ASTVผู้จัดการรายวัน-พธม.ยกระดับชุมนุมใหญ่ “ปกป้องแผ่นดินไทย” วันนี้ “ลุงจำลอง”ฮึม! เหตุทหารไทยปะทะทหารเขมร เหตุนายกรัฐมนตรีไทยอ่อนแอ-ขี้ขลาด ลั่นยกระดับอย่างสุขุมนุ่มลึก สับรัฐบาลแก้ผ้าเอาหน้ารอด อัด“มาร์ค” กลัวเขมรขู่ฟ้องยูเนสโก้ถอดเจ้าภาพมรดกโลกปี 55“นักโบราณคดี” หนุนถอนมรดกโลก เหตุไร้งบซ่อมแซม ด้าน "สนธิ" จวกรัฐบาลปชป. “โกง กิน ทิ้งประชาชน”
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นวันที่ 11 เป็นไปอย่างเรียบร้อย
เวลา 17.00น.วานนี้(4 ก.พ.)พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ ว่า ตามข่าวที่ทราบจากแนวร่วมพันธมิตรฯที่อยู่ในพื้นที่ระบุว่า เกิดการปะทะในเวลาราว 15.30 น. โดยทหารกัมพูชาฝ่ายยิงเข้ามาก่อน รวมทั้งมีการเผาที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ แต่ยังไม่สามารถยืนยันข่าว อย่างไรก็ตามตนขอยืนยันว่า เมื่อได้ยินข่าวการปะทะ ไม่มีใครดีใจ เพราะหมายถึงจะมีความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย อาจจะถึงการสูญเสียชีวิตด้วย แต่ถ้ารัฐบาลทำตามที่พันธมิตรฯเสนอแนะไป 3 ข้อจะไม่มีการปะทะเกิดขึ้นแน่นอน และหากทิ้งไว้นานเข้า ไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อาจลุกลามใหญ่โตกว่านี้
“การปะทะครั้งนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า MOU 2543 ที่นายกฯอภิสิทธิ์อ้างว่า ไม่ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันนั้น ผิดมาโดยตลอด แสดงให้เห็นอีกว่า MOU 2543 ไม่มีประโยชน์” พล.ต.จำลอง กล่าว
พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า เหตุที่ทหารกัมพูชากล้าปะทะกับทหารไทยทั้งที่ศักยภาพทางการทหารสู้ไม่ได้นั้น เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรีไทยอ่อนแอ ขี้ขลาดที่สุดตั้งแต่มีนายกฯมา ส่วนจะลุกลามบานปลายหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล อาวุธและกำลังทหารมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ หากมีพร้อมไม่มีใครกล้ารบด้วย แต่ผู้นำต้องกล้าหาญและฉลาดด้วย
อย่างไรก็ตามขอยืนยันอีกว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ใช่ชนวนในการปะทะครั้งนี้ เพราะหากเป็นเช่นนนั้นคงเกิดมาตั้งแต่ 2 ปีที่เราเรียกร้องเรื่องนี้มา
สิ่งที่พันธมิตรฯพยายามเรียกร้องให้มีการแสดงแสนยานุภาพนั้นไม่ใช้การปะทะ เพราะการสั่งสมอาวุธมีประโยชน์ทำให้ไม่เกิดสงคราม เหมือนคำกลอนที่ว่า “แม้หวังตั้งสงบ พึงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” ทั้งนี้การปะทะในครั้งนี้ไม่มีผลต่อท่าทีการชุมนุม เป็นเพียงประเด็นเพิ่มเติม โดยเป้าหมายหลักยังเป็นเช่นเดิมในการเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ออกมาทำหน้าที่
**ยกระดับอย่างสุขุมนุ่มลึก
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ในการประชุมได้มีการพูดถึงสถานการณ์การชุมนุมในช่วง 10 วันที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และพูดถึงรูปแบบการถามความคิดเห็นฉันทามติจากประชาชนในวันที่ 5 ก.พ.อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สามารถยืนยันว่าไม่ว่าอย่างไรเราก็จะทำหน้าที่เพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำหน้าที่ให้ได้ ไม่ว่าจะมีการสลายการชุมนุมหรือไม่ก็ตาม
เมื่อถามต่อถึงแนวทางการยกระดับการชุมนุมในวันที่ 5 ก.พ.นี้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการคิดอย่างรอบคอบสุขุม ไม่ใช่ทำตามใจ อย่าเพิ่งคาดคิดล่วงหน้า ต้องมีการฟังมวลชนที่มาร่วมชุมนุม รวมถึงผู้ที่อยู่ที่บ้านหรือในต่างประเทศ ว่าจะให้นายกฯอภิสิทธิ์รับผิดชอบอย่างไร เมื่อไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดน โดยบอกไม่ได้ว่าจะไปไหนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนเรื่องจำนวนคนไม่เป็นอุปสรรคใดๆ หากแต่มียิ่งมากยิ่งดี จะสามารถกดดันรัฐบาลได้มากขึ้น
ทั้งนี้เห็น่วาไม่จำเป็นที่จะต้องยื่น 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอให้มีการยกเลิก MOU 2543 ผ่านขั้นตอนรัฐสภา ตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ แต่ก็ต้องมีการปรึกษาหารือกันก่อน เพียงแต่อย่ามาหลอกให้ทำแล้วไม่ตอบรับ
**ยกระดับแฉทุจริตคอร์รัปชั่น
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกปอ้งแผ่นดิน กล่าวว่า แนวทางที่จะยกระดับต่อไปในเรื่องความทุจริตคอร์รัปชั่นจะยิ่งทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
ส่วนกรณีที่มีการประกาศเบอร์โทรศัพท์ของนายกฯอภิสิทธิ์ในการปราศรัยนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า เนื่องจากนายกฯอภิสิทธิ์เป็ฯคนถามเองว่าจะทำอย่างไร จึงอยากให้ประชาชนแสดงความถึงนายกฯโดยตรง ส่วนการยื่นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.ในเรื่องการทุจริตคอรร์ปชั่นนั้นเป็นเพียงการเล่นโวหารของคนในรัฐบาล เพราะนายกฯเป็นคนพูดเองว่าไม่ต้องรอให้มีกระบวนการทางกฎหมาย หากเรื่องมีมูลจะต้องรับผิดชอบ
**สับ“มาร์ค” สร้างประเด็น
ก่อนหน้านั้น ช่วงเช้าพล.ต.จำลอง กล่าวว่า การที่รัฐบาลแก้เกี้ยวเสนอสถานที่แห่งใหม่เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก และขอเข้าไปเป็นเจ้าภาพร่วมกับกัมพูชา ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ก.ค.53 ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล มีการกำหนดอนุมัติให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์ ประชาชนจำนวนมากชุมนุมที่หน้ายูเนสโกประเทศไทยเพื่อคัดค้านเป็นผลสำเร็จให้เลื่อนการพิจารณาไป ซึ่งหากเราไม่ออกมาในวันนั้น เราเสียดินแดนไปแล้ว ซึ่งการคัดค้านการขึ้นทะเบียนนั้นไม่ได้แปลว่าเราไม่เห็นความสำคัญ หากแต่เราคำนึงว่าจะทำให้เสียดินแดน
ส่วนที่พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2ที่พูดในลักษณะไม่แสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง สมควรที่จะออกจากตำแหน่งไป
**สับรบ.แก้ผ้าเอาหน้ารอด
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ นายปานเทพ กล่าวว่า แนวคิดที่จะขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันนั้นไม่สามารถทำได้แล้วในขณะนี้ เพราะทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ขอขึ้นเป็นมรดกโลกนั้นถือโดยกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งหากมีความคิดนำส่วนอื่นที่เป็นของไทยแท้ไปขึ้นทะเบียนร่วมก็เหมือนกับมอบดินแดนให้กัมพูชามากขึ้น ดังนั้นความพยายามขึ้นทะเบียนมรดกโลกในช่วงนี้เพื่อหวังแก้ปัญหานั้นไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ปราสาทพระวิหารจะมีการพิจารณาในเดือน มิ.ย.54 นี้ และหากต้องการให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ก็ต้องให้กัมพูชาถอนทะเบียนที่ขึ้นค้างอยู่ในคณะกรรมการมรดกโลกเสียก่อน ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะนายฮุนเซนใช้ประเด็นนี้ในการหาเสียงการเมืองในประเทศ
“การหยิบยกประเด็นอื่นๆ อ้างถึงโบราณสถานอื่นนั้น เป็นการพูดแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้แต่ประการใด” นายปานเทพ กล่าว
**หนุนถอนมรดกโลก ไร้งบซ่อม
อ.วีระพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกว่า การที่จะออกหรือไม่ออกจากภาคีมรดกโลกนั้น ตนได้ศึกษาข้อมูล และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญหลายคน โดยมีการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสีย ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า การที่ยังเป็นภาคีมรดกโลกต่อไป ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับมีน้อยมาก มีแต่ที่จะต้องลื่นไหลไปตามครรลองหรือกลไกจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว แต่หากเราออกจากภาคีจะสามารถมีความอิสระเป็นตัวของตัวเองในการเรียกร้องปกป้องดินแดนได้เต็มที่ ในส่วนข้อเสียมีเพียงพื้นที่ในที่ประชุมเท่านั้น ซึ่งนักวิชาการทุกคนเห็นตรงกันว่าในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารในที่ประชุม ส่วนประเด็นงบประมาณสนับสนุนบูรณะซ่อมแซมโบราณสถานนั้น ที่ผ่านมาไทยก็ไม่ได้งบประมาณจากคณะกรรมการมรดกโลกมากพอ ทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณหลายพันล้านต่อปีอยู่แล้ว
**ยังแพดแจกใบปลิวปกป้องแผ่นดิน
เวลา12.00 น.วันเดียวกัน กลุ่มเยาวชนพันธมิตรฯ ในนามกลุ่ม Facepad ได้เดินทางไปแจกใบปลิว 33 ประเด็นถามตอบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณย่านธุรกิจสีลม
**สนธิสับปชป. “โกง กิน ทิ้งประชาชน”
ช่วงค่ำนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปีการชุมนุมของพธม. ที่ลานพระรูป แต่ 5 ปีที่ผ่านมา ยังมีรัฐบาลที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเหมือนเดิม เป็นความระยำ ที่เกิดจากพวกสัตว์นรกที่เรียกว่า “นักการเมือง”
โดยเฉพาะกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีคำขวัญว่า “ไม่โกง ไม่กิน ไม่ทิ้งประชาชน” แต่ขณะนี้กำลังกลายเป็น “พรรคโกง กิน ทิ้งประชาชนแน่นอน” ปัจจุบันคนของพรรคประชาธิปัตย์ มีความร่ำรวยเป็นถึงมหาเศรษฐีทุกคน
“มีคนหนึ่งเมื่อก่อนไม่ใอะไรเลย ตอนนี้กำลังให้นอมินีไปซื้อโรงแรมที่หาดใหญ่ บางคนมีเงินพันๆล้าน ฟอกเงินฝากเงินในต่างประเทศ บางคนไม่เคยรู้จักประเทศอังกฤษ แต่ไปซื้อบ้านส่งลูกไปเรียนอังกฤษ”
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ คณะกรรมาธิการ วุฒิสภา ในการสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้รับข้อร้องเรียนว่า ถูกเรียกรับเงินสูงถึง 2 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าคนที่ไม่ถูกร้องเรียนจะสูงถึง 2-3 เท่า และเฉลี่ยแล้ว อาจจะสูงถึงประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี
ดังนั้นงบประมาณ 1.5ล้านล้านบาทเท่ากับจะฉ้อราษฎร์บังหลวง 35% ของงบประมาณ ดังนั้นจะพูดได้ไง ว่าไม่โกง ไม่กินไม่ทิ้งประชาชน พรรคนี้กำลัง โกง กิน ทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน ที่มาพูดเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กลายพันธุ์ไปแล้ว ไม่ใช่พรรคที่เราเคยชอบ เคยรัก วันนี้มันไม่ต่างไปจากพรรคที่โกงกินทุกสมัย และที่น่าสนใจ มันเริ่มกลายพันธุ์ เพราะไม่นานมานี้เอง คน 2-3 คน ทำให้มันจากเป็นพรรคเทพ กลายเป็นพรรคอสูรกายสัตว์นรก แม้คนในปชป. ผมจะเคยรัก แต่ผมก็เลือก ที่จะรักชาติต้องมาก่อน อย่างกรณีน้ำตาลทราย หรือน้ำมันปาล์มเถื่อน ที่ถูกเอามาขายในราคาแพง แต่กลับมาพูดจีบปากจีบคอ ตะไบเล็บไป “เลวที่สุด” ดังนั้นผลจะออกมาอย่างไรไม่สำคัญแต่พวกเราพันธมิตรฯออกมาไม่เสียชาติเกิด
นายสนธิ ยักงล่าวถึงนายฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า มันคงดูเอเอสทีวีทุกวัน พวกมันสู้เพื่อเขมรของมัน แต่คนของเรากลับไปสู้ให้เขมร ชีวิตคนพรรคปชป. อย่างนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีที่คุมสื่อ กลับทำหน้าที่แค่เดินสายกินข้าวกันคอลัมนิต์ “ขออย่าไปด่านายกฯ”
“คนของเขมรมันทำหน้าที่ไดิ้อย่างสมบูรณ์แบบ ในการรักษาหรือหวงแหนประเทฯศมัน แต่ไอ้คนของเรากลับทำหน้าที่เสียชาติเกิด “วัวลืมตีน” ทั้งนายองอาจ ทั้งนายกษิต คนพรรคปชป.มันเล่นเกม แบบฮุนเซนไม่เป็น 20 กว่าปีที่แล้ว ฮุนเซนมันยังใส่รองเท้าแตะอยู่เลย มันจะเป็นอะไรก็ชั่งมัน แต่มันรักชาติมันมากกว่าคนของเราที่กลับไปรักบ้านมัน ไอ้เรื่องคุณธรรม 2 ประเทศมันไม่ต่างกัน อย่างคนบ้านเรามีผู้ประกาศเป็นเมียน้อย ฮุนเซนมันก็ไปมีดาราเป็นเมียน้อย ก็ถูกนางราณีส่งคนเอาทุเรียนไปตบหน้าบอกได้ว่า คนพวกนี้มันไร้คุณธรรม ได้จริยธรรม เป็นสัตว์นรกพวกเดียวกันหมด”
นายสนธิ กล่าวว่า ที่มองกันไม่เห็นในเรื่องของเกียรติภูมิของประเทศ ก็เพราะผลประโยชน์ของบ่อนการพนันที่มีคนไทยเช่น นายทุนท้องถิ่น นักการเมืองชั่วๆหลายคนถือหุ้น นักการเมืองที่ถือหุ้นในบ่อนมันก็ไม่สนใจ และทุกเดือนมันก็ต้องจ่ายค่าต๋งให้ฮุนเซน ปี 5-6 ร้อยล้านบาท ก็เป็นเงินของคนไทยโง่ๆ ที่ไปเล่นบ่อนของมัน คนพวกนี้มันหาผลประโยชน์ชายแดน ทำมาหากินผ่านเมียตัวเอง เงินไม่กี่สตางค์ทำให้มันเสียชาติเกิด.
**มีไส้ศึกไม่ต่างกับกรุงแตกครั้งที่สอง
วันเดียวกัน คณะนิติศาสตร์และคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเสวนากรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ที่มหาวิทยาลัยรังสิต
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเป็นอธิปไตยของชาติไทยมีผลประโยชน์มหาศาลต่อการท่องเที่ยว เพราะเป็นชัยภูมิที่ดี ขณะนี้สถานการณ์ประเทศไทยเป็นการสูญเสียแบบน้ำตื้น ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องความสามารถ หรือชาญฉลาดของคนไทย แต่มันส่อให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนของคนไทยที่ใช้พื้นที่นี้ ทำมาหากิน เวลานี้ประเทศไทยไม่ต่างอะไรกับกรุงศรีอยุธยากำลังจะเสียกรุงครั้งที่ 2 เราเสียกรุงเพราะคนในเป็นไส้ศึก คนในชาติมีผลประโยชน์เพื่อตนเอง ขายผลประโยชน์ของชาติเราให้แก่ชาติอื่นๆ ไม่เฉพาะแต่ประเทศกัมพูชาเท่านั้น ยังหมายรวมถึงชาติมหาอำนาจอื่นด้วย ทั้งอังกฤษ อเมริกา หรือมหาอำนาจอื่นใด ในกรณีนี้ก็เป็นผลประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมัน ก๊าชธรรมชาติที่อยู่ในอ่าวไทย
**มาร์คสร้างข่าวไม่ได้เป็นเจ้าภาพมรดกโลก
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการยกระดับการชุมนุมของพธม.ในวันที่ 5 ก.พ. ว่า ขณะนี้มีการประสานงานกันอยู่แกนนำพันธมิตรฯบางคน
อย่างไรก็ตามมีบางกรณีต้องไปตรวจสอบดูเพราะว่ามีการไปให้เบอร์โทรศัพท์ของตนเพื่อให้โทรเข้ามาหา ซึ่งถ้าตนว่างก็รับสายด้วยตัวเองก็เห็นได้ชัดว่าบางคนที่โทรเข้ามาได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนพอคุยแล้วเข้าใจ แต่การบอกเบอร์โทรศัพท์เป็นการละเมิดสิทธิ์อยู่แล้ว ซึ่งตัวคนทำเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ แต่หลายคนที่เป็นผู้ที่อยู่ขบวนการเคลื่อนไหวเขายังมีเหตุมีผล ซึ่งมีอยู่ไม่กี่รายที่เราทราบตั้งแต่ต้นว่ามีเรื่องอื่นอยู่ในใจก็เป็นธรรมดา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากจะให้มองในทางกลับกันว่าถ้าหากเราผนึกกำลังกันจริงๆการไปดำเนินการอะไรกับกัมพูชาก็จะง่าย ตนยกตัวอย่างว่าตอนนี้กัมพูชาเขาถือโอกาสส่งข้อความไปยังคณะกรรมการมรดกโลกว่าประเทศไทยไม่ควรจะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมในปีหน้าหรือปีที่เรายื่นไป โดยอ้างว่าคนไทยต้องการให้เราถอนตัวจากกรรมการมรดกโลก ซึ่งตนได้บอกแล้วตนพอเข้าใจว่าเรื่องที่มีการเป็นห่วงกันเรื่องมรดกโลกเป็นอย่างไร แต่การจะให้ถอนตัวทันที ไม่ได้เป็นคุณกับการปกป้องประโยชน์ของเราเลย ประเด็นแบบนี้ต้องมาคุยกัน แต่ถ้ายื่นคำขาดว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้แล้วไม่ฟังเหตุผลกัน มันไม่ใช่แนวทางที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้
“ขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงที่ทำความเข้าใจกับคณะกรรมการมรดกโลกประเทศต่างๆ ให้เห็นว่าการที่ยูเนสโกจะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ใดก็ตาม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาพิพาทหรือมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตแดนนั้นถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงเกิดการปะทะกัน และเป็นการขัดเจตนารมณ์ของยูเนสโกเองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมเรื่องสันติภาพ หลังจากที่ไทยดำเนินการมาขณะนี้หลายประเทศได้รับความเข้าใจที่ดีขึ้นโดยลำดับจากประเทศที่เป็นสมาชิก ถ้าเราถอนตัวตอนนี้เท่ากับปล่อยให้ประเทศสมาชิกเหล่านั้นกลับไปฟังความข้างเดียวของฝ่ายที่ต้องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ง่ายๆ ว่าไทยต้องทำหน้าที่ของเราให้ถึงที่สุดก่อนไม่ควรไปยอมแพ้”
**“เทือก” เชียร์แนวคิดแม่ทัพภาค 2
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงแนวคิดของพล.ท.ธวัชชัยว่า เป็นทางออกที่ดีสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ เพราะในพื้นที่ที่เรายังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้หลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นของไทย หรือกัมพูชา ก็น่าจะมาพัฒนา และใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม
*** ปัดไม่เกี่ยวข้องทุจริตน้ำมันปาล์ม
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดประเด็นการทุจริตของรัฐบาล โดยระบุว่ามีนักการเมืองชื่อย่อ “ส.” เกี่ยวข้องเข้าไปรับผลประโยชน์กับการกักตุนน้ำมันปาล์มและน้ำมันปลาล์มเถื่อน นั้นนายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องที่เอามาพูดไม่ใช่เรื่องจิง แต่เป็นจุดเป็นประด็นที่ประชาชนสนใจและเอามาขยายผลให้เกิดความเกลียดชังได้ ก็ทำ ขณะที่ความจริงปัญหาการขาดแคลนเกิดจากปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วมด้วยภาวะอากาศที่แปรปรวนผลผลิตของเราก็ขาดแคลนมาก และความต้องการใช้ก็สูงขึ้น
**อ้าง “มาร์ค”คุยพธม. ผ่านเฟสบุ๊ก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การจะให้รัฐบาลไทยไปแทรกแซงศาลกัมพูชาแล้วนำตัวคนไทยกลับมาโดยไร้มลทินนั้น ยากมาก ยกเว้นจะทำสงครามช่วงชิงตัวผู้ต้องหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก ไม่เหมาะสมที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่นายกฯได้พยายามพูดคุยผ่านหลายช่องทาง ทั้งโทรศัพท์ เฟสบุ๊ก อีเมลล์ เอสเอ็มเอส และพูดคุยกับบุคคล โดยล่าสุดได้พยายามอธิบายถึงข้อจำกัดของรัฐบาล กับบุคคลหลายคนที่เป็นแกนนำพันธมิตรฯ
**หาทางออกที่สามแทนเลิกเอ็มโอยู43
นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเจบีซีได้พยายามหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาเขตแดน โดยมองว่าควรจะหาทางออกที่สามมากกว่าจะพิจารณาเพียงโจทย์เดียวในเรื่องการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกเอ็มโอยู 43 ซึ่งที่ประชุมได้มอบให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และให้เสนอต่อที่ประชุมในสัปดาห์หน้า
**ผบ.ทบ.ขอให้หยุดพูดปมมรดกโลก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า กรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 เสนอ ให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกสิ่งปลูกสร้างบริเวณใกล้กับปราสาทพระวิหาร พร้อมกับกัมพูชานั้น แม่ทัพภาคที่ 2 จะ ทำอะไรต้องเสนอผู้บัญชาบัญชา เพราะต้องรู้ว่าใครสั่งการ ใครมีระดับความรับผิดชอบอย่างไร เพราะประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นการรับผิดชอบของแต่ละระดับขึ้นไป ที่ผ่านมาแม่ทัพภาค 2 พยายาม ตอบในฐานะรักษากฎเกณฑ์พื้นที่ตรงนั้น คนส่วนหนึ่งฟังแล้วไม่เข้าใจว่า แม่ทัพพูดหมายความว่าอย่างไร ตนได้สั่งการว่า ไม่ต้องพูดแล้ว ตนจะพูดคนเดียว ซึ่งไม่ใช่การปกปิดข้อมูล แต่บางเรื่องเป็นเรื่องความมั่นคงไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง.
***"แซมดิน"ฟ้องศาลอีก
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ 1 ใน 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ,นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประทศ ,นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.ต่างประเทศ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกันกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐต้องเสื่อมเสียไป คบคิดกับบุคคลซี่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของต่างประเทศในทางที่เป็นปรปักษ์ กับรัฐ และเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ทำกิจการของรัฐบาลต่างประเทศไม่ปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมาย เรียกค่าเสียหายจำนวน 5,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,119,120,126,128 และ 129
**เรียกค่าเสียหายวันละ 200 บาท
อย่างไรก็ตาม การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียอิสรภาพ ชื่อเสียง และต้องถูกศาลกัมพูชาพิพากษาว่ามีความผิด โจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายอัตราวันละ 200 บาท เป็นเวลา 25 วันด้วย ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเป็นคดีดำที่ อ.733/54 เพื่อมีคำสั่งต่อไป
**ฮอร์นัมฮงตอก"กษิต"ไม่ถอนธง
วันเดียวกัน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี(เจซี)ไทย-กัมพูชาร่วมกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา โดยหารือเป็นเวลาราว 20 นาที
นายฮอร์นัมฮง กล่าวว่า กัมพูชาได้บอกกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยอย่างชัดเจน ว่าจะไม่ถอนธงชาติออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ เพราะว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา ซึ่งเป็นการพูดถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่าง 2 ฝ่าย หลังจากกัมพูชาได้ออกคำแถลงยืนยันมาแล้ว 2 ครั้ง
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์เป็นวันที่ 11 เป็นไปอย่างเรียบร้อย
เวลา 17.00น.วานนี้(4 ก.พ.)พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ ว่า ตามข่าวที่ทราบจากแนวร่วมพันธมิตรฯที่อยู่ในพื้นที่ระบุว่า เกิดการปะทะในเวลาราว 15.30 น. โดยทหารกัมพูชาฝ่ายยิงเข้ามาก่อน รวมทั้งมีการเผาที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ แต่ยังไม่สามารถยืนยันข่าว อย่างไรก็ตามตนขอยืนยันว่า เมื่อได้ยินข่าวการปะทะ ไม่มีใครดีใจ เพราะหมายถึงจะมีความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย อาจจะถึงการสูญเสียชีวิตด้วย แต่ถ้ารัฐบาลทำตามที่พันธมิตรฯเสนอแนะไป 3 ข้อจะไม่มีการปะทะเกิดขึ้นแน่นอน และหากทิ้งไว้นานเข้า ไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อาจลุกลามใหญ่โตกว่านี้
“การปะทะครั้งนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า MOU 2543 ที่นายกฯอภิสิทธิ์อ้างว่า ไม่ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันนั้น ผิดมาโดยตลอด แสดงให้เห็นอีกว่า MOU 2543 ไม่มีประโยชน์” พล.ต.จำลอง กล่าว
พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า เหตุที่ทหารกัมพูชากล้าปะทะกับทหารไทยทั้งที่ศักยภาพทางการทหารสู้ไม่ได้นั้น เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรีไทยอ่อนแอ ขี้ขลาดที่สุดตั้งแต่มีนายกฯมา ส่วนจะลุกลามบานปลายหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล อาวุธและกำลังทหารมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ หากมีพร้อมไม่มีใครกล้ารบด้วย แต่ผู้นำต้องกล้าหาญและฉลาดด้วย
อย่างไรก็ตามขอยืนยันอีกว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ใช่ชนวนในการปะทะครั้งนี้ เพราะหากเป็นเช่นนนั้นคงเกิดมาตั้งแต่ 2 ปีที่เราเรียกร้องเรื่องนี้มา
สิ่งที่พันธมิตรฯพยายามเรียกร้องให้มีการแสดงแสนยานุภาพนั้นไม่ใช้การปะทะ เพราะการสั่งสมอาวุธมีประโยชน์ทำให้ไม่เกิดสงคราม เหมือนคำกลอนที่ว่า “แม้หวังตั้งสงบ พึงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” ทั้งนี้การปะทะในครั้งนี้ไม่มีผลต่อท่าทีการชุมนุม เป็นเพียงประเด็นเพิ่มเติม โดยเป้าหมายหลักยังเป็นเช่นเดิมในการเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ออกมาทำหน้าที่
**ยกระดับอย่างสุขุมนุ่มลึก
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ในการประชุมได้มีการพูดถึงสถานการณ์การชุมนุมในช่วง 10 วันที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และพูดถึงรูปแบบการถามความคิดเห็นฉันทามติจากประชาชนในวันที่ 5 ก.พ.อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สามารถยืนยันว่าไม่ว่าอย่างไรเราก็จะทำหน้าที่เพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำหน้าที่ให้ได้ ไม่ว่าจะมีการสลายการชุมนุมหรือไม่ก็ตาม
เมื่อถามต่อถึงแนวทางการยกระดับการชุมนุมในวันที่ 5 ก.พ.นี้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการคิดอย่างรอบคอบสุขุม ไม่ใช่ทำตามใจ อย่าเพิ่งคาดคิดล่วงหน้า ต้องมีการฟังมวลชนที่มาร่วมชุมนุม รวมถึงผู้ที่อยู่ที่บ้านหรือในต่างประเทศ ว่าจะให้นายกฯอภิสิทธิ์รับผิดชอบอย่างไร เมื่อไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดน โดยบอกไม่ได้ว่าจะไปไหนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนเรื่องจำนวนคนไม่เป็นอุปสรรคใดๆ หากแต่มียิ่งมากยิ่งดี จะสามารถกดดันรัฐบาลได้มากขึ้น
ทั้งนี้เห็น่วาไม่จำเป็นที่จะต้องยื่น 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอให้มีการยกเลิก MOU 2543 ผ่านขั้นตอนรัฐสภา ตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ แต่ก็ต้องมีการปรึกษาหารือกันก่อน เพียงแต่อย่ามาหลอกให้ทำแล้วไม่ตอบรับ
**ยกระดับแฉทุจริตคอร์รัปชั่น
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกปอ้งแผ่นดิน กล่าวว่า แนวทางที่จะยกระดับต่อไปในเรื่องความทุจริตคอร์รัปชั่นจะยิ่งทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
ส่วนกรณีที่มีการประกาศเบอร์โทรศัพท์ของนายกฯอภิสิทธิ์ในการปราศรัยนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า เนื่องจากนายกฯอภิสิทธิ์เป็ฯคนถามเองว่าจะทำอย่างไร จึงอยากให้ประชาชนแสดงความถึงนายกฯโดยตรง ส่วนการยื่นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.ในเรื่องการทุจริตคอรร์ปชั่นนั้นเป็นเพียงการเล่นโวหารของคนในรัฐบาล เพราะนายกฯเป็นคนพูดเองว่าไม่ต้องรอให้มีกระบวนการทางกฎหมาย หากเรื่องมีมูลจะต้องรับผิดชอบ
**สับ“มาร์ค” สร้างประเด็น
ก่อนหน้านั้น ช่วงเช้าพล.ต.จำลอง กล่าวว่า การที่รัฐบาลแก้เกี้ยวเสนอสถานที่แห่งใหม่เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก และขอเข้าไปเป็นเจ้าภาพร่วมกับกัมพูชา ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ก.ค.53 ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล มีการกำหนดอนุมัติให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์ ประชาชนจำนวนมากชุมนุมที่หน้ายูเนสโกประเทศไทยเพื่อคัดค้านเป็นผลสำเร็จให้เลื่อนการพิจารณาไป ซึ่งหากเราไม่ออกมาในวันนั้น เราเสียดินแดนไปแล้ว ซึ่งการคัดค้านการขึ้นทะเบียนนั้นไม่ได้แปลว่าเราไม่เห็นความสำคัญ หากแต่เราคำนึงว่าจะทำให้เสียดินแดน
ส่วนที่พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2ที่พูดในลักษณะไม่แสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง สมควรที่จะออกจากตำแหน่งไป
**สับรบ.แก้ผ้าเอาหน้ารอด
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรฯ นายปานเทพ กล่าวว่า แนวคิดที่จะขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันนั้นไม่สามารถทำได้แล้วในขณะนี้ เพราะทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ขอขึ้นเป็นมรดกโลกนั้นถือโดยกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งหากมีความคิดนำส่วนอื่นที่เป็นของไทยแท้ไปขึ้นทะเบียนร่วมก็เหมือนกับมอบดินแดนให้กัมพูชามากขึ้น ดังนั้นความพยายามขึ้นทะเบียนมรดกโลกในช่วงนี้เพื่อหวังแก้ปัญหานั้นไม่สามารถทำได้ เพราะจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ปราสาทพระวิหารจะมีการพิจารณาในเดือน มิ.ย.54 นี้ และหากต้องการให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ก็ต้องให้กัมพูชาถอนทะเบียนที่ขึ้นค้างอยู่ในคณะกรรมการมรดกโลกเสียก่อน ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะนายฮุนเซนใช้ประเด็นนี้ในการหาเสียงการเมืองในประเทศ
“การหยิบยกประเด็นอื่นๆ อ้างถึงโบราณสถานอื่นนั้น เป็นการพูดแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้แต่ประการใด” นายปานเทพ กล่าว
**หนุนถอนมรดกโลก ไร้งบซ่อม
อ.วีระพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกว่า การที่จะออกหรือไม่ออกจากภาคีมรดกโลกนั้น ตนได้ศึกษาข้อมูล และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญหลายคน โดยมีการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสีย ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า การที่ยังเป็นภาคีมรดกโลกต่อไป ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับมีน้อยมาก มีแต่ที่จะต้องลื่นไหลไปตามครรลองหรือกลไกจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว แต่หากเราออกจากภาคีจะสามารถมีความอิสระเป็นตัวของตัวเองในการเรียกร้องปกป้องดินแดนได้เต็มที่ ในส่วนข้อเสียมีเพียงพื้นที่ในที่ประชุมเท่านั้น ซึ่งนักวิชาการทุกคนเห็นตรงกันว่าในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารในที่ประชุม ส่วนประเด็นงบประมาณสนับสนุนบูรณะซ่อมแซมโบราณสถานนั้น ที่ผ่านมาไทยก็ไม่ได้งบประมาณจากคณะกรรมการมรดกโลกมากพอ ทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณหลายพันล้านต่อปีอยู่แล้ว
**ยังแพดแจกใบปลิวปกป้องแผ่นดิน
เวลา12.00 น.วันเดียวกัน กลุ่มเยาวชนพันธมิตรฯ ในนามกลุ่ม Facepad ได้เดินทางไปแจกใบปลิว 33 ประเด็นถามตอบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณย่านธุรกิจสีลม
**สนธิสับปชป. “โกง กิน ทิ้งประชาชน”
ช่วงค่ำนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปีการชุมนุมของพธม. ที่ลานพระรูป แต่ 5 ปีที่ผ่านมา ยังมีรัฐบาลที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเหมือนเดิม เป็นความระยำ ที่เกิดจากพวกสัตว์นรกที่เรียกว่า “นักการเมือง”
โดยเฉพาะกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีคำขวัญว่า “ไม่โกง ไม่กิน ไม่ทิ้งประชาชน” แต่ขณะนี้กำลังกลายเป็น “พรรคโกง กิน ทิ้งประชาชนแน่นอน” ปัจจุบันคนของพรรคประชาธิปัตย์ มีความร่ำรวยเป็นถึงมหาเศรษฐีทุกคน
“มีคนหนึ่งเมื่อก่อนไม่ใอะไรเลย ตอนนี้กำลังให้นอมินีไปซื้อโรงแรมที่หาดใหญ่ บางคนมีเงินพันๆล้าน ฟอกเงินฝากเงินในต่างประเทศ บางคนไม่เคยรู้จักประเทศอังกฤษ แต่ไปซื้อบ้านส่งลูกไปเรียนอังกฤษ”
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ คณะกรรมาธิการ วุฒิสภา ในการสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้รับข้อร้องเรียนว่า ถูกเรียกรับเงินสูงถึง 2 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าคนที่ไม่ถูกร้องเรียนจะสูงถึง 2-3 เท่า และเฉลี่ยแล้ว อาจจะสูงถึงประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี
ดังนั้นงบประมาณ 1.5ล้านล้านบาทเท่ากับจะฉ้อราษฎร์บังหลวง 35% ของงบประมาณ ดังนั้นจะพูดได้ไง ว่าไม่โกง ไม่กินไม่ทิ้งประชาชน พรรคนี้กำลัง โกง กิน ทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน ที่มาพูดเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กลายพันธุ์ไปแล้ว ไม่ใช่พรรคที่เราเคยชอบ เคยรัก วันนี้มันไม่ต่างไปจากพรรคที่โกงกินทุกสมัย และที่น่าสนใจ มันเริ่มกลายพันธุ์ เพราะไม่นานมานี้เอง คน 2-3 คน ทำให้มันจากเป็นพรรคเทพ กลายเป็นพรรคอสูรกายสัตว์นรก แม้คนในปชป. ผมจะเคยรัก แต่ผมก็เลือก ที่จะรักชาติต้องมาก่อน อย่างกรณีน้ำตาลทราย หรือน้ำมันปาล์มเถื่อน ที่ถูกเอามาขายในราคาแพง แต่กลับมาพูดจีบปากจีบคอ ตะไบเล็บไป “เลวที่สุด” ดังนั้นผลจะออกมาอย่างไรไม่สำคัญแต่พวกเราพันธมิตรฯออกมาไม่เสียชาติเกิด
นายสนธิ ยักงล่าวถึงนายฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า มันคงดูเอเอสทีวีทุกวัน พวกมันสู้เพื่อเขมรของมัน แต่คนของเรากลับไปสู้ให้เขมร ชีวิตคนพรรคปชป. อย่างนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีที่คุมสื่อ กลับทำหน้าที่แค่เดินสายกินข้าวกันคอลัมนิต์ “ขออย่าไปด่านายกฯ”
“คนของเขมรมันทำหน้าที่ไดิ้อย่างสมบูรณ์แบบ ในการรักษาหรือหวงแหนประเทฯศมัน แต่ไอ้คนของเรากลับทำหน้าที่เสียชาติเกิด “วัวลืมตีน” ทั้งนายองอาจ ทั้งนายกษิต คนพรรคปชป.มันเล่นเกม แบบฮุนเซนไม่เป็น 20 กว่าปีที่แล้ว ฮุนเซนมันยังใส่รองเท้าแตะอยู่เลย มันจะเป็นอะไรก็ชั่งมัน แต่มันรักชาติมันมากกว่าคนของเราที่กลับไปรักบ้านมัน ไอ้เรื่องคุณธรรม 2 ประเทศมันไม่ต่างกัน อย่างคนบ้านเรามีผู้ประกาศเป็นเมียน้อย ฮุนเซนมันก็ไปมีดาราเป็นเมียน้อย ก็ถูกนางราณีส่งคนเอาทุเรียนไปตบหน้าบอกได้ว่า คนพวกนี้มันไร้คุณธรรม ได้จริยธรรม เป็นสัตว์นรกพวกเดียวกันหมด”
นายสนธิ กล่าวว่า ที่มองกันไม่เห็นในเรื่องของเกียรติภูมิของประเทศ ก็เพราะผลประโยชน์ของบ่อนการพนันที่มีคนไทยเช่น นายทุนท้องถิ่น นักการเมืองชั่วๆหลายคนถือหุ้น นักการเมืองที่ถือหุ้นในบ่อนมันก็ไม่สนใจ และทุกเดือนมันก็ต้องจ่ายค่าต๋งให้ฮุนเซน ปี 5-6 ร้อยล้านบาท ก็เป็นเงินของคนไทยโง่ๆ ที่ไปเล่นบ่อนของมัน คนพวกนี้มันหาผลประโยชน์ชายแดน ทำมาหากินผ่านเมียตัวเอง เงินไม่กี่สตางค์ทำให้มันเสียชาติเกิด.
**มีไส้ศึกไม่ต่างกับกรุงแตกครั้งที่สอง
วันเดียวกัน คณะนิติศาสตร์และคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเสวนากรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ที่มหาวิทยาลัยรังสิต
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเป็นอธิปไตยของชาติไทยมีผลประโยชน์มหาศาลต่อการท่องเที่ยว เพราะเป็นชัยภูมิที่ดี ขณะนี้สถานการณ์ประเทศไทยเป็นการสูญเสียแบบน้ำตื้น ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องความสามารถ หรือชาญฉลาดของคนไทย แต่มันส่อให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนของคนไทยที่ใช้พื้นที่นี้ ทำมาหากิน เวลานี้ประเทศไทยไม่ต่างอะไรกับกรุงศรีอยุธยากำลังจะเสียกรุงครั้งที่ 2 เราเสียกรุงเพราะคนในเป็นไส้ศึก คนในชาติมีผลประโยชน์เพื่อตนเอง ขายผลประโยชน์ของชาติเราให้แก่ชาติอื่นๆ ไม่เฉพาะแต่ประเทศกัมพูชาเท่านั้น ยังหมายรวมถึงชาติมหาอำนาจอื่นด้วย ทั้งอังกฤษ อเมริกา หรือมหาอำนาจอื่นใด ในกรณีนี้ก็เป็นผลประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมัน ก๊าชธรรมชาติที่อยู่ในอ่าวไทย
**มาร์คสร้างข่าวไม่ได้เป็นเจ้าภาพมรดกโลก
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการยกระดับการชุมนุมของพธม.ในวันที่ 5 ก.พ. ว่า ขณะนี้มีการประสานงานกันอยู่แกนนำพันธมิตรฯบางคน
อย่างไรก็ตามมีบางกรณีต้องไปตรวจสอบดูเพราะว่ามีการไปให้เบอร์โทรศัพท์ของตนเพื่อให้โทรเข้ามาหา ซึ่งถ้าตนว่างก็รับสายด้วยตัวเองก็เห็นได้ชัดว่าบางคนที่โทรเข้ามาได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนพอคุยแล้วเข้าใจ แต่การบอกเบอร์โทรศัพท์เป็นการละเมิดสิทธิ์อยู่แล้ว ซึ่งตัวคนทำเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ แต่หลายคนที่เป็นผู้ที่อยู่ขบวนการเคลื่อนไหวเขายังมีเหตุมีผล ซึ่งมีอยู่ไม่กี่รายที่เราทราบตั้งแต่ต้นว่ามีเรื่องอื่นอยู่ในใจก็เป็นธรรมดา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากจะให้มองในทางกลับกันว่าถ้าหากเราผนึกกำลังกันจริงๆการไปดำเนินการอะไรกับกัมพูชาก็จะง่าย ตนยกตัวอย่างว่าตอนนี้กัมพูชาเขาถือโอกาสส่งข้อความไปยังคณะกรรมการมรดกโลกว่าประเทศไทยไม่ควรจะได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมในปีหน้าหรือปีที่เรายื่นไป โดยอ้างว่าคนไทยต้องการให้เราถอนตัวจากกรรมการมรดกโลก ซึ่งตนได้บอกแล้วตนพอเข้าใจว่าเรื่องที่มีการเป็นห่วงกันเรื่องมรดกโลกเป็นอย่างไร แต่การจะให้ถอนตัวทันที ไม่ได้เป็นคุณกับการปกป้องประโยชน์ของเราเลย ประเด็นแบบนี้ต้องมาคุยกัน แต่ถ้ายื่นคำขาดว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้แล้วไม่ฟังเหตุผลกัน มันไม่ใช่แนวทางที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้
“ขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงที่ทำความเข้าใจกับคณะกรรมการมรดกโลกประเทศต่างๆ ให้เห็นว่าการที่ยูเนสโกจะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ใดก็ตาม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาพิพาทหรือมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเขตแดนนั้นถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงเกิดการปะทะกัน และเป็นการขัดเจตนารมณ์ของยูเนสโกเองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมเรื่องสันติภาพ หลังจากที่ไทยดำเนินการมาขณะนี้หลายประเทศได้รับความเข้าใจที่ดีขึ้นโดยลำดับจากประเทศที่เป็นสมาชิก ถ้าเราถอนตัวตอนนี้เท่ากับปล่อยให้ประเทศสมาชิกเหล่านั้นกลับไปฟังความข้างเดียวของฝ่ายที่ต้องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ง่ายๆ ว่าไทยต้องทำหน้าที่ของเราให้ถึงที่สุดก่อนไม่ควรไปยอมแพ้”
**“เทือก” เชียร์แนวคิดแม่ทัพภาค 2
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงแนวคิดของพล.ท.ธวัชชัยว่า เป็นทางออกที่ดีสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ เพราะในพื้นที่ที่เรายังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้หลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นของไทย หรือกัมพูชา ก็น่าจะมาพัฒนา และใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม
*** ปัดไม่เกี่ยวข้องทุจริตน้ำมันปาล์ม
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดประเด็นการทุจริตของรัฐบาล โดยระบุว่ามีนักการเมืองชื่อย่อ “ส.” เกี่ยวข้องเข้าไปรับผลประโยชน์กับการกักตุนน้ำมันปาล์มและน้ำมันปลาล์มเถื่อน นั้นนายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องที่เอามาพูดไม่ใช่เรื่องจิง แต่เป็นจุดเป็นประด็นที่ประชาชนสนใจและเอามาขยายผลให้เกิดความเกลียดชังได้ ก็ทำ ขณะที่ความจริงปัญหาการขาดแคลนเกิดจากปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วมด้วยภาวะอากาศที่แปรปรวนผลผลิตของเราก็ขาดแคลนมาก และความต้องการใช้ก็สูงขึ้น
**อ้าง “มาร์ค”คุยพธม. ผ่านเฟสบุ๊ก
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การจะให้รัฐบาลไทยไปแทรกแซงศาลกัมพูชาแล้วนำตัวคนไทยกลับมาโดยไร้มลทินนั้น ยากมาก ยกเว้นจะทำสงครามช่วงชิงตัวผู้ต้องหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก ไม่เหมาะสมที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่นายกฯได้พยายามพูดคุยผ่านหลายช่องทาง ทั้งโทรศัพท์ เฟสบุ๊ก อีเมลล์ เอสเอ็มเอส และพูดคุยกับบุคคล โดยล่าสุดได้พยายามอธิบายถึงข้อจำกัดของรัฐบาล กับบุคคลหลายคนที่เป็นแกนนำพันธมิตรฯ
**หาทางออกที่สามแทนเลิกเอ็มโอยู43
นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเจบีซีได้พยายามหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาเขตแดน โดยมองว่าควรจะหาทางออกที่สามมากกว่าจะพิจารณาเพียงโจทย์เดียวในเรื่องการยกเลิก หรือไม่ยกเลิกเอ็มโอยู 43 ซึ่งที่ประชุมได้มอบให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และให้เสนอต่อที่ประชุมในสัปดาห์หน้า
**ผบ.ทบ.ขอให้หยุดพูดปมมรดกโลก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า กรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 เสนอ ให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกสิ่งปลูกสร้างบริเวณใกล้กับปราสาทพระวิหาร พร้อมกับกัมพูชานั้น แม่ทัพภาคที่ 2 จะ ทำอะไรต้องเสนอผู้บัญชาบัญชา เพราะต้องรู้ว่าใครสั่งการ ใครมีระดับความรับผิดชอบอย่างไร เพราะประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นการรับผิดชอบของแต่ละระดับขึ้นไป ที่ผ่านมาแม่ทัพภาค 2 พยายาม ตอบในฐานะรักษากฎเกณฑ์พื้นที่ตรงนั้น คนส่วนหนึ่งฟังแล้วไม่เข้าใจว่า แม่ทัพพูดหมายความว่าอย่างไร ตนได้สั่งการว่า ไม่ต้องพูดแล้ว ตนจะพูดคนเดียว ซึ่งไม่ใช่การปกปิดข้อมูล แต่บางเรื่องเป็นเรื่องความมั่นคงไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง.
***"แซมดิน"ฟ้องศาลอีก
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ 1 ใน 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ,นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประทศ ,นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.ต่างประเทศ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 4 ตามลำดับในความผิดฐาน ร่วมกันกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐต้องเสื่อมเสียไป คบคิดกับบุคคลซี่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของต่างประเทศในทางที่เป็นปรปักษ์ กับรัฐ และเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ทำกิจการของรัฐบาลต่างประเทศไม่ปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมาย เรียกค่าเสียหายจำนวน 5,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,119,120,126,128 และ 129
**เรียกค่าเสียหายวันละ 200 บาท
อย่างไรก็ตาม การกระทำของพวกจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียอิสรภาพ ชื่อเสียง และต้องถูกศาลกัมพูชาพิพากษาว่ามีความผิด โจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายอัตราวันละ 200 บาท เป็นเวลา 25 วันด้วย ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเป็นคดีดำที่ อ.733/54 เพื่อมีคำสั่งต่อไป
**ฮอร์นัมฮงตอก"กษิต"ไม่ถอนธง
วันเดียวกัน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี(เจซี)ไทย-กัมพูชาร่วมกับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา โดยหารือเป็นเวลาราว 20 นาที
นายฮอร์นัมฮง กล่าวว่า กัมพูชาได้บอกกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยอย่างชัดเจน ว่าจะไม่ถอนธงชาติออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ เพราะว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา ซึ่งเป็นการพูดถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่าง 2 ฝ่าย หลังจากกัมพูชาได้ออกคำแถลงยืนยันมาแล้ว 2 ครั้ง