฏิบัติไปให้กับกัมพูชาเป็นเวลาเกือบ 11 ปี นับตั้งแต่ที่รัฐบาลไทยได้ลงนามใน MOU 2543 เป็นต้นมา
ในระหว่างการชุมนุมนั้นได้ปรากฏหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรี และรัฐบาลได้ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าวมาโดยตลอด อีกทั้งยังปรากฏว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยได้แต่ประการใด
บัดนี้ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาที่กัมพูชาได้รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย ทั้งนี้ภายใต้การยึดถือบันทึกความเข้าใจฯ และข้อกำหนดใน MOU 2543 ทำให้กัมพูชาสามารถใช้เงื่อนไขดังกล่าวยึดครองดินแดนไทยได้ไม่มีกำหนดระยะเวลา จนกว่าผลการเจรจาจะเป็นที่พอใจของทางการกัมพูชา ดังปรากฏข้อเท็จจริงที่ทหารและชุมชนกัมพูชาได้ยึดครองดินแดนไทยบริเวณโดยรอบพื้นที่ปราสาทพระวิหาร 2,800 ไร่ (4.6 ตารางกิโลเมตร) โดยปรากฏมีกองกำลังทหาร ชุมชน และวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราอยู่บนพื้นที่ดังกล่าว ทั้งได้ยืนยันว่าดินแดนดังกล่าวนี้เป็นของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังปรากฏตามแถลงการณ์ในปีนี้ของกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 และเหตุการณ์ที่ตอกย้ำและแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่าดินแดนบริเวณดังกล่าวเป็นของกัมพูชานั้น ก็คือเหตุการณ์การปะทะและยิงกองกำลังทหารไทยที่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนไทยในบริเวณ ภูมะเขือ โดยยิงเข้ามาในพื้นที่ของไทยและประเทศไทยทำให้ประชาชนไทยและทหารไทยต้องสูญเสียชีวิต บ้านเรือนได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้บริเวณค่ายอพยพหนองจานซึ่งอยู่ในดินแดนไทยก็ได้ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามายึดครองแย่งที่ดินทำกินของราษฎรไทยบริเวณดังกล่าวจนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส คนไทยผู้รักชาติ 7 คนที่ได้ไปสำรวจในพื้นที่เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับราษฎรไทยบริเวณดังกล่าวกลับถูกทหารกัมพูชาติดอาวุธเข้าจับกุม และนำตัวขึ้นสู่ศาลกัมพูชาและพิพากษาตัดสินลงโทษคนไทยทั้ง 7 โดยที่รัฐบาลไทยมิได้ให้ความช่วยเหลือหรือแสดงอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว ไม่ประท้วงและไม่คัดค้านใดๆในการนำตัวคนไทยทั้ง 7 ขึ้นสู่ศาลเลยอันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้แทนแห่งรัฐไทย ซ้ำร้ายกลับสร้างหลักฐานช่วยเหลือทางการกัมพูชาและศาลกัมพูชาปรักปรำและยัดเยียดข้อหาให้ 7 คนไทยจนได้รับโทษอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายวีระ สมความคิด และนาสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ จึงถือได้ว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้จำยอมต่อการสำแดงอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนประเทศไทย
ทั้งนี้ ตลอดแนวชายแดนไทย กัมพูชาได้รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อาทิ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ภูมะเขือ ฯลฯ และยังกระทำการรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยเพิ่มเติมโดยอ้างแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 และ MOU 2543 ซึ่งไม่เพียงจะทำให้ดินแดนไทยต้องสูญเสียในบริเวณเขาพระวิหารประมาณ 2,800 ไร่เท่านั้น แต่จะทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 1.8 ล้านไร่ และยังจะส่งผลกระทบกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในอ่าวไทยที่มีพื้นที่ทับซ้อนเกินความเป็นจริงซึ่งมีผลประโยชน์อันเป็นแหล่งพลังงานในทะเลบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอีกซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
ไม่เพียงแต่มีการรุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยในพื้นที่ดังกล่าวเท่านั้น ทางการกัมพูชายังได้ออกแถลงการณ์และยื่นคำฟ้องต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อตอกย้ำว่าดินแดนดังกล่าวเหล่านั้นเป็นดินแดนและอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า ประเทศไทยได้เสียดินแดนให้กับกัมพูชาไปแล้วหากมิดำเนินการใดๆ อันเป็นสาเหตุมาจากความล้มเหลวและความอ่อนแอของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่ในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ กลับกระทำการในลักษณะสมยอม จำนน หรือมีพฤติกรรมยอมรับการเข้ายึดครองและรุกล้ำดินแดนไทยโดยกัมพูชา
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็ดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ดี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ดี ตลอดจนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ล้วนแต่มีพฤติกรรมสมคบกันทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทยต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาทั้งสิ้น ทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ก่อความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชาติและแผ่นดินไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งเป็นการทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันอีกด้วย
นอกจากนี้ ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ปรากฏข้อมูลและข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่า คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมบริหารชาติบ้านเมืองที่เป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นรุนแรงมากที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยปรากฏข้อมูลและเท็จจริงว่ามีการทุจริตจากงบประมาณแผ่นดินทำให้ประเทศชาติเสียหายเป็นวงเงินไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ดังปรากฏตามผลการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาลของวุฒิสภา และตามผลการสำรวจศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตลอดจนเป็นไปตามข้อมูลการศึกษา สำรวจและวิจัยของหอการค้าไทย และข้อมูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พฤติกรรมการทุจริตของนักการเมืองและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นที่ปรากฏต่อสาธารณชนและประชาชนโดยทั่วไป นอกจากจะมีการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่หลายแสนล้านบาทแล้ว ยังมีพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นหาประโยชน์กับสินค้าอันเป็นเครื่องอุปโภคและบริโภคของประชาชนอีกด้วย อาทิเช่น ข้าว น้ำมันปาล์ม ฯลฯ อันเป็นการทุจริตคอร์รัปชันบนความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนโดยทั่วไป ทำให้เกิดสภาวะสินค้าขาดแคลนมีราคาแพง ซึ่งหนักหน่วงร้ายแรงและอำมหิตต่อประชาชนยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ
พฤติกรรมดังกล่าวนี้ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรงและสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่ง แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับเพิกเฉย ไม่อนาทรร้อนใจต่อปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนและความรู้สึกของเพื่อนร่วมชาติ ทั้งยังมีพฤติกรรมปากว่าตาขยิบ อันเป็นการสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าวอีกด้วย
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีสัจจะและไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในหลายกรณี อาทิเช่น ไม่หยุดยั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ตระบัดสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญและหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะทำประชามติรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่กลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเองโดยไม่มีการทำประชามติ โกหกต่อภาคประชาชนว่ารัฐสภาจะไม่พิจารณาบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา (เจบีซี) ทั้ง 3 ฉบับ ต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะสะสางคดีการรุมสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้แล้วเสร็จในปี 2552 ไม่รักษาสัตย์ที่ให้ไว้กับประชาชนว่าจะบริหารบ้านเมืองด้วยหลักคุณธรรมและจริยธรรม มีความโปร่งใสและให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยปล่อยให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรมอย่างไร้จริยธรรม ไร้คุณธรรม และไร้ศีลธรรม ทั้งยังกระทำการเสนอกฎหมายเพื่อขึ้นเงินเดือนให้กับนักการเมืองด้วยกันเองอย่างไร้ยางอาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้ความสามารถ ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารชาติบ้านเมืองที่ดี ไร้วุฒิภาวะ และไร้สภาวะความเป็นผู้นำที่ดี มีความคิดและจิตใจคับแคบ ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นผิดๆ ของตัวเองและคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คน ปราศจากทีมงาน คณะทำงาน และที่ปรึกษาอันเป็นที่เคารพเชื่อถือและไว้วางใจของประชาชน มีวิธีคิดและวิธีการทำงาน ในการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้วนแต่เป็นปัญหาและสร้างความล้มเหลวเสียหายต่อชาติบ้านเมือง จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ดังปรากฏเหตุผลและข้อเท็จจริงทั้งหมดตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
จากการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้บริหารประเทศชาติมาด้วยความล้มเหลวและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมากมาย ไม่รักษาสัจจะวาจาต่อคำพูดและคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในเรื่องสำคัญๆ ทั้งสิ้น อันเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ละเมิดต่อหลักคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม และศีลธรรมในฐานะเป็นผู้บริหารประเทศชาติ ละเมิดแม้กระทั่งกฎเหล็กของตัวเองแบบเขียนด้วยมือลบด้วยเท้าอีกด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเป็นบุคคลที่ไร้ความน่าเชื่อถือ เป็นอุปสรรคและเป็นปัญหาต่อการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ และการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง ตลอดจนการรักษาประโยชน์ของประชาชน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หมดความชอบธรรมที่จะบริหารชาติบ้านเมืองอีกต่อไป สมควรที่จะต้องแสดงสำนึกและแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความล้มเหลวและการสร้างความเสียหายในการบริหารชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่ต้องอยู่เหนือกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ดังที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัญญาต่อประชาชนเอาไว้
เพื่อให้ข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบรรลุผล จึงขอเรียกร้องพี่น้องประชาชนออกมาร่วมแสดงประชามติ และเห็นสมควรขอฉันทานุมัติจากพี่น้องประชาชนเพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะรัฐมนตรี พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งนากชยกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในชาติให้หมดสิ้น มีวุฒิภาวะและมีความเป็นผู้นำที่ ซื่อสัตย์ต่อชาติ ต่อประชาชนไม่โกหกหลอกลวงประชาชน มีคุณธรรม ศีลธรรม เข้ามาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ณ สะพานมัฆวานรังสรรค์